เดิมทีเยี่ยนฟางหวาก็แต่งกายหรูหรางดงามเกินใคร แต่ขณะนี้กลับโดนเยี่ยนเจาเจาแย่งความโดดเด่นไปครึ่งหนึ่ง ส่วนเยี่ยนฟางอู๋ข้างหลังก็ไม่น้อยหน้า
ทว่าเยี่ยนฟางหวากลับไม่โกรธ
นางเพียงส่งยิ้มบางเบาและไม่พูดจาว่าร้ายเยี่ยนเจาเจาต่อหน้าคนอื่นอีก ก่อนจะจูงเหลียงซือซือที่หน้าตาขุ่นเคืองเดินจากไป ยามเยื้องย่างสายตานางก็วาดผ่านใบหน้าเยี่ยนเจาเจาเหมือนสายน้ำไหลโดยไม่กล่าวอันใดมาก
เยี่ยนฟางหวาทำตัวผิดปกติเช่นนี้ ต้องมีเื่ไม่ชอบมาพากลแน่
เยี่ยนเจาเจารู้จักเยี่ยนฟางหวาเป็อย่างดี เยี่ยนฟางหวาไม่ใช่คนมีขันติและนุ่มนวลเลยสักนิด คราวนี้นางยอมกล้ำกลืนฝืนทน เกรงว่าเื้ัจะมีหลุมพรางรอให้เจาเจาะโลงไปอยู่
เยี่ยนฟางหวายั่วยุนางครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับรอแทบไม่ไหวที่จะตกอยู่ในเงื้อมมือตน จนทำให้นางรู้สึกจนปัญญานัก
ทว่าเยี่ยนเจาเจาไม่กลัวแผนการทั้งลับและแจ้งที่เริ่มเผยเค้าลางออกมาหรอก
ดังนั้นเยี่ยนเจาเจาจึงร้องเรียก “พี่หญิงใหญ่เ้าคะ”
นางยืนนิ่งเงียบพลางเอียงศีรษะเล็กน้อย รอจนเยี่ยนฟางหวาหันกลับมาค่อยยิ้มอ่อน “พี่หญิงใหญ่เรียกหาข้า เพราะ้าให้ข้าเขียนกลอนมิใช่หรือเ้าคะ?”
เยี่ยนฟางหวารู้ว่าเจาเจาไม่ถนัดเขียนกลอน พอได้ยินนางเอ่ยกะทันหันเยี่ยงนี้เลยอดตกตะลึงไม่ได้
“แต่เป็ที่ทราบกันดีว่าข้าไม่ใช่คนเ้าบทเ้ากลอน มิสู้ให้ข้าวาดภาพจากกลอนของพี่หญิงเล่าเ้าคะ”
เยี่ยนเจาเจาเดินยิ้มมาทางเยี่ยนฟางหวา
ทั้งๆ ที่นางเดินย่างกรายทีละก้าวๆ ทว่าบุคลิกกลับเปลี่ยนไปฉับพลัน ราวกับคุณหนูผู้หยิ่งผยองไร้พิษภัยได้กลายสภาพเป็เพลิงแผดเผาริมหน้าผาสูงชันในพริบตา...ร่องรอยเ็าผสมปนเปกับความอันตรายที่พรั่งพรูออกมาทำให้มองใบหน้าของนางไม่ชัด เหลือเพียงเสียงเสียดสีของชายอาภรณ์นุ่มนิ่มที่ลากกับพื้นพรมเท่านั้น
่ไม่กี่ปีสุดท้ายในชาติก่อน เยี่ยนเจาเจาก็มีรูปลักษณ์น่าใกลัวเช่นนี้ ปัจจุบันนางสลัดพันธนาการเกี่ยวกับเหลียงอินทิ้งจึงยิ่งเปล่งประกายกว่าเดิม
ทุกคนต่างมองออกทั้งนั้น ว่าคุณหนูที่เคยเก็บเนื้อเก็บตัวทว่าเย่อหยิ่งผู้นี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว
เป็การเปลี่ยนแปลงเงียบๆ ที่ไร้สัญญาณเตือนแต่เกิดขึ้นอย่างอึกทึก พลังของนางคุกคามจนเยี่ยนฟางหวาเผลอถอยหลังไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว และครึ่งก้าวนี้ก็แสดงความแตกต่างระหว่างทั้งสองได้ชัดเจน
ขนตาของเยี่ยนฟางอู๋สั่นไหว และถอยครึ่งก้าวเพื่อหลีกเลี่ยงลูกหลงเช่นกัน
แต่เยี่ยนเจาเจาเดินมาถึงข้างกายเยี่ยนฟางหวาแล้ว เพียงแค่เจาเจายกมือก็มีคนรู้ความส่งกลอนของเยี่ยนฟางหวาเมื่อครู่มาถึงมือนาง
เยี่ยนเจาเจาหลุบั์ตาลงอ่าน ลมหายใจสะดุดเล็กน้อย
กลอนดีอยู่หรอก แต่กลับถือดีสุดๆ ราวกับไม่มีที่พร่ำพรรณนาความเก่งกาจของตนเองจนต้องกัดฟันใช้กลอนนี้เขียนระบายออกมาในคราวเดียว ในกลอนจึงเต็มไปด้วยด้วยความคับแค้นที่ต้องยืนหยัดต่อสู้ตามลำพัง
มองแวบเดียวก็บอกได้ว่ากลอนนี้ไม่ใช่ฝีมือของเยี่ยนฟางหวา
เดิมทีเยี่ยนเจาเจาอยากจะไว้หน้าบางๆ ของนางสักสองส่วน แต่วันนี้นางกลับเดินเข้ามาให้ตนทุบตีหน้าตาเฉย ซึ่งถือว่าเพิ่มความสนุกให้วันอันแสนน่าเบื่อของเยี่ยนเจาเจาได้พอดี
ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก เมื่อเยี่ยนเจาเจาหลุบตาอ่านกลอน กลิ่นอายทรงพลังจึงพลันลดลงไป ลำคอขาวราวหิมะที่ก้มเล็กน้อยดูอ่อนนุ่มเกลี้ยงเกลา
ทว่าครู่เดียวนางก็ยิ้มออกมา “พี่หญิงใหญ่ กลอนนี้ท่านประพันธ์เองหรือเ้าคะ?”
หัวใจเยี่ยนฟางหวาเต้นกระหน่ำ
นางมองั์ตาเปื้อนยิ้มของเยี่ยนเจาเจา ไม่รู้เหตุใดถึงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
กลอน...
อย่างไรก็ตาม กลอนของเยี่ยนฟางหวาก็เพิ่งยกพู่กันเขียนท่ามกลางสายตาผู้คนหมู่มาก ยามนี้รอยหมึกบางจุดบนกระดาษยังไม่แห้งด้วยซ้ำ
แล้วนางก็เหมือนนึกบางอย่างได้ จึงซ่อนความกลัวทั้งหมดในแววตา แล้วเปลี่ยนกลับมาเป็รูปลักษณ์สุภาพอ่อนโยนตามเดิม ก่อนกล่าวแ่เบา “ใช่”
หลังได้ยินเช่นนั้น เยี่ยนเจาเจาเหมือนจะผ่อนคลายลง
“ถ้าอย่างนั้นคงน่าเสียดายแล้ว ข้าเคยอ่านกลอนบทนี้มาก่อน”
เยี่ยนเจาเจาค่อยๆ คลายแผ่นกระดาษในมือให้ปลิวตกลงพื้นราวกับที่ถืออยู่ไม่ใช่กลอนที่ได้รับคำชื่นชมล้นหลามเมื่อสักครู่
ทั้งห้องเงียบสนิท
ไม่มีใครคาดคิดว่าเยี่ยนเจาเจาจะกล้าเอ่ยตามตรงเช่นนี้ ตระกูลขุนนางเก่าแก่ของต้าซีถือคติว่า “หนึ่งร่วงล้วนร่วง หนึ่งโรจน์ล้วนโรจน์[1]” มาตลอด แม้เหล่าคุณหนูในเรือนหลังจะทะเลาะเบาะแว้งกันเพียงใด แต่เมื่อออกมาข้างนอกก็ถือว่าเป็แซ่เดียวกัน อย่างมากก็แค่พูดจาว่าร้ายสักหน่อยคล้ายเยี่ยนฟางหวา ทว่าไม่เคยมีใครโผงผางตามอำเภอใจเหมือนเยี่ยนเจาเจามาก่อน
เยี่ยนเจาเจาย่ำกระดาษแผ่นนั้นไป ดั่งเช่นที่นางเหยียบหน้าเยี่ยนฟางหวาจนจมดินเมื่อสักครู่
คนรอบข้างต่างตกตะลึงกับคำพูดและท่าเดินทอดน่องของนาง จนเปิดทางให้นางเดินผ่านไปยังหน้าที่นั่งประธานโดยไม่รู้ตัว
ผู้ที่นั่งบนเก้าอี้ประธานคือคุณหนูทั้งสองของจวนฝูอ๋อง พวกนางสบตากันชั่วครู่ ก่อนเหลียงอี้ซึ่งอายุน้อยกว่าจะหยัดกายขึ้นและสละที่นั่งของตนเองให้เยี่ยนเจาเจา
เยี่ยนเจาเจานั่งลงเชื่องช้า แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานราวกับกำลังบดผงชาด ลับคมดาบยวนยาง[2] พลางยกนิ้วชี้ตรงไปที่ใบหน้าซีดเผือดของเยี่ยนฟางหวา “พี่หญิงใหญ่ ข้าถามท่านอีกครั้ง กลอนบทนี้ท่านเขียนเองหรือเปล่า?”
คำตอบของเยี่ยนฟางหวาเขียนอยู่บนหน้า ทว่านางยังยืนตัวตรงมองเยี่ยนเจาเจา “ใช่”
เยี่ยนเจาเจาสังเกตเห็นว่าเยี่ยนฟางหวาแลกเปลี่ยนสายตากับเยี่ยนฟางอู๋ข้างกาย แม้วิธีสื่อสารระหว่างทั้งสองจะไม่มีสิ่งใดไม่เหมาะสม แต่กลับรู้สึกแปลกขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
อีกนัยหนึ่ง...เยี่ยนเจาเจารู้สึกว่าการแสดงออกของเยี่ยนฟางหวามีบางอย่างแปลกๆ อยู่ตลอด ไม่กี่วันก่อนเพิ่งป่วยจนล้มหมอนนอนเสื่อ วันนี้กลับะโโลดเต้น
ตกลง...มันผิดปกติตรงไหนกันแน่?
เมื่อนึกไปถึงความช่วยเหลือที่เยี่ยนฟางอู๋หยิบยื่นให้ตนเอง เยี่ยนเจาเจาก็ยิ่งมึนงงเล็กน้อย แต่ความรู้สึกนั้นก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าอย่างนั้นคงโชคร้ายแล้วจริงๆ ข้าไม่รู้เลยว่าคนจิตใจบริสุทธิ์และฉลาดหลักแหลมเช่นพี่หญิงใหญ่ผู้นี้จะสามารถแบ่งปันแรงบันดาลใจกับคนอื่น”
ความจริงนางพูดเพื่อถ่วงเวลาเท่านั้น หาก้าตบหน้าเยี่ยนฟางหวา นางไม่พึ่งพาคำพูดเพียงไม่กี่คำหรอก...แต่นางกำลังรอหนานิเหอพาเหรินเหยามาต่างหาก
เหรินเหยา...เยี่ยนเจาเจารู้สึกว่านามนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ทว่าชาติก่อนเหรินเหยาอายุสั้นเกินไป ความผยองและทรนงของนางไม่ใช่เื่ดีสำหรับวงการขุนนาง ดังนั้นเลยเงียบหายไปในไม่ช้า ตอนเยี่ยนเจาเจาคุมอำนาจ เหรินเหยาก็กลายเป็คนตายบนหน้าประวัติศาสตร์แล้ว
เยี่ยนฟางหวา เยี่ยนฟางอู๋ เหรินเหยา วันที่ 4 เดือน 4 และจวนฝูอ๋อง ดูเหมือนทั้งหมดนี้จะมีความเกี่ยวข้องคลุมเครือกันบางอย่าง แต่ข้อมูลที่ใช้ได้จากชาติก่อนมีน้อยเกินไป ทำให้ตอนนี้เยี่ยนเจาเจานึกอะไรไม่ออกเลยจริงๆ
เยี่ยนเจาเจาจิบชาในมืออึกหนึ่ง เมื่อเหลือบตาขึ้นก็เห็นเงาร่างของเสี่ยวชุ่ยซ่อนตัวอยู่ด้านข้าง และมีหนานิเหอยืนนิ่งเฉยอยู่ข้างกายนางด้วยั์ตาราบเรียบลึกล้ำ
่จังหวะที่เยี่ยนเจาเจาเงยหน้าขึ้นมอง นางถึงเห็นว่ากรามแข็งเกร็งของหนานิเหอคลายออก
นางยกยิ้มมุมปาก ส่งสายตาไร้เสียงพูดให้เขา
จากนั้นเสียงแจ่มชัดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “บ่าวไม่รู้จริงๆ ว่ากลอนที่เขียนยามว่างจะคล้ายคลึงกับคนอื่นได้เ้าค่ะ”
เสียงนี้มีความเป็ผู้ใหญ่มากกว่า แตกต่างจากเหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่โตในที่แห่งนี้ แต่ความหมายเสียดสีอย่างเห็นได้ชัด
ร่างของเหรินเหยาก้าวออกมาจากหลังม่านโปร่งบางข้างนอก บนตัวนางเต็มไปด้วยกลิ่นของอาหารในห้องครัว ทว่าดูเ็าสุดๆ ใบหน้าผอมถึงขั้นซีดป่วยไปจนถึงรอยยิ้มเหยียดกว้างตรงมุมปากของนาง ล้วนเย็นเยียบแทบเข้ากระดูกดำ
สตรีผู้นี้ดึงดูดทุกสายตารอบข้างนับั้แ่ปรากฏตัว สีหน้าของนางเฉยชาและไม่แสดงความเคารพต่อใครเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งความเหยียดหยามชิงชังที่แผ่ออกมาจากนางก็เพียงพอที่จะทำให้คนหยุดหายใจได้
ที่แท้เหรินเหยาผู้เป็ทั่นฮวาหญิงในชาติก่อนก็มีรูปลักษณ์เช่นนี้เอง
ความขัดแย้งเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้นในทันใด สายตาของเหรินเหยากวาดมองทุกคนโดยหยุดมองที่เยี่ยนเจาเจาเล็กน้อยอย่างแฝงความนัย ก่อนหันไปมองเยี่ยนฟางหวา
นางลงมือคล่องแคล่วฉับไว เดินไปตรงหน้าเยี่ยนฟางหวาทีละก้าวๆ หลังมองประณามเยี่ยนฟางหวาหัวจรดเท้ารอบหนึ่งก็เผยอริมฝีปากด้วยท่าทีเฉยเมย “ใช้กลอนของข้า เ้าคู่ควรด้วยหรือ?”
เหรินเหยาหยิบปึกกระดาษออกมาจากอกเสื้อ แล้วโยนมันอย่างแรงจนกระจายเต็มห้องราวเกล็ดหิมะโปรยปราย จากนั้นนางก็หมุนตัวจากไป
เมื่อคนรอบข้างหยิบกลอนขึ้นมาสุ่มอ่านท่อนสองท่อนก็พูดต่อไม่ออกแล้ว...กลอนทำนองเดียวกันนับสิบบท แสดงถึงความเกลียดชังอันบ้าคลั่งต่อโลกที่อัดแน่นอยู่เต็มกระดาษ ตรงกับรูปแบบกลอนของเยี่ยนฟางหวาอย่างสมบูรณ์
ความอวดดีดังกล่าวเหมือนเยี่ยนเจาเจาไม่มีผิด แต่สถานะของนางเป็เพียงแม่ครัวในหอถงเชวี่ย จะเหิมเกริมได้อย่างไร?
จู่ๆ ใบหน้าของเยี่ยนฟางหวาก็ซีดเผือดลง นางไอหนักสองครั้งแล้วกระอักเลือกออกมา จากนั้นก็หมดสติล้มลงในอ้อมแขนของเยี่ยนฟางอู๋
รอบข้างพลันโกลาหลวุ่นวาย คนของหอถงเชวี่ยจึงเข้ามาจับตัวเหรินเหยาออกไป
ท่ามกลางความสับสนอลหม่านที่เกิดขึ้น เยี่ยนเจาเจารู้สึกเพียงว่ามีสายใยบางอย่างเชื่อมข้อมูลทุกอย่างไว้ด้วยกันอยู่ แต่ยังขาดปมสำคัญไป
ท่ามกลางเสียงอึกทึกของฝูงชน เหรินเหยาไม่เพียงไม่กลัว ทว่ายังเบี่ยงหน้ากลับมามองข้างมือเยี่ยนเจาเจาอีกด้วย...สื่อความหมายชัดเจนว่านางเป็คนที่เยี่ยนเจาเจาหามา ถึงคราวเยี่ยนเจาเจาต้องปกป้องนางบ้าง
ปกป้องนาง?
เยี่ยนเจาเจาเริ่มสนใจ
ไม่ได้พบคนบ้าระห่ำเหิมเกริมเยี่ยงนี้มานานแล้ว หากนางมีคุณสมบัติเพียงพอ เยี่ยนเจาเจาย่อมยินดีปกป้องนาง
ทั่นฮวาหญิงในชาติก่อน สมญานามนี้ควรค่าแก่การลงมือ
“อาเหวิน อาอู่ พาตัวนางไป”
เยี่ยนเจาเจาหลุบั์ตาลง พลางหมุนถ้วยชาในมืออย่างสบายอารมณ์
องครักษ์ของธิดา์ นางเองก็มีอยู่สองคน
เยี่ยนเจาเจารู้ว่าพวกเขาคอยคุ้มครองตนเองอยู่ข้างหลังตลอดเวลา
เมื่อสิ้นเสียงนาง องครักษ์ในชุดมัจฉาบิน[3] สองนายก็เดินผ่านม่านโปร่งบางข้างนอกเข้ามาดังที่คาด ก่อนจะหิ้วปีกเหรินเหยาคนละมือและจากไปทันที
ทั้งห้องโถงพากันตื่นตระหนก แม้ว่าเมื่อก่อนเยี่ยนเจาเจาจะค่อนข้างผยองและทระนงตัว แต่ไม่เคยกระทำการเฉียบขาดรวดเร็วปานนี้ ไม่รู้ว่าหลังจบงานวันที่ 4 เดือน 4 ไปแล้ว ข่าวคราวที่ลอยกลับสกุลต่างๆ จะพรรณนาเกี่ยวกับคุณหนูอ่อนเยาว์ผู้นี้อย่างไรบ้าง
เื่ราวดำเนินมาถึงจุดนี้ เหมือนสายใยทุกอย่างจะขาดสะบั้นลงแล้ว ทว่าเยี่ยนเจาเจารู้ดีว่ามันยังไม่จบ...เล่นเล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ หากนางไม่รู้ว่าคนลอบวางแผนเื้ัคือเหรินเหยา ชาติก่อนนางคงใช้ชีวิตมาสูญเปล่าแล้ว
เยี่ยนเจาเจาเพียงแต่รอให้ปมนั้นเรียงร้อยทุกอย่างเข้าด้วยกันก่อน ดังนั้นท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจอันวุ่นวาย สายตาของนางจึงสงบนิ่งผิดธรรมชาติ
ทว่าแววตาของหนานิเหอกลับไหววูบเล็กน้อย ก่อนจะถูกคลื่นความรู้สึกบางอย่างโหมซัดปกปิดไป
เชิงอรรถ
[1] หนึ่งร่วงล้วนร่วง หนึ่งโรจน์ล้วนโรจน์ หมายถึง หนึ่งคนโดนกระทำจนพ่ายแพ้ คนอื่นก็ตกต่ำตามไปด้วย เมื่อคนหนึ่งเจริญขึ้น คนอื่นก็เจริญตาม
[2] ยวนยาง หมายถึง นกเป็ดน้ำแมนดาริน เนื่องจากชาวจีนเชื่อว่านกยวนยาง เป็นกที่มีคู่เดียวไปจนตาย แม้คู่ของมันตายแล้ว มันก็จะครองตัวเป็โสดไปตลอดโดยไม่มีคู่ใหม่ ในบริบทนี้จึงหมายถึงดาบคู่
[3] ชุดมัจฉาบิน หมายถึง ชุดที่มีแขนยาวและแคบ ่ล่างจับจีบรอบตัว ปักลายมัจฉาบิน ซึ่งมัจฉาบินจะมีหัวและลำตัวคล้ายั มีปีกและหางเป็แพสองซีกคล้ายปลา ส่วนใหญ่องครักษ์เสื้อแพรหรือเ้าหน้าที่ทางการจะสวมชุดนี้