มือทั้งสองของเยว่เฟิงเกอที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำลังกำแน่น
ยามนี้นางเปียกปอนไปทั้งร่าง จำต้องรีบเปลี่ยนอาภรณ์ แต่มีม่อหลิงหานอยู่ แน่นอนว่านางจะเปลี่ยนอาภรณ์ต่อหน้าเขาไม่ได้
นางกลอกตาแล้วฉีกยิ้มกว้างให้ม่อหลิงหานอีกครั้ง “ท่านอ๋องทรงหันไปก่อนได้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันจำต้องเปลี่ยนอาภรณ์”
“พระชายาก็แค่จะเปลี่ยนอาภรณ์ เหตุใดเปิ่นหวางต้องหันไปด้วย? ” ยามที่ม่อหลิงหานพูดประโยคนี้ออกมา เขาก็เลิกคิ้วไปด้วย
เมื่อเยว่เฟิงเกอได้ยินเช่นนี้ ก็โกรธจนแทบเป็ลม นางกำลังคิดจะะเิอารมณ์ใส่เขา แต่จู่ๆ ในสมองก็นึกถึงภารกิจเอาอกเอาใจขึ้นมา จึงได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึกสองสามครั้ง เพื่อให้อารมณ์ของตนสงบลงได้
“แต่หากท่านอ๋องไม่หันไป หม่อมฉันก็เปลี่ยนอาภรณ์ไม่ได้นะเพคะ” เยว่เฟิงเกอโน้มน้าวด้วยเสียงไพเราะ
นางพร่ำบอกตัวเองในใจว่าจะะเิอารมณ์ไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นสิ่งที่ทำไปเมื่อครู่จะสูญเปล่าทั้งหมด
ม่อหลิงหานส่งเสียง “อ้อ” ลากยาว
เพียงแต่เขาก็แค่อ้อไปเสียงหนึ่ง โดยที่ยังไม่มีความคิดจะหันกายไป
ยามนี้เยว่เฟิงเกอรู้สึกไม่สบายตัวเอามากๆ เพราะอาภรณ์ชื้นแฉะบนร่าง จึงอยากรีบร้อนเปลี่ยนเสื้อผ้าใจจะขาด
ม่อหลิงหานเห็นท่าทางอยู่ไม่สุขของนาง ก็ไม่คิดแกล้งอีก ค่อยๆ หันกายไปช้าๆ
“พระชายารีบเปลี่ยนอาภรณ์เถอะ” ม่อหลิงหานหันหลังให้เยว่เฟิงแล้วส่งเสียงเตือน
เยว่เฟิงเกอรีบร้อนเปลี่ยนเป็อาภรณ์ตัวใหม่ที่สะอาดสะอ้าน ขณะที่ดวงตาทั้งคู่ของนางยังคงจ้องม่อหลิงหานอย่างเอาเป็เอาตายด้วยเกรงว่า จู่ๆ เขาจะหันหลังกลับมา
โชคดีที่ม่อหลิงหานยังนับว่าเป็สุภาพบุรุษ ไม่ได้หันมาแอบดูตอนที่นางเปลี่ยนอาภรณ์
สุดท้ายเมื่อเยว่เฟิงเกอเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จเรียบร้อย นางถึงได้นั่งลงบนเก้าอี้ ไม่กล้าไปนอนที่เตียง
ที่จริงตอนที่เยว่เฟิงเกอเปลี่ยนอาภรณ์ ม่อหลิงหานก็อยากจะส่งเสียงเตือนนางอีกครั้งว่า ในเมื่อกำลังจะเข้านอนแล้ว เหตุใดยังต้องเปลี่ยนอาภรณ์อีก แค่ถอดอาภรณ์ตัวนอกออกแล้วนอนด้วยอาภรณ์ตัวในก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้ที่เยว่เฟิงเกอพูดว่า ระหว่างพวกเขาไม่มีความรู้สึกอะไรต่อกัน เขาจึงได้แต่ปิดปากเงียบ ไม่ทักท้วงเยว่เฟิงเกออีก
เยว่เฟิงเกอนั่งลงบนเก้าอี้ นางมองแผ่นหลังของม่อหลิงหานที่ไม่ขยับไหว ท่าทางคล้ายว่าจะหลับไปแล้ว จากนั้นจึงค่อยๆ ย่องเข้าแล้วไปโน้มตัวลงดูเขา เห็นว่าเขาหลับตาพร้อมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
ดูท่าคนคงจะหลับไปแล้วจริงๆ
เยว่เฟิงเกอคลุมผ้าห่มไว้บนร่างม่อหลิงหาน ส่วนตัวนางเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้
นางยกมือขึ้นเท้าคาง ดวงตาปริบปรือชนิดที่แทบจะลืมไม่ขึ้นแล้ว ก่อนที่สุดท้ายจะตัดสินใจพาดหลับไปบนโต๊ะ
ไม่รู้หลับไปนานแค่ไหน เยว่เฟิงเกอรู้สึกเหมือนร่างของตนลอยขึ้น
จากนั้นนางก็ถูกกำแพงมนุษย์โอบล้อมไว้ และเพราะกำแพงมนุษย์นั้นอบอุ่นมาก ทำให้นางอดเบียดอดซุกตัวไปกับอีกฝ่ายไม่ได้
เมื่อม่อหลิงหานเห็นว่าสตรีในอ้อมแขนกำลังหลับสบาย ทั้งยังขยับเข้ามาเบียดเขาเรื่อยๆ ก็ทำเพียงกระชับวงแขนกอดนางให้แน่นขึ้น
ตอนนี้เอง เสียงอะไรบางอย่างก็ดังขึ้นพร้อมแรงสั่นไหวน้อยๆ
ม่อหลิงหานรับรู้ได้ว่า เสียงนี้ดังมาจากใต้หมอน
เขายื่นมือไปควานใต้หมอน หยิบโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นไหวออกมา
ม่อหลิงหานไม่เคยเห็นของในมือมาก่อน มันมีทรงเหลี่ยมๆ ยาวๆ เมื่อใช้มือััก็เปล่งแสงสว่าง
ม่อหลิงหานก้มลงมองเยว่เฟิงเกอที่กำลังหลับสนิท สายตาที่เดิมทียังอ่อนโยนค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็เ็า
เขาคิดมาตลอดว่าเยว่เฟิงเกอไม่ใช่องค์หญิงแห่งแคว้นเสวี่ยอวี้ ดังนั้น ของที่มีความเป็มาไม่ชัดเจนในมือเขาเป็ไปได้มากที่จะเป็อุปกรณ์ลับที่เยว่เฟิงเกอใช้ติดต่อกับแคว้นอื่น
ในใจคิดเช่นนี้ ม่อหลิงหานก็ยัดโทรศัพท์กลับเข้าไปใต้หมอน
เขาตัดสินใจแล้ว นับแต่นี้ไปเขาจะจับตามองการเคลื่อนไหวของเยว่เฟิงเกอโดยละเอียด เขาอยากจะรู้ว่าเยว่เฟิงเกอใช้ของสิ่งนี้แอบติดต่อกับใคร
น่าเสียดาย เยว่เฟิงเกอที่กำลังหลับใหลไม่ได้รับรู้เื่นี้ด้วย มิเช่นนั้นนางคงได้ชี้หน้าม่อหลิงหานแล้วหัวเราะเสียงดังออกมา บอกว่าเขาเป็คนโง่งมที่หูตาไม่กว้างไกล
คืนนี้ฝนตกหนักยิ่ง ด้านนอกมีเสียงฟ้าร้องดังไม่หยุด ขณะที่เยว่เฟิงเกอที่นอนซุกอยู่ในอ้อมแขนของม่อหลิงหานเรียกได้ว่าหลับสบายดี แต่กลับกลายเป็ลำบากที่ม่อหลิงหาน เพราะนางนอนไม่ค่อยเรียบร้อยนัก สักพักก็ใช้ขาพาดไปที่เอวของม่อหลิงหาน สักพักก็ใช้มือไปลูบหน้าของม่อหลิงหาน ทั้งยังละเมอพึมพำว่า “ม่อหลิงหาน คนเลว ชมข้าสักหน่อยก็ไม่ได้เลยหรือ”
เดิมทีม่อหลิงหานถูกมือของเยว่เฟิงเกอทำเอาหัวใจคันยุบยิบไปแล้ว เมื่อได้ยินเสียงพึมพำนี้ของนางอีกก็ยิ่งแทบจะอดใจไม่ไหวอยากนาง
สตรีน้อยนางนี้ หรือว่าการที่เขาชมนางสักนิดสักหน่อยจะสำคัญถึงเพียงนั้น?
ม่อหลิงหานคิดอยู่เช่นนี้ในใจ จากนั้นจึงสลัดความสงสัยใดๆ ต่อเยว่เฟิงเกอทิ้งไป เขาค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าใกล้เยว่เฟิงเกอ จุมพิตลึกซึ้งลงบนริมฝีปากของนาง...
เช้าวันถัดมา เมื่อเยว่เฟิงเกอตื่นขึ้นก็รู้สึกไม่สบายที่ริมฝีปาก
เมื่อนางลืมตาขึ้นก็พบว่า เดิมทีนางนอนหลับอยู่บนเก้าอี้ แต่ยามนี้กลับมาเอนกายอยู่บนเตียงนุ่ม ขณะที่ม่อหลิงหานเองได้จากไปนานแล้ว
เยว่เฟิงเกอรีบร้อนเปิดผ้าห่มออกดูอาภรณ์บนร่างตน โชคดีที่นางยังคงสวมชุดเดิมชุดเดียวกันกับเมื่อคืน นางถึงได้ถอนใจโล่งอก
ทว่า เมื่อชิงจื่อผลักประตูเข้ามา เห็นริมฝีปากของเยว่เฟิงเกอนั้นก็อดส่งเสียงใไม่ได้ “พระชายา เหตุใดริมฝีปากจึงบวมเช่นนั้นเพคะ? ”
เยว่เฟิงเกอได้ยินเสียงใของชิงจื่อ ก็รีบร้อนลุกขึ้นจะไปส่องกระจก
ชิงจื่อรีบหยิบกระจกทองแดงมาให้เยว่เฟิงเกอส่อง
เมื่อนางส่องกระจกก็เห็นว่าปากของตนบวมเป่งคล้ายกินไส้กรอกย่างสองชิ้นเข้าไปก็ไม่ปาน
“นี่มันอะไรกัน หรือว่าปากข้าจะถูกยุงกัด? ” เยว่เฟิงเกอมองอยู่นานก็ยังไม่เห็นร่องรอยการถูกกัด
ชิงจื่อขบคิด จากนั้นกล่าวว่า “คงไม่ใช่ว่าเมื่อคืนพระชายานอนละเมอออกไปแอบกินพริกเข้าจนปากของตนบวมเช่นนี้หรอกนะเพคะ? ”
เยว่เฟิงเกอส่ายหน้า “ไม่มีทาง ข้าไม่เคยละเมอเดินไปเดินมาเสียหน่อย เพียงแต่...”
นางยังไม่ทันพูดจบ สมองก็ะเิโพล๊ะราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้
เมื่อคืนฝนตกหนัก จากนั้นนางก็นอนพาดหลับไปกับโต๊ะ
ไม่นานนักก็รู้สึกเหมือนร่างของตนจะลอยขึ้น ก่อนที่นางจะซุกร่างเข้ากับกำแพงมนุษย์
์ คงไม่ใช่ว่าเมื่อคืนนางนอนกับม่อหลิงหานหรอกนะ
ส่วนริมฝีปากนางนี้ก็เป็ไปได้มากว่าจะถูกม่อหลิงหานจุมพิตจนบวมเป่งเช่นนี้
ม่อหลิงหาน คนสารเลว
“พระชายา พระชายาทรงไม่เป็อันใดนะเพคะ” ชิงจื่อแกว่งมือไปมาตรงหน้านาง
เยว่เฟิงเกอดึงสติกลับมาได้ก็ตอนนี้เอง นางลงจากเตียง ไม่หวีผมล้างหน้าก็มุ่งหน้าไปยังเรือนหานโยวทันที
นางจะไปถามม่อหลิงหานว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทว่า ระหว่างที่เยว่เฟิงเกอออกไปจากเรือนเยว่เหยา และได้ผ่านสระบัวนั้น ก็ได้ยินเสียงแมวร้องครวญครางอย่างน่าสงสาร
เมื่อหันไปมองก็เห็นจิ๋วปิ่งกำลังดิ้นรนอยู่ในน้ำ ท่าทางเหมือนจะจมน้ำตายอยู่รอมร่อ
เยว่เฟิงเกอะโลงไปในสระบัวโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น
นางว่ายน้ำเข้าไปจับตัวจิ๋วปิ่งมา
ในที่สุดจิ๋วปิ่งก็ได้รับความช่วยเหลือ แมวตัวน้อยพาดตัวไปกับอ้อมอกของนาง เนื้อตัวสั่นเทา กล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ “นึกว่าตัวข้าท่านเก้าจะต้องมาตายอยู่ที่นี่เสียแล้ว เ้าช่างใจดียิ่งนัก ช่วยชีวิตข้าไว้ เ้าวางใจเถอะ วันหน้าท่านเก้าต้องตอบแทนเ้าอย่างดีแน่นอน”
เมื่อขึ้นมาบนฝั่งได้ เยว่เฟิงเกอก็เช็ดขนให้จิ๋วปิ่ง “เหตุใดเ้าไม่ระวังเอาเสียเลย หากข้ามาช้ากว่านี้อีกก้าว เกรงว่าชีวิตน้อยๆ ของเ้านี้คงจะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว”
จิ๋วปิ่งแค่นเสียงเ็า ร่างกายสั่นเทา “หึ ท่านเก้าไม่ได้ะโลงไปเองเสียหน่อย เป็สตรีหน้าเหม็นนั่นที่โยนท่านเก้าลงไป”
“สตรีนางใดโยนเ้าลงไป? ” ยามที่กล่าวออกมา ในสมองเยว่เฟิงเกอพลันปรากฏภาพใบหน้าของฉินหว่าน
“หึ จะเป็ใครไปได้อีก ก็ชายารองของจวนพวกเ้า ฉินหว่านไงเล่า” คำพูดของจิ๋วปิ่งช่วยยืนยันความคาดเดาของเยว่เฟิงเกอ