ถ้าเหยาเชียนเชียนรู้ความคิดในใจของซ่งอีอี เช่นนั้นก็ควรตอบกลับสักประโยค
“โดยปกติถ้าปักธงประเภทนี้ไว้ในนิยายมักจะอยู่รอดไม่เกินสองบท”
แต่ยามนี้ใบหน้าของเหยาเชียนเชียนเต็มไปด้วยความสุข นางไม่รู้แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย สองวันที่ผ่านมาเป่ยเหลียนโม่ราวกับเปลี่ยนไปเป็คนละคน เขาทำทุกอย่างเพื่อทำให้นางมีความสุข
ราวกับกำลังกระหายแล้วมีน้ำมาป้อนให้ถึงปาก หรือง่วงนอนแล้วมีหมอนมารองให้ เขาเอาใจใส่นางอย่างดี จนทำให้เหยาเชียนเชียนสงสัยว่าด้านในของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนเป็อีกคนเช่นกันหรือไม่
“หวังเฟย ท่านอ๋องทรงให้คนมาถาม ท่านอ๋องอยากเชิญหวังเฟยออกไปเที่ยวที่ทะเลสาบใน่บ่าย สถานที่อยู่ไม่ไกลและสามารถไปถึงได้ในครึ่งชั่วยาม ไม่ทราบว่าพระองค์สนใจหรือไม่เพคะ?”
เหยาเชียนเชียนมองเข้าไปในดวงตากลมโตอยากรู้อยากเห็นของอาเหยียน พลันรู้สึกใบหน้าร้อนผะผ่าว จากนั้นก็ก้มหน้าลงตักข้าวคำใหญ่เข้าปากและตอบรับด้วยเสียงอู้อี้
“ท่านแม่” อาเหยียนโน้มตัวเข้ามา “ท่านแม่อยากไปเที่ยวทะเลสาบกับท่านพ่อหรือขอรับ?”
เหยาเชียนเชียนหน้าแดงด้วยความเขินอาย นางพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “อาเหยียนก็ไปด้วยกันสิ”
หากไปกันสามคนก็คงไม่กระอักกระอ่วนมากนัก สองวันมานี้เป่ยเหลียนโม่ทำดีกับนางผิดปกติ บางทีเขาอาจมีจุดประสงค์อื่นซ่อนอยู่ ดังนั้นนางควรระวังไว้ดีกว่า
แต่ถ้ามีอาเหยียนอยู่ด้วย อย่างน้อยก็มีหลักประกันเพิ่มอีกชั้นหนึ่ง
ทว่าเพื่อนตัวน้อยส่ายหัวทันทีและปฏิเสธข้อเสนออย่างหนักแน่น
“อาเหยียนอยากอยู่ที่จวนรอท่านพ่อและท่านแม่กลับมา อาเหยียนไม่ไปขอรับ”
ในที่สุดท่านพ่อก็ลงมือทำแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่อาจทนดูความฝันที่กำลังจะเป็จริงพังทลายไปได้ ไม่เพียงแต่เขาไม่ไป คนอื่นก็ไม่สามารถไปวุ่นวายอยู่รอบๆ ได้ ยิ่งพาคนไปน้อยเท่าไรยิ่งดี
เหยาเชียนเชียนรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อยจากรอยยิ้มของเขาขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เด็กน้อยคนนี้ไร้เดียงสาจริงหรือ เหตุใดดวงตาของอาเหยียนจึงดูคล้ายกับมีนัยอื่น
แต่ไม่ว่าอย่างไร เด็กน้อยก็ปฏิเสธที่จะไปด้วยกัน ถึงขั้นขอให้บ่าวไพร่ที่ติดตามไปปรนนิบัติไม่ให้อยู่ใกล้ผู้เป็แม่มากเกินไป เวลาสนทนาก็ต้องห่างออกไปอย่างน้อยสองก้าว
“อาเหยียน” ใบหน้าของเหยาเชียนเชียนเปลี่ยนเป็สีแดง “อย่าก่อกวนสิ”
เดิมทีก็แปลกอยู่แล้ว พอถูกอาเหยียนแกล้งหยอกเย้าเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้จิตใจสับสนวุ่นวายมากขึ้นไปอีก
ยามบ่าย เป่ยเหลียนโม่ส่งคนมาเตรียมรถม้ารอไว้ก่อนนานแล้ว ภายในรถม้ากว้างขวางมาก อย่าว่าแต่สองคนนั่งเลย ต่อให้โดยสารกันไปห้าถึงหกคนก็ไม่มีปัญหา
ดังนั้นเมื่อเหยาเชียนเชียนเห็นว่าชิงผิงอ๋องเลือกนั่งรถม้าแทนการขี่ม้า ข่งหลงตัวน้อยในหัวใจของนางก็เริ่มวิ่งอย่างบ้าคลั่งโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้
“ไปกันเถิด”
ชิงผิงอ๋องอารมณ์ดีมาก แม้แต่รถม้าที่โคลงเคลงและเชื่องช้าก่อนหน้านี้ ยามนี้กลับนั่งด้วยความรู้สึกสบายใจ เขาชำเลืองมองสตรีน้อยที่อยู่ตรงมุม แม้ว่าในดวงตาจะปรากฏแววตื่นเต้นหลายส่วน ทว่าอย่างน้อยก็ไม่ฉายแววเอือมระอา ดีเหลือเกิน
หลังจากเดินทางไปได้สักพัก เหยาเชียนเชียนก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่เขาอย่างอดไม่ได้
เป่ยเหลียนโม่หลับตาอยู่ ไม่รู้ว่าเขาหลับไปแล้วหรือไม่ แต่ก็โชคดีที่เป็เช่นนี้ มิเช่นนั้นหากระหว่างทางอยากจะพูดอะไร ต่างคนต่างมองหน้ากันคงอึดอัดน่าดู
เมื่อพินิจดูอย่างละเอียดก็พบว่าชิงผิงอ๋องผู้นี้รูปงามเหลือเกิน เหยาเชียนเชียนเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ไม่แปลกใจเลยที่ซ่งอีอีวางแผนทำร้ายนางโดยไม่สนใจสถานะของตัวเอง บุรุษผู้นี้มีต้นทุนที่สามารถนำภัยพิบัติมาสู่ประเทศและราษฎรได้โดยแท้
“เปิ่นหวังรูปงามหรือไม่?” บุรุษผู้นั้นโพล่งขึ้นมากะทันหัน
เหยาเชียนเชียนรีบดึงสายตากลับ พยายามกวาดสายตามองไปรอบๆ แต่ยิ่งพยายามปกปิดก็ยิ่งชัดเจน นางพยายามสร้างภาพลวงตาที่สื่อว่า ‘หม่อมฉันไม่ได้มองพระองค์นะ จริงๆ แล้วหม่อมฉันแค่มองไปส่งเดชและกวาดสายตาไปถึงพระองค์พอดี’
“หวังเฟยคิดว่าระหว่างเปิ่นหวังกับพี่สาม ผู้ใดดีกว่ากัน?”
เหตุใดถึงเป็องค์ชายสามอีกแล้ว เหยาเชียนเชียนถอนหายใจโดยไร้เสียง จากนั้นก็ปั้นหน้ายิ้มแย้มและกล่าวอย่างจริงใจว่า “แน่นอนว่าต้องเป็ท่านอ๋องเพคะ”
“เช่นนั้นแล้วหวังเฟยคิดว่าเปิ่นหวังเหนือกว่าตรงที่ใดหรือ?”
เหยาเชียนเชียนรู้สึกวิงเวียนศีรษะและเหนื่อยใจเหลือเกิน นางคาดไม่ถึงเลยว่านี่จะเป็การถามเองตอบเอง การเปลี่ยนกลอุบายเพื่อให้ผู้อื่นชื่นชมตนเองเช่นนี้เหยาเชียนเชียนก็เพิ่งได้พบเห็นครั้งแรก ต่อให้ครุ่นคิดอย่างหนักแล้วก็คิดได้เพียงคำว่าหล่อเหลาสง่างาม และองอาจห้าวหาญทำนองนั้น
แต่นายท่านผู้นี้เรียกได้ว่าเป็คนที่เอาใจยากที่สุดในโลก คำพูดธรรมดาดาษดื่นเช่นนี้ย่อมไม่สามารถทำให้เขาพอใจได้
“หลายปีก่อน เปิ่นหวังเคยพบกับหวังเฟยครั้งหนึ่ง” ชิงผิงอ๋องกล่าว “เพียงแต่ยามนั้นอายุยังน้อย คาดว่าหวังเฟยก็จำไม่ได้เช่นกัน”
เช่นนั้นก็ต้องจำให้ได้น่ะสิ เขาจงใจกล่าวถึงก็เพราะอยากให้รับ่ต่อไม่ใช่หรือ ช่างเสแสร้งจริงๆ
เหยาเชียนเชียนยกนิ้วกลางอันน่ารักอยู่ในใจ พลางกล่าวด้วยใบหน้าที่แสดงความกระตือรือร้นสามส่วนและความจริงใจอีกเจ็ดส่วน “แน่นอนว่าหม่อมฉันจำสิ่งที่ท่านอ๋องตรัสได้เพคะ และในยามนั้นก็สามารถเห็นการกระทำอันแสนพิเศษในอนาคตของท่านอ๋องได้แล้ว หม่อมฉันจะลืมได้อย่างไร”
“เช่นนั้นหรือ” ชิงผิงอ๋องแสร้งทำเป็แปลกใจ “เช่นนั้นหวังเฟยจำสิ่งที่กล่าวกับเปิ่นหวังในยามนั้นได้หรือไม่ จนถึงยามนี้เปิ่นหวังก็ยากจะลืมเลือนมันไป”
เหยาเชียนเชียนนิ่งงันไร้ซึ่งคำพูดใดๆ
นางผิดไปแล้ว ถ้ายามนี้นางบอกว่าจำไม่ได้แล้วจะยังทันหรือไม่?
เป่ยเหลียนโม่หัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางราวกับฟ้าถล่มลงมาของนางและสายตาที่มองมาที่เขาอย่างมึนงงก็นึกอยากหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เหยาเชียนเชียนรู้สึกโกรธเล็กน้อยหลังจากอับอาย “ท่านอ๋องหลอกหม่อมฉันใช่หรือไม่ หม่อมฉันเคยพูดอะไรที่ไหนกัน”
“หืม?”
เป่ยเหลียนโม่กะพริบตาอย่างไร้เดียงสา “เปิ่นหวังไม่เคยหลอกหวังเฟย ยามที่อายุได้สามขวบ ใต้เท้าเหยาพาหวังเฟยเข้าวัง ครั้งแรกที่ได้พบกัน หวังเฟยชี้มาที่เปิ่นหวังแล้วบอกว่า ‘พี่ชายคนนี้รูปงามมาก ในอนาคตอยากแต่งงานด้วย’ หวังเฟยจำไม่ได้หรือ?”
ฟ้าผ่าตอนกลางวันแน่ๆ!
เหยาเชียนเชียนไม่รู้ว่ายามนี้นางกำลังอับอายหรือว่าโกรธแค้นมากกว่ากัน
อายุสามขวบ คำพูดของเด็กอายุสามขวบผู้ใดจะไปจำได้เล่า!
อีกอย่าง ถ้าเขาปั้นเื่ขึ้นมามั่วซั่วนางก็ไม่สามารถว่าเขาโกหกได้ ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
แท้จริงแล้วสิ่งที่เหยาเชียนเชียนไม่รู้คือคำกล่าวเหล่านี้เป็สิ่งที่เป่ยเหลียนโม่กล่าวไร้สาระ ที่เคยพบเขาเมื่ออายุสามขวบเป็เื่จริง แต่เหยาเชียนเชียนในยามนั้นประพฤติตนอยู่ในกฎระเบียบ คาดว่านางต้องได้รับการอบรมสั่งสอนจากที่บ้านอย่างเคร่งครัด ไม่อาจกล่าววาจาไร้สาระได้
เด็กอายุสามขวบที่ประพฤติตนอยู่ในกรอบเช่นนั้น เหตุใดในยามนี้จึงมีเสน่ห์ล้นเหลือถึงเพียงนี้ หากนางเป็ดังเช่นที่เป็อยู่ในยามนี้ ถ้าย้อนกลับไปยามที่อายุสามขวบก็อาจจะให้นางลองเรียกเขาว่าพี่ชายดูสักครั้ง
“ห่างหายกันไปนานเหลือเกิน หม่อมฉัน...จำไม่ค่อยได้แล้วเพคะ”
เหยาเชียนเชียนตอบด้วยเสียงแหบแห้ง “ลำบากให้ท่านอ๋องต้องพะวงมาหลายปีแล้ว วัยเด็กหม่อมฉันไม่รู้ความ โปรดท่านอ๋องอย่าได้กล่าวโทษเลยเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่เอียงศีรษะเล็กน้อยคล้ายกับสนใจท่าทางเขินอายของนางมาก หลังจากพินิจมองนางเป็เวลานานก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สูงขึ้นว่า “ใช่แล้ว เวลาผ่านมานานมากจริงๆ นานจนกระทั่งเปิ่นหวังก็จำได้ไม่ค่อยชัดเจนแล้วเช่นกัน หวังเฟยมิสู้ลองกล่าวอีกสักครั้ง เพื่อที่เปิ่นหวังจะได้จดจำไว้อย่างละเอียด”
เหตุใดต้องจดจำเื่แบบนี้ด้วยเล่า ครั้งแรกก็จดจำมาได้หลายปีแล้ว คาดไม่ถึงว่ายัง้าจะจดจำใหม่อีกเป็ครั้งที่สอง
นางอ้าปากเตรียมหาเหตุผลที่จะปฏิเสธ ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงตาคาดหวังของเป่ยเหลียนโม่ที่กำลังมองมาทางนางอย่างจริงจังด้วยสีหน้าราวกับถ้าไม่ได้ฟังจะต้องรู้สึกผิดหวังอย่างแน่นอน
เหยาเชียนเชียนกลืนน้ำลาย แม้ว่าร่างกายนี้ของนางจะมีอายุไม่ถึงยี่สิบปี ทว่าก่อนย้อนเวลามานางก็มีอายุเกือบเข้าเลขสามแล้ว อยู่ๆ ต้องมาเรียกเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าตัวเองสิบกว่าปี...ต้องเรียกเด็กชายหรือไม่นะ?
มันก็น่าละอายใจเกินไปหน่อยถ้าต้องเรียกเขาว่าพี่ชาย
“หวังเฟยยังต้องเตรียมตัวอีกนานเท่าใดหรือ” ชิงผิงอ๋องเร่งเร้าอย่างเฉื่อยชา “ยามนี้ไม่มีผู้ใด หรือว่าหวังเฟยอยากลงจากรถม้าแล้วกล่าวให้เปิ่นหวังฟังอย่างจริงจังต่อหน้าสาวใช้มากมาย”
ผู้ใดจะไปทำเล่า แค่คิดก็โง่แล้ว!
เหยาเชียนเชียนกำหมัดแน่น นางก้มหน้าลงทำให้เป่ยเหลียนโม่เห็นเพียงใบหูสีแดงของนาง ก่อนจะพูดด้วยเสียงเบาหวิวราวกับเสียงแมลงหวี่
“พี่...พี่ชายรูปงาม ในอนาคตอยาก...อยากแต่งงานด้วย...”
เหยาเชียนเชียนปิดหน้าอย่างสิ้นหวังด้วยไม่อยากเห็นสีหน้าของเป่ยเหลียนโม่ในยามนี้ ดังนั้นจึงพลาดท่าทางเขินอายและความอ่อนโยนที่หาได้ยากของชิงผิงอ๋องไป
รถม้าที่บรรทุกความตื่นเต้นและความลิงโลดของทั้งคู่ไว้ ในที่สุดก็หยุดลงที่ริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง
ทะเลสาบแห่งนี้กว้างใหญ่มาก มองเพียงปราดเดียวก็ไม่สามารถเห็นจุดสิ้นสุดได้ เหยาเชียนเชียนถูกประคองลงจากรถม้าด้วยความช่วยเหลือจากเป่ยเหลียนโม่ ใบหน้าเล็กยังคงแดงเรื่อ ส่งผลให้ทุกคนต่างพากันก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองอีก
ท่านอ๋องกับหวังเฟยรักกันมากจริงๆ
“เราจะล่องเรือกันที่นี่หรือเพคะ?”
เหยาเชียนเชียนถามอย่างสับสน หากไม่ได้มองผิดไป ทะเลสาบแห่งนี้น่าจะเป็สถานที่ที่ชาวประมงใช้เป็สถานที่เลี้ยงปลาโดยเฉพาะ มองไปมีเพียงเรือประมง อีกทั้งยังโล้นเตียนไม่มีสิ่งใดน่าดูชม จะให้ดูน้ำหรือ?
ชิงผิงอ๋องตอบรับอย่างง่ายๆ เสียงหนึ่ง ก่อนจะสั่งให้บ่าวไพร่ขนสิ่งของบนรถม้าย้ายไปไว้บนเรือนแทน เหยาเชียนเชียนหันไปมอง ฝั่งที่รถม้าจอดอยู่คือทะเลสาบ ส่วนที่ขวางอยู่อีกด้านคือเรือนพักผ่อนอันโอ่อ่าหลังหนึ่ง มีอักษรคำว่า 'ชิงหลิง' เขียนเอาไว้
“เรือนพักผ่อนชิงหลิง?” นางอ่านออกเสียงอย่างอดไม่ได้ “ที่นี่คือเรือนพักผ่อนบนูเาจริงๆ หรือเพคะ?”
เป่ยเหลียนโม่เดินไปข้างๆ นางพร้อมพยักหน้ารับ “ที่นี่คือเรือนพักผ่อนของเปิ่นหวัง แม้ว่าจะไม่ได้มาที่นี่สักพักแล้ว แต่ภายในก็ยังมีคนคอยเก็บกวาดดูแลอยู่เสมอ อยากเข้าไปดูหรือไม่?"
เหยาเชียนเชียนพยักหน้าและเดินตามเขาเข้าไปข้างใน ด้านข้างคือเหล่าบ่าวไพร่ที่ทยอยขนย้ายสิ่งของเข้าไปข้างในอย่างไม่ขาดสาย ถึงว่าเล่าเหตุใดมาล่องเรือถึงต้องขนของมามากมายเช่นนี้ เรือต้องใหญ่เท่าใดถึงจะวางของลงไปได้พอ ที่แท้ก็มีเรือนพักผ่อนอยู่นี่เอง
“ถวายบังคมท่านอ๋อง ถวายบังคมหวังเฟย”
พ่อบ้านที่รออยู่ที่หน้าประตูมาั้แ่เช้าแล้วกล่าวว่าภายในเรือนถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดทุกซอกทุกมุมแล้ว ท่านอ๋องและหวังเฟยสามารถเดินชมรอบๆ ได้หาก้า
“ท่านอ๋อง” เหยาเชียนเชียนลอบเรียกเขาเบาๆ “เรามาที่นี่เพื่อล่องเรือกันมิใช่หรือเพคะ หากเดินชมที่นี่จนครบรอบเกรงว่าจะเย็นมากแล้ว อาเหยียนอยู่จวนเพียงลำพังหม่อมฉันเป็ห่วงเหลือเกิน เรารีบไปล่องเรือแล้วกลับกันเถิดเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่จับมือนางเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ไปดูตรงนั้นกันก่อนเถิด พักผ่อนเสียหน่อย จะรีบมารีบล่องเรือได้อย่างไร ถึงจะไปขึ้นเรือเลยก็คงจะไม่สบายตัวนัก”
“ถูกต้อง ท่านอ๋องตรัสได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านเข้าใจสายตาสื่อนัยเป็อย่างดี จึงแนะนำสถานที่ให้เหยาเชียนเชียนฟังอย่างกระตือรือร้น “ทิวทัศน์ในแต่ละจุดของเรือนพักผ่อนแห่งนี้ล้วนแตกต่างกัน หากหวังเฟยทรงโปรดการล่องเรือจริงๆ เช่นนั้นก็ต้องรอเหล่าบ่าวไพร่ตระเตรียมสิ่งของให้พร้อมเสียก่อน ไม่สามารถขึ้นเรืออย่างรีบร้อนได้ พระองค์ทรงเห็นด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เหยาเชียนเชียนไม่คัดค้านอีกต่อไป เพราะหลังจากฟังจบก็ดูเหมือนว่านางจะรีบร้อนไปเสียหน่อย นั่งรถม้ามาตลอดทาง พอมาถึงก็ะโลงเรือเลยโดยไม่ได้หยุดพักสักนิด หากรีบด่วนเร่งรัดเช่นนี้จะเป็การท่องเที่ยวผ่อนคลายได้อย่างไร
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางจึงสงบลง ถึงอย่างไรที่นี่ก็อยู่ไม่ไกลจากนครหลวง เดินเที่ยวเล่นสักหน่อยก็ยังกลับไปได้ทัน
แต่ผู้ใดเล่าจะคิดว่าการท่องเที่ยวครั้งนี้ไม่สามารถใช้คำว่าสักหน่อยได้แล้ว
เหยาเชียนเชียนไม่อยากทำให้ตัวเองดูเหมือนคนไม่มีประสบการณ์มากนัก แต่ไม่ว่าจะก้าวไปทางใดสวนป่าแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยทิวทัศน์งดงาม เพียงแค่สวนดอกไม้ก็ทำให้นางมองสำรวจรอบๆ อยู่เนิ่นนาน
“บนูเาอีกด้านหนึ่งยังมีสิ่งน่าสนใจที่แปลกและหายากอยู่มากมาย ล้วนเป็สิ่งที่ไม่สามารถพบเจอได้ในนครหลวง หวังเฟยอยากขึ้นไปดูหรือไม่”
ชิงผิงอ๋องอาสารับหน้าที่เป็ผู้นำทางอธิบายว่า เรือนพักผ่อนแห่งนี้เป็รางวัลที่ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ เขาเคยมาที่นี่สองสามครั้งและไม่ได้สนใจมากนัก แต่เห็นว่าเหยาเชียนเชียนชอบที่นี่มาก เขาจึงรู้สึกว่าที่นี่ก็ไม่เลว และคุ้มค่าต่อการเยี่ยมชม
“ท่านอ๋องดูสิเพคะ” เหยาเชียนเชียนชี้ไปที่กอเห็ดกอหนึ่งอย่างตื่นเต้น สิ่งที่พบเห็นได้มากที่สุดในชาติที่แล้วของนางล้วนเป็ตึกสูงระฟ้า สำหรับนาง ภาพทิวทัศน์เช่นนี้เป็สิ่งที่พบเห็นได้น้อย นางเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ อย่างอดไม่ได้ พร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆ
“หม่อมฉันไม่เคยเห็นดอกไม้นี้มาก่อนเลย แล้วก็ผลไม้นี้ด้วย มันกินได้หรือไม่เพคะ?”
นางเด็ดผลไม้ออกมาพวงหนึ่งอย่างระมัดระวัง ผลสีแดงสดนั้นสวยงามมาก นางหมายจะหันไปให้เป่ยเหลียนโม่ดู แต่ไม่ทันระวังก้อนหินใต้เท้า เมื่อเหยียบหินขณะกำลังจะหันไปเผชิญหน้ากับเขา นางก็ทำท่าจะล้มลงไปเสียก่อน
“ระวังหน่อย” ท่อนแขนแข็งแรงเข้ามาโอบเอวของนางไว้ แผ่นหลังของเหยาเชียนเชียนแนบชิดกับแผ่นอกอันแข็งแกร่งของชายหนุ่ม ทั้งคู่อยู่ในท่าแผ่นหลังแนบแผ่นอกพึ่งพิงกันอย่างแแ่ และข้างใบหูของเหยาเชียนเชียนยังเป็น้ำเสียงแฝงความรักใคร่เล็กน้อยของเป่ยเหลียนโม่
“ถ้าล้มลงไปจะทำอย่างไร ส่งมือมาให้เปิ่นหวังสิ”
