ตอนนี้จู่ๆ ไป๋เซี่ยเหอก็มีทักษะด้านการแพทย์ขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ทั้งยังเป็ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตของเสด็จพ่อ แม้แต่ฮองเฮายังให้ความสำคัญกับนางเป็พิเศษ
เขามีลางสังหรณ์ว่าไป๋เซี่ยเหอจะเป็กำลังสำคัญในการช่วยเหลือให้เขาได้ครองตำแหน่งฮ่องเต้
รอยยิ้มบนหน้าของไป๋หว่านหนิงแข็งทื่อทันที หัวใจของนางราวกับถูกคนรักแทงอย่างโเี้ จนกระทั่งนางขาดอากาศหายใจและสิ้นชีพ...
“ท่านคิดจะแต่งพี่สาวเป็ชายาใช่ไหมเ้าคะ?” ไป๋หว่านหนิงถามด้วยสีหน้าฝืนยิ้ม
“อืม”
ไป๋หว่านหนิงกัดฟันแน่น ด้วยกลัวว่าตนเองจะเผยอารมณ์ที่แท้จริงออกไปโดยไม่ทันระวัง
“เช่นนั้นก็ดีจริงๆ เ้าค่ะ หนิงเอ๋อร์จะได้เป็ครอบครัวเดียวกันกับพี่สาวต่อไป!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮั่วิเชินก็ยิ่งกล่าวปลอบโยนนางมากขึ้นไปอีก โชคดีที่อ่างย้อมสีดำขนาดมหึมาของสกุลไป๋นี้ไม่ได้ทำให้ดอกไม้ขาวในอ้อมแขนของเขาแปดเปื้อนไปด้วย
ฮั่วิเชินก้มศีรษะลงเพื่อจุมพิตปลายจมูกของไป๋หว่านหนิงอย่างแ่เบาราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำ “แต่เ้าจะได้เป็กุ้ยเฟย[1]ที่ข้ารักและเอ็นดูที่สุด!”
ฮั่วิเชินดูเหมือนจะเห็นภาพตนเองยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุดแล้ว
“หนิงเอ๋อร์จะเชื่อฟังท่านทุกอย่างเ้าค่ะ!” ในขณะที่ไป๋หว่านหนิงเอ่ยเช่นนั้น ในใจกลับรู้สึกอิจฉาริษยาจนถึงขีดสุด
กุ้ยเฟยหรือ?
รักและเอ็นดูที่สุดหรือ?
สิ่งที่นาง้ามาตลอดย่อมไม่ใช่แค่นี้!
จริงอยู่ที่นาง้าความรักและความเอ็นดู ทว่านาง้าตำแหน่งฮองเฮามากกว่า!
และไป๋เซี่ยเหอจะต้องตาย!
เมื่อไป๋เซี่ยเหอเดินมาถึงสวนดอกไม้ด้านหลัง นางเพียงยืนอยู่หน้าประตู กวาดตาเข้าไปด้านในคราหนึ่ง ก่อนจะเดินจากไป
“คู่หมั้นของข้า เหตุใดเจอข้าแล้วถึงจะจากไปเล่า?”
ฮั่วิเชินคลี่ยิ้มในแบบที่คิดไปเองว่าทำให้ตนเองดูหล่อเหลาอย่างยิ่ง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอากาศหนาวเหน็บ ทว่าเขากลับถือพัดและแสร้งทำท่าพัดเล็กน้อย
กว่าจะปลอบไป๋หว่านหนิงให้สงบลงได้ก็ยากเย็นนัก เมื่อคิดที่จะจากไป กลับคาดไม่ถึงว่าจะได้พบไป๋เซี่ยเหอเข้า
ไป๋เซี่ยเหอยกมุมปากเป็รอยยิ้มที่เห็นได้ชัดว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเสแสร้ง “ยังต้องถามอีกหรือ?”
เหตุใดเมื่อเจอแล้วถึงได้จากไป นั่นไม่ใช่เพราะไม่อยากเจอคนอย่างเ้าหรอกหรือ!
ฮั่วิเชินจงใจมองข้ามเจตนาของไป๋เซี่ยเหอ เขากวักมือเรียกนาง “มานี่สิ”
ไป๋เซี่ยเหอชะงักไปทันที สิ่งที่ผุดขึ้นมาในสมองคือยามที่ตนเองอยู่ในร่างของจิ้งจอก บุรุษผู้หนึ่งก็พูดกับนางเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง
เมื่อฮั่วิเชินเห็นว่าไป๋เซี่ยเหอมีท่าทีเหม่อลอยก็เกิดโทสะขึ้นมาเล็กน้อย ไม่น่ารักเท่าหว่านหนิงเลยจริงๆ
“ไป๋เซี่ยเหอ ข้าจะรอดูว่าเ้ามีความอดทนมากเพียงใด เ้าต้องรู้เอาไว้ว่า ข้าคือผู้ที่จะได้เป็โอรส์ในภายภาคหน้า สาวงามสามพันนางในวังหลังล้วนไม่อาจหลบเลี่ยงไปได้!”
ตอนแรกไป๋เซี่ยเหอรู้สึกงุนงงว่าเหตุใดจู่ๆ อีกฝ่ายถึงได้มาพูดเื่นี้กับนาง ทว่าเมื่อได้ฟังประโยคหลังจึงเข้าใจขึ้นมา
“ข้ารู้ว่าเ้าอิจฉาที่หนิงเอ๋อร์ได้รับความโปรดปรานจากข้า แต่พวกเ้าเป็ครอบครัวเดียวกัน เ้าเป็ถึงพี่สาว การยอมลงให้น้องสาวก็เป็เื่ที่สมควรแล้วไม่ใช่หรือ?”
ไป๋เซี่ยเหอยืนพิงประตูด้วยท่าทีไม่สะทกสะท้าน ั์ตาจิ้งจอกหรี่ลงเล็กน้อย “สมควรหรือ? แน่นอนว่าสมควร เพียงแต่ข้าคิดว่าเท่านี้ยังไม่พอกระมัง!”
ฮั่วิเชินรู้สึกสับสนกับท่าทีแสร้งทำเป็จริงจังของไป๋เซี่ยเหอ “อะไรที่ยังไม่พอ?”
“นางชมชอบไท่จื่อปานนั้น ข้าคิดว่าตำแหน่งไท่จื่อเฟยนี้ก็ควรมอบให้ไป๋หว่านหนิงไปเลย ในเมื่อข้าเป็พี่สาว ก็ย่อมไม่อาจทำเื่เลวร้ายอย่างการยกกระบองตียวนยาง[2]เช่นนี้ได้”
ฮั่วิเชินชะงักไปทันที โทสะในกายพลุ่งพล่านอย่างควบคุมไม่อยู่ นางมองว่าตำแหน่งไท่จื่อเฟยเป็อะไร?
ขยะหรือ?
บอกจะทิ้งก็ทิ้งง่ายๆ อย่างนั้นเลยหรือ!
“ไป๋เซี่ยเหอ อย่าได้พยายามจะใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับมาทดสอบจิตใจของข้า!” ฮั่วิเชินเชิดศีรษะด้วยความยโสโอหังอย่างยิ่ง
“หว่านหนิงรับปากข้าแล้วว่าจะยึดมั่นในสถานะของตนเองและไม่สร้างปัญหา วันหน้านางย่อมปรนนิบัติเ้าเป็อย่างดี เ้าเองก็อย่าได้รังแกนางที่บอบบางและจิตใจดีเชียว ถ้าเ้ารังแกนาง ข้าจะไม่ปล่อยเ้าไปแน่!”
ไป๋เซี่ยเหอยกมือขึ้นนวดขมับ
การหลงตัวเองคืออาการป่วยอย่างหนึ่ง
ทว่าฮั่วิเชินนั้นป่วยเกินเยียวยาเสียแล้วสิ!
จากนั้นไป๋เซี่ยเหอก็หาข้ออ้างในการปลีกตัวออกมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคล้ายกับสุภาษิตที่กล่าวไว้ว่าเส้นทางต่างกันไม่อาจร่วมมือกันได้ แล้วนางจะสื่อสารกับคนสองคนที่สมองกลับ และอยู่คนละวงโคจรกับนางได้อย่างไร?
เพียงแต่หาก้ายกเลิกการหมั้นหมายกับไท่จื่อ เกรงว่าคงต้องใช้เวลาไม่น้อยเป็แน่
เมื่อนางกลับเข้ามาในเรือน ทุกอย่างก็ได้ถูกจัดเก็บเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าจะมีสิ่งของไม่มากนัก ทว่ามันก็ดูประณีตงดงามไม่น้อย
เครื่องนอนถูกเปลี่ยนเป็ผ้าห่มหนาเตอะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาหารเย็นสามอย่างแกงสองถ้วยตรงหน้า
ทั้งหมดนี้เป็สิ่งที่ไป๋เซี่ยเหอในอดีตไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงด้วยซ้ำ
“คุณหนู พักผ่อนเร็วหน่อยเถิดเ้าค่ะ”
หลังจากวิ่งวุ่นมาทั้งวัน ไป๋เซี่ยเหอก็รู้สึกเหนื่อยล้าอยู่เหมือนกัน หลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จไม่นานนางก็เข้านอน
ค่ำคืนมืดมิด ลมกระโชกแรง
ช่างเป็โอกาสอันดีในการสังหารคนและวางเพลิง
“แอ๊ด!”
เสียงเปิดประตูดังขึ้นท่ามกลางเสียงลมกระโชกแรง เสียงดังกล่าวเบาจนแทบไม่ได้ยิน
ทว่าไป๋เซี่ยเหอที่นอนอยู่บนเตียงเป็ใครกันเล่า!
นางไม่ได้เป็แค่คุณหนูใหญ่สกุลไป๋เท่านั้น ยังเป็จิ้งจอกหิมะพันปีเสียด้วย!
ยิ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย สัตว์จะยิ่งระมัดระวังตัวมากขึ้น
นางดูหลับสนิทเป็อย่างยิ่ง ลมหายใจยังคงสม่ำเสมอราวกับหลับลึก
เสียงฝีเท้าย่องเข้ามาใกล้
คนชุดดำยกกริชในมือขึ้น แววตาดูล่อกแล่ก เหลียวซ้ายแลขวาเป็ครั้งคราว
เป็เพียงเด็กสาวอายุสิบกว่าปีคนหนึ่งเท่านั้น หากให้เขาลงมือ คงเป็การใช้คนไม่ถูกกับงานกระมัง
ท่ามกลางความมืด
เสียงเย้ยหยันที่ฟังดูเย็นเยียบได้ดังขึ้น
“ในเมื่อรับเงินมาแล้วก็ตั้งใจหน่อยสิ”
มือสังหารควรเป็ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่มีท่าทีเหลาะแหละเช่นนี้
“เด็กน้อยรนหาที่ตาย”
คนชุดดำกล่าวด้วยท่าทีดูถูกเหยียดหยาม ก่อนจะลูบหน้าอกตนเองป้อยๆ
เขาเบือนศีรษะมาสบตาของเด็กสาวผู้นี้โดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะหนาวสะท้านไปทั้งสรรพางค์กายทันที เขาตัวสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้
เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเด็กสาวอายุเพียงสิบกว่าปีถึงทำให้เขารู้สึกกดดันได้มากเช่นนี้?
เขาไม่รู้ว่าแม้คนตรงหน้าจะอายุเพียงสิบกว่าปี ทว่าิญญาของนางนั้นเป็จิ้งจอกน้อย ทั้งยังเป็ทหารรับจ้างจากยุคปัจจุบันที่ได้รับการฝึกฝนมายี่สิบกว่าปี!
“ผู้ที่รนหาที่ตายเกรงว่าจะเป็เ้าต่างหาก!” ไป๋เซี่ยเหอหยิบกริชเล่มหนึ่งออกมาั้แ่เมื่อใดไม่ทราบ ใบมีดอันแหลมคมดูอันตรายภายใต้แสงจันทร์
ไอสังหารเข้มข้นยิ่งกว่าโลหิตเสียอีก
ราวกับนางเป็ภูตผีจากนรกก็ไม่ปาน ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นราวกับกรงเล็บลวงิญญา ที่คอยฉุดผู้คนลงไปยังเหวลึกในนรกจนไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูก
“เพ้ย!” คนชุดดำตื่นตระหนก ทั้งยังรู้สึกขบขันเล็กน้อย
นึกไม่ถึงว่าตนเองจะถูกเด็กสาวนางหนึ่งทำให้ใไปเสียได้ ช่างหยามเกียรติมือสังหารของเขาเสียจริง!
“อ้าแขนรับความตายเสียเถิด”
รับเงินเขามาแล้วก็ต้องกำจัดศัตรูให้เขา นี่เป็กฎของมือสังหาร คนชุดดำพุ่งเข้าหาไป๋เซี่ยเหอทันที
สำหรับมือสังหารแห่งยุทธภพอย่างเขาแล้ว ขอเพียงมีเงินให้ เื่ผู้บริสุทธิ์อะไรเทือกนั้นล้วนไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง
“พูดมาก!”
ไป๋เซี่ยเหอยิ้มอย่างเย่อหยิ่ง อาการกระหายการต่อสู้พุ่งสูงขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้
นับั้แ่นางมาปรากฏตัวที่ยุคสมัยนี้ นางก็ไม่เคยได้แสดงฝีมือเลย หากไม่ได้ขยับเขยื้อนร่างกายละก็ เกรงว่าคงขึ้นสนิมเป็แน่!
แสงสีขาวพลันสว่างวาบ
รอยยิ้มแห่งความสำเร็จบนใบหน้าของคนชุดดำเลือนหายไปทันที ความรู้สึกเย็นะเืบริเวณลำคอทำให้เขาขนลุกขนชันไปทั้งสรรพางค์กาย
เป็ไปได้อย่างไร!
เด็กสาวตรงหน้าอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น รูปโฉมงดงามราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบก็ไม่ปาน ทว่าวรยุทธ์อันแปลกประหลาดของนางทำให้เขาประหลาดใจ
เขารู้เพียงว่าเงาร่างของคนตรงหน้าสั่นไหวอย่างกะทันหันแล้วอันตรธานหายไป จากนั้นกริชของนางก็พาดอยู่บนลำคอของตนทันที
“เ้าเป็ใครกันแน่?” คนชุดดำถาม
------------------------
[1] กุ้ยเฟย หมายถึง สนมเอก
[2] ยกกระบองตียวนยาง เป็สำนวน หมายถึง แยกคู่รักออกจากกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้