หมู่บ้านเบเลอร์ได้รับการเปลี่ยนแปลงไปมากใน่เวลาไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา บ้านหลังน้อยถูกแทนที่ด้วยคฤหาสน์ขนาดย่อม ถนนลาดยางมะตอย การขนส่งเปลี่ยนเป็รถยนต์หรู บอกลาสังคมเดิมและเข้าสู่ยุคใหม่
แต่พิธีกรรมเก่าแก่ซึ่งยังถูกอนุรักษ์ไว้โดยสมบูรณ์แบบนั่นก็คือพิธีกรรมในวันนี้ นอกจากนี้ยังมีงานเฉลิมฉลองในคืนก่อนหน้า หมู่บ้านในวันนี้แลดูแออัด ผู้ที่ออกไปศึกษานอกหมู่บ้านต่างก็หาเวลาว่างกลับมาบ้านและร่วมงานเฉลิมฉลอง แม้แต่เด็กที่อยู่ต่างประเทศก็ต้องกลับบ้าน มิฉะนั้นจะถูกขับออกจากตระกูล
คนเฒ่าคนแก่จะอาบน้ำด้วยเครื่องหอมตามพิธีโบราณ พวกเขาสวมชุดของราชวงศ์ชิง คนชราจะสวมวิกผมหางม้า ทำให้ชวนคิดว่าได้ย้อนเวลากลับไปสู่ยุคสมัยของราชวงศ์ชิง
ณ จัตุรัสของหมู่บ้านเบเลอร์ แผงขายสินค้าหัตถกรรม ขนม และเกมต่างๆ ทั้งหมดล้วนแต่เป็ของฟรี ไม่ว่าคุณจะกินดื่มเล่นหรืออยากได้อะไรก็ไม่ต้องจ่ายเลยสักหยวน ทุกบ้านทุกครัวเรือนต่างก็นำสิ่งของต่างๆ ออกมาแบ่งปันกันในละแวกใกล้เคียง เป็ภาพงานรื่นเริงที่สุดแสนมีชีวิตชีวา หลายครอบครัวใช้เวลาครึ่งปีในการเตรียมสินค้า
ยกตัวอย่างเช่นขวดยานัตถุ์ ขวดกระเบื้องขนาดเล็กซึ่งเป็งานวาดฝีมือ สมบัติล้ำค่ามากมายถูกนำออกมาวางไว้นอกบ้าน สำหรับที่นี่ ถ้าเด็กๆ ชอบ จะมอบให้สักขวดสองขวดก็ไม่เป็ไร
ในหนึ่งวันนี้ สิ่งที่ผู้คนใช้จับจ่ายคือรอยยิ้มบนใบหน้า และความปรารถนาที่มีต่อของกำนัล ปริศนาทายคำเอย ตกปลาทองเอย โม่แป้งเอย มักจะทำให้เด็กๆ มีความสุข และเครื่องแต่งกายอันสวยงามตามแบบโบราณนั้นก็ทำให้เด็กสาวรู้สึกเพลิดเพลินไปด้วย
ผู้คนจะไม่ชอบวันนี้ ไม่ชอบแผ่นดินแห่งนี้ได้อย่างไร? ความเกลียดชังอันผิดวิสัยนั้นเริ่มขึ้นจากตรงไหน?
ผู้คนสัญจรผ่านเสิ่นิอย่างมีมารยาท พวกเขาต่างก็พยักหน้าและยิ้มให้ด้วยความสุภาพ กระทั่งรู้สึกว่าที่นี่มีอารยธรรมทางจิติญญามากกว่ายุโรปและสหรัฐอเมริกา น่าเสียดายที่เขาเข้าไม่ถึงบรรยากาศเทศกาลอันผ่อนคลายนี้ ชายหนุ่มเดินชิดกับแนวกำแพงเสมอ ที่ยิงหนังสติ๊ก X อยู่ในแขนเสื้อ นิ้วของอีกมือคั่นอยู่ตรงกลางระหว่างกระเป๋าซึ่งมีลูกเหล็กสีเงินอยู่
ดวงตาอันเฉียบคมของเขากวาดมองไปที่ทุกคนบนท้องถนน เพ่งหาเป้าหมายที่น่าสงสัย แต่จำนวนคนช่างมากล้นเหลือเกินจินตนาการ การที่บอกว่าหมู่บ้านเบเลอร์นั้นมีทั้งหมด 500 ครัวเรือน แต่ผู้คนกว่า 4,000 คนกลับแน่นขนัดเต็มทั่วท้องถนน!
เดิมทีหมู่บ้านเบเลอร์ถือเป็ชนกลุ่มน้อย ทุกครัวเรือนจะได้รับเงินปันผลเป็รายหัว นอกจากแต่งงานแล้ว โดยมากก็ยังเป็นักศึกษาในมหาวิทยาลัย แม่บ้านบางคนกระทั่งอายุ 40 ปีแล้วก็ยังตั้งครรภ์ เป็เื่ปกติที่ครอบครัวหนึ่งจะมีลูกกันเป็โหล
นอกจากนี้วิทยาการทางการแพทย์ของหมู่บ้านเบเลอร์ก็ยังอยู่ในระดับแนวหน้าของประเทศ แพทย์หลายคนในหน่วยงานออกไปประจำต่างจังหวัดกระทั่งได้กลายเป็แพทย์ผู้เชี่ยวชาญซึ่งทำเงินได้หลายพันดอลลาร์ แต่เมื่อกลับมาอยู่ที่นี่ พวกเขามีหน้าที่แค่ตรวจดูอาการเด็กที่เป็หวัด ช่วยรักษาคุณลุงข้อเข้าเสื่อม ต่อให้ในป่วยระยะสุดท้ายก็จะถูกส่งตัวไปยังบ้านพักคนชราในหมู่บ้านเบเลอร์เพื่อรับการรักษาฟรีตลอด 24 ชั่วโมง กระทั่งวาระสุดท้าย
สภาพแวดล้อมดีขนาดนี้ นอกจากหมดสมรรถภาพแล้ว ใครบ้างล่ะจะไม่อยากให้กำเนิดทารกน้อย? นั่นส่งผลให้หมู่บ้านเบเลอร์แออัดมากเมื่อมีการจัดงานวัดเฉลิมฉลอง
สิ่งนี้เพิ่มระดับความยากให้กับเสิ่นิ มันยากที่จะหาตัวผีูเาให้เจอในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ยากยิ่งกว่าที่จะยิงเขาหลังจากที่หาตัวเจอแล้ว
ในขณะที่เสิ่นิค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าสู่ตลาดนัดกลางคืน ณ บริเวณจัตุรัสซึ่งเป็บริเวณที่ผู้คนหนาแน่นที่สุด จู่ๆ โทรศัพท์มือถือ Apple 11 พร้อมด้วยชุดหูฟังบลูทูธซึ่งอยู่ในตู้โทรศัพท์ข้างๆ เขาก็แว่วเสียงเรียกเข้าขึ้น
หมู่บ้านคนรวยช่างแสนวิเศษ ไม่มีใครฉกของที่ถูกวางทิ้งขว้างไว้ ลองเป็ในเมืองใหญ่เข้าหน่อย ต่อให้คุณใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อตัวเอง ของก็ยังถูกฉกไปได้
เสิ่นิมองไปยังโทรศัพท์แต่ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า เขากลับซ่อนตัวอย่างมิดชิดในมุมมืดของถนน
กระทั่งเสียงเรียกเข้าดับไป พอเสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้ง เด็กน้อยเขย่งเท้าแต่ก็ยังเอื้อมไม่ถึงโทรศัพท์เสียที ในมือข้างหนึ่งถือแท่งลูกกวาด อีกข้างหนึ่งก็ถือเก้าอี้พับเดินมาถึงที่หน้าตู้โทรศัพท์ เขาปืนขึ้นบนเก้าอี้และหยิบโทรศัพท์และหูฟังบลูทูธขึ้นมา ก่อนจะเดินไปหาเสิ่นิ
“คุณลุง! คุณลุงจะี้เีเกินไปแล้ว โทรศัพท์มือถือของตัวเอง ยังไม่ยอมหยิบเองอีก” ปีศาจน้อยช่างมีการศึกษา
“ขอบคุณสหายตัวน้อย ลุงไม่ได้ี้เี แต่ลุงกำลังเล่นซ่อนหากับเพื่อนอยู่ จะถูกหาเจอไม่ได้” เสิ่นิยิ้มพลางลูบผมของปีศาจน้อย
“เป็แฟนกันเหรอ?” ปีศาจน้อยเลียลูกอมแท่งพลางถามขึ้น
“ไม่ใช่...”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็คู่ขา?”
“หนูไปได้ยินคำนี้มาจากไหน?” "
“จากอินเทอร์เน็ต คุณลุงไม่เห็นต้องอายเลย ถ้าโลกใบนี้ไม่มีคู่ขา การเดินทักทายผู้คนคงไม่น่าสนุก ลูกสุนัขที่นั่งข้างๆ ผมก็ชอบเลียขาคู่นี้ของผมอยู่บ่อยๆ”
“เหอๆ สหายน้อย ถ้ารักชีวิตก็อยู่ให้ห่างจากคอมพิวเตอร์นะ” เสิ่นิตรวจสอบโปรแกรมระบุตำแหน่งในโทรศัพท์ เขาปิดการเชื่อมต่อทั้งหมด ก่อนจะรับสาย
“กว่าจะรับสายได้ แล้วยังให้เด็กน้อยช่วยหยิบโทรศัพท์ให้อีก นายกลัวตายขนาดนั้นเลยเหรอ?” เย่าจู่ยั่วยุ
“นายต้องเป็มือปืนที่พูดเก่งที่สุดในโลกแน่ หรือว่านายใช้ลิ้นในการเหนี่ยวไก?” เสิ่นิโต้กลับโดยไม่ยอมกัน
“ฉันยอมรับว่านายยอดเยี่ยมมาก ก่อนที่จะเจอนาย ฉันรู้สึกเสมอว่าฉันเป็หนึ่งในนักแม่นปืนที่เก่งกาจที่สุดในโลก ไม่ว่าเพื่อนร่วมทีมของฉัน หรือศัตรูของฉันก็ล้วนแต่บอกเช่นนี้
แต่นายได้ปรับทัศนคติเกี่ยวกับการซุ่มยิงของฉันใหม่ นายมีทักษะการซุ่มยิงแบบนั้นได้อย่างไร? แม้ว่าฉันจะสามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวล่วงหน้าของศัตรูได้ แต่ช็อตที่นายยิงฉัน นายไม่เห็นการเคลื่อนไหวก่อนหน้าของฉันด้วยซ้ำ!” เย่าจู่ถามด้วยสัญชาตญาณของมือปืนอาชีพ
“อยากเรียนเหรอ? เรียกฉันว่าปะปี๊และโค้งศีรษะคารวะฉันสัก 3 ครั้งสิ แล้วจะสอนให้!” เสิ่นิหยอก “จริงสิ ลืมไปว่านายมันเป็สัตว์เดรัจฉานที่คิดฆ่าได้แม้กระทั่งบิดาของตัวเอง เป็ปะปี๊ของนายคงจะปวดใจน่าดู”
“นายไม่เข้าใจความคับข้องใจระหว่างฉันกับเขา นายไม่รู้ว่าเขาเคยทำอะไรไว้ เพราะฉะนั้น หุบปากซะ” การยั่วยุก็เป็กลวิธีรูปแบบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเย่าจู่ยังไม่มีวุฒิภาวะเท่ากับเสิ่นิ “ตอนนี้นายมีทางเลือกเพียงแค่สองทาง คือจะฆ่าฉันหรือถูกฉันฆ่า”
“ชีวิตไม่เคยมีแค่สองทางเลือก แม้แต่ฉันเองก็ยังสามารถเกิดใหม่ในนิรวานได้ กลับใจเสียั้แ่ตอนนี้ก็ยังทัน” เสิ่นิเกลี้ยกล่อมพลางถอนหายใจ
“น่าเสียดาย ที่ทางที่ฉันเดินมานั้นไม่อาจหวนกลับไปได้ เล่นมานานแล้ว แต่ฉันยังไม่รู้จักชื่อของนายเลย สะดวกที่จะเปิดเผยหรือไม่?” น้ำเสียงของเย่าจู่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เสียงฆ้องและกลองของงานวัดดังอยู่ที่เื้ั
“เสิ่นิ” ในขณะที่เสิ่นิเอ่ย ผู้คนก็พากันแห่เดินเลียบเข้ามาในงานวัด
“เซิงมิ่ง (สิ่งมีชีวิต) ? ชื่อเพราะดี ฉัน เย่าจู่ ตาแก่คงอยากให้นายมาฟื้นฟูชื่อเสียงของอ้ายซินเจียหลัวซื่อล่ะสิ? น่าเสียดายที่เขาต้องผิดหวังแล้ว” เย่าจู่หัวเราะเบาๆ
“นายคิดจะคุยกับฉันไปกระทั่งถึงความตายเลยเหรอ?” เสิ่นิไม่ชอบวิธีการพูดคุยเช่นนี้
“อย่าเ็านักสิ อย่างไรก็ถือว่าเป็เพื่อนตาย ฉันไม่ได้กลับมาที่หมู่บ้านเบเลอร์นานแล้ว มันเปลี่ยนไปมาก” เย่าจู่เหมือนคนแน่นอกที่ไม่มีที่ให้ระบายความรู้สึก “นายชอบที่นี่ไหม? เต็มไปด้วยความเป็มิตรอันมีเจตนาแอบแฝง ดินแดนแห่งความอวดดี ความเห็นแก่ตัว และความโลภ”
“อยู่ที่นี่มาก็นาน โดนนายกักตัวให้อยู่แต่ในคฤหาสน์จักรพรรดิ ไม่มีโอกาสได้ััถึงความเป็อยู่ของผู้คนที่นี่” เสิ่นิกวาดตามองหาเย่าจู่ด้วยความระมัดระวังในขณะที่พูด เขากำที่ยิงหนังสติ๊กที่อยู่ในมือโดยสัญชาตญาณ
“ต้องขออภัย มันเป็ความผิดของฉันเอง ฉันน่าจะเปิดโอกาสให้นายได้ลองัักับเอกลักษณ์เฉพาะตัวของหมู่บ้านเบเลอร์ก่อน ในเมื่อยังพอมีเวลาฉันก็จะอธิบายให้นายฟังก็แล้วกัน” เย่าจู่กล่าวอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย “ถ้านายสังเกตดีๆ สีของป้ายชื่อของบ้านแต่ละหลังจะมีสีที่แตกต่างกัน สีทอง สีเงิน และสีเทา สามประเภท ป้ายทองหมายถึง ‘ขุนนาง’ เป็พวกลูกหลานชาวแมนจูสมัยราชวงศ์ชิงซึ่งเป็บรรพบุรุษของฉัน ได้รับการปฏิบัติดีที่สุดในหมู่บ้าน ลูกหลานของพวกเขาจะได้นั่งแถวหน้าเมื่อเข้าเรียนหนังสือ และได้รับเงินปันผลมากที่สุด ป้ายเงินหมายถึง 'พลเรือน' เป็ลูกหลานของทหารที่คฤหาสน์จักรพรรดิพามาั้แ่สมัยต้น มีหน้าที่พิทักษ์ชาวบ้าน ได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรม ป้ายเทาหมายถึง ‘จัณฑาล’ เมื่อครั้งบรรพบุรุษก่อตั้งหมู่บ้านเบเลอร์ พวกเขาได้นำสมบัติล้ำค่าทั้งเครื่องประดับเงินทองจำนวนมหาศาลติดมาด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้คนต้องเลือก การก่อสร้างหมู่บ้านในเวลาต่อมานั้นถือเป็โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ จึงต้องใช้แรงงานทาสมาช่วยใช่ไหมล่ะ?
ผู้ที่ทำงานหนักและเหนื่อยยากที่สุด แล้วรอดชีวิตมาได้ก็คือบรรพบุรุษของจัณฑาล
ในหมู่บ้านเบเลอร์ จัณฑาลต้องโค้งคำนับแก่ขุนนาง 90 องศา โค้งให้พลเรือน 45 องศา หากพบว่าผู้ใดไม่เข้าใจมารยาท พวกเขาจะถูกไม้หวายเฆี่ยนฝ่ามือตามกฎของหมู่บ้าน
ในหมู่บ้านนี้ นายลองหาดูก็แล้วกันว่าลูกหลานจัณฑาลคนไหนไม่เคยถูกเฆี่ยนบ้าง”
“ฉันไม่ได้เป็ตัวแทนสำนักงานสิทธิมนุษยชน มีสถานที่อีกมากมายบนโลกนี้ที่ผู้คนเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน ระบบวรรณะทั้งสามถูกจารึกไว้ในรัฐธรรมนูญ แล้วยังไงล่ะ?” เสิ่นิไม่มีทีท่าเห็นใจ
“นั่นมันก็จริง แต่กฎของหมู่บ้านเบเลอร์ช่างฝืนธรรมชาติ ห้ามคนในหมู่บ้านแต่งงานกับคนนอกหมู่บ้าน ขุนนางอย่างมากก็สามารถแต่งกับพลเรือนได้ พลเรือนอย่างมากก็สามารถแต่งกับจัณฑาลได้ แต่ขุนนาง ไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งงานกับจัณฑาลโดยเด็ดขาด”
“ให้ฉันเดา เหวินจิ้งน่าจะเป็ลูกของจัณฑาลใช่ไหม?” เสิ่นิเอ่ยชื่อที่เย่าจู่เฝ้าละเมอหา
“ที่แท้นายก็รู้จักเหวินจิ้ง...ดูเหมือนว่าตาแก่นั้นจะเล่าเื่ที่เกี่ยวกับฉันให้นายฟังไม่น้อย...” ร่างของเย่าจู่สั่นสะท้านเล็กน้อย “ฉันเดาว่า ตาแก่คงไม่ได้บอกนายว่าตอนที่ฉันออกจากหมู่บ้านเบเลอร์ไป เมื่อตอนอายุ 18 ปี เหวินจิ้งได้มีเืเนื้อของฉันอยู่ในท้องแล้ว”
“เืสุนัข ยังจะผลิตเืสุนัขเพิ่มอีกหรือ?” หัวใจของเสิ่นิเป็ดั่งก้อนหิน
“พวกเราตกลงกันเป็มั่นเป็เหมาะแล้วว่า จะไปจากสถานที่ที่ผิดวิสัยแห่งนี้หลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไปใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา แม้ว่าจะไม่ได้เป็ผู้ใหญ่บ้าน แม้ว่าจะยากจนไปชั่วชีวิต แต่เหวินจิ้งก็ไม่อาจทิ้งพ่อแม่ผู้แก่ชราได้ลง พ่อแม่ของเธอมีลูกสาวเพียงคนเดียว ซึ่งในขณะนั้นพ่อของเธอป่วยหนักและต้องได้รับการรักษา เธอสัญญากับฉันว่าภายใน 3 เดือน หลังจากที่พ่อของเธอย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านพักคนชราของหมู่บ้านเบเลอร์แล้ว เธอจะออกมาหาฉัน แต่ 3 เดือนให้หลัง ฉันก็ได้รับข่าวการเสียชีวิตของเธอ และในวันเกิดครบรอบปีที่ 18 ของฉัน...ชายชราก็บอกความลับของตระกูลให้ฉันทราบซึ่งนั่นก็คือ...ความจริงแล้วหมู่บ้านเบเลอร์ไม่มีบ้านพักคนชราที่รักษาผู้ป่วยอาการหนัก มีเพียงแต่นรกบนดินที่เรียกว่า ‘แดนสนธยา’ เท่านั้น!”
“ชื่อออกจะเพราะ ถึงเป็นรกก็คงไม่เลวร้ายหรอกใช่ไหม?” เสิ่นิไม่ได้อินกับเื่ที่เล่ามาเลย
“นายลองมองไปรอบๆ ดูสิ นายไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติบ้างเลยเหรอ?” เย่าจู่หัวเราะ
เสิ่นิไม่เคยหยุดสนใจสิ่งรอบข้าง แต่ชายหนุ่มก็ยิ่งเพิ่มความสนใจต่อผู้คนมากขึ้น และเมื่อเขาขยายขอบเขตการสังเกตออกไปที่สินค้าต่างๆ ทันใดนั้น เขาก็พบกับสิ่งที่เย่าจู่กล่าวว่ามัน “ผิดปกติ” เพราะไม่ว่าจะเป็การตกแต่งที่แผงร้านค้าหรือที่บนศีรษะของเด็กหญิงก็ล้วนประดับไปด้วยดอกไม้สีแดง
ดอกไม้ชนิดนี้ กลีบดอกมีขนาดใหญ่เท่ากับใบไม้ สีแดงดุจโลหิต ด้วยกลิ่นแปลกๆ ของดอกไม้ มันไม่เหมือนกับกลิ่นของูเาและป่าไม้รอบด้าน เสิ่นิเบิกตาค้างและพึมพำกับตัวเอง “ดอกฝิ่น?”
“ใช่แล้ว มันคือดอกไม้ปีศาจ ดอกฝิ่นซึ่งดูแล้วไม่มีพิษภัย แท้จริงแล้วก็คือฝิ่นที่ออกดอก นายคิดว่าความรุ่งเรืองของหมู่บ้านเบเลอร์มาจากการจำหน่ายวัตถุและภาพวาดโบราณอย่างนั้นหรือ? ไม่เอาน่า วัตถุโบราณพวกนั้นมีขีดจำกัดในการนำออกมาจำหน่าย การขายข้าวของของบรรพบุรุษถือเป็บาป จะไปเผชิญหน้าบรรพบุรุษได้อย่างไรเมื่อสิ้นชีพ? แต่การค้ายาเสพติด กลับเป็วิธีหาเงินที่พอจะเข้าใจได้ ดูสิหมู่บ้านเบเลอร์น่าสนใจมากแค่ไหน?” เย่าจู่หัวเราะเยาะ