สำหรับข้อเสนอเื่เพลง‘พื้นเมือง’ก็ทำให้เกิดเสียงซุบซิบดังขึ้นไม่หยุด
แน่นอนว่าเพลงนี้ถึงจะสามารถแสดงถึงฝีมือการดีดพิณของคนผู้หนึ่งออกมาได้ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงเสน่ห์ของเสียงพิณที่คนผู้นั้นบรรเลงออกมาได้อีกด้วย
แต่ว่าเพลงนี้มีความยาวเป็อย่างมากถ้าหากคิดที่จะบรรเลงให้ได้จนจบเพลงแล้ว ก็จำเป็ต้องใช้เวลาถึงสามวันสามคืนเต็มๆ
เวลาเช่นนี้ คนทั่วไปไม่อาจบรรเลงออกมาได้เพราะว่าระหว่างนั้นคนที่เล่นไม่อาจพักผ่อน ไม่อาจดื่มกินหรือนอนหลับได้เลย
สำหรับคนที่มีวิชาตัวเบาอย่างเฝินเหวินนั้นบางทีนี่อาจจะไม่ถือเป็ปัญหาอะไร แต่ว่าสำหรับสตรีที่บอบบางไม่เป็วรยุทธ์อย่างเซียวซู่ซู่นี่ถือเป็การท้าทายที่ยากลำบากเป็อย่างยิ่ง
ข้อเสนอนี้ก็ทำให้เหลยอวี๊เฟิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที
เขาหันไปมองคนที่เสนอความคิดเห็นข้อนี้ขึ้นดวงตาทั้งสองหรี่ลงก่อนที่สายตาจะปรากฏความโหดร้ายออกมาจางๆคนผู้นี้เขากลับมองข้ามไปได้ เขาก็คือเหลิ่งเซียวแม่ทัพใหญ่และองครักษ์ประจำตัวที่เก่งกาจที่สุดของม่อเวิ่นเสวียน
คนผู้นี้เข้ามาในสำนักเหลยั้แ่เมื่อไหร่กัน?
ตอนนี้ไอที่แผ่ออกมารอบๆตัวของเหลยอวี๊เฟิงนั้นไม่ใช่ความโหดร้าย แต่กลายเป็ไอสังหารแล้ว
ในแววตาก็เต็มไปด้วยจิตสังหารเช่นกัน
โดยที่มันปรากฏออกมาอย่างเด่นชัด
ทว่าเหลิ่งเซียวที่กำลังเผชิญหน้ากับเหลยอวี๊เฟิงในตอนนี้กลับมีสีหน้าหยิ่งผยองเหมือนดั่งเดิมเขายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน เชิดคอของตนขึ้นเล็กน้อย ไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่นิด “การแข่งขันเช่นนี้ถึงจะยุติธรรมที่สุดอีกทั้งเ้าสำนักเหลยก็ได้เห็นด้วยที่จะให้พวกเราเป็คนตั้งกฎแล้ว”
‘พื้นเมือง’เพลงนี้เซียวซู่ซู่เองก็รู้จักอีกทั้งตอนอยู่ที่จวนสกุลซู เมื่อยามว่าง นางเองก็เคยลองท้าทายเพลงนี้โดยที่นางและมารดาของนางเคยลองแข่งขันกันบรรเลงเพลงนี้โดยไม่กินไม่นอนถึงสองวันสองคืน
แต่ว่าก็ไม่เคยสำเร็จมาก่อน
เวลานี้นางเองก็มีท่าทีลังเลอยู่บ้าง
หลังจากที่เหลิ่งเซียวเอ่ยเสร็จคนส่วนมากก็มีท่าทีเห็นด้วยกับคำพูดของเขา
อย่างไรเสียของที่ใช้ในการพนันก็คือเจียวเหว่ย การแข่งขันครั้งนี้ก็ต้องมีความยากที่คู่ควรกับมันและจะต้องเป็การแข่งขันที่ทำให้พวกเขาไม่เสียแรงที่เดินทางมาไกลถึงเพียงนี้
ถ้าหากสามารถได้ยินเพลง‘พื้นเมือง’จนจบทั้งเพลงได้ก็ถือว่าพวกเขามาไม่เสียเที่ยวแล้ว
แต่ว่าสตรีที่บอบบางอย่างเซียวซู่ซู่จะอดทนได้นานถึงเพียงใดกัน? หนึ่งวัน?ครึ่งวัน?
เขาไม่กล้าคิดเลยจริงๆ
ดูเหมือนว่าครั้งนี้ แผนการของเขาจะต้องล้มเหลวเสียแล้ว
สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่สามารถเอาเจียวเหว่ยกลับมาให้ม่อเวิ่นเฉินได้
เจียวเหว่ยที่เขาผู้นั้นเก็บรักษาไว้อย่างดีเพื่อเป็การระลึกถึงซูฉีฉี...
เฝินเหวินมีท่าทางนิ่งเฉยไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยเขาไม่ได้มองไปที่คนดูเ่าั้และก็ไม่ได้มองไปที่เซียวซู่ซู่ซ้ำยังไม่ได้มองไปที่ฮวาฉืออีกด้วย
เขาเพียงแค่มาตามคำเชื้อเชิญเพราะว่าอยากจะประลองฝีมือกับเซียวซู่ซู่ผู้ที่โด่งดังใน่ค่ำคืนของหนานเจียงเท่านั้น
ปีนั้นเขาได้พ่ายแพ้ให้กับซูฉีฉีถือว่าแพ้อย่างยินยอมพร้อมใจ ตอนนี้เขากลับรู้สึกอยากจะพบกับซูฉีฉีผู้นั้นอีกสักครั้ง
“ได้เช่นนั้นก็ใช้เพลงพื้นเมืองเถิด”
เซียวซู่ซู่ไม่อยากจะให้บรรยากาศต้องรู้สึกอึดอัดอีกต่อไปนางจึงลุกขึ้นและเอ่ยเรียบๆ ออกมาประโยคหนึ่ง
น้ำเสียงของนางไม่ได้ดังมากนักแต่กลับทำให้ทุกคนในที่นั้นเงียบเสียงลง
สตรีผู้นี้กลับเอ่ยตกลงด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นนี้
ทำให้พวกเขารู้สึกนับถือนางออกมาจากใจจริง
เวลานี้เฝินเหวินเองก็พยักหน้าเบาๆมุมปากกระดกขึ้นเป็รอยยิ้มจางๆ
แม้กระทั่งฮวาฉือเองก็รู้สึกนับถือเซียวซู่ซู่ขึ้นมานิดๆนางกล้าตกลงยอมรับการแข่งขันด้วยเพลงพื้นเมืองเช่นนี้ถือว่าจิตใจเด็ดเดี่ยวไม่เบา
“คุณหนูเล็กสกุลเซียว” เหลยอวี๊เฟิงยังมีท่าทีลังเลอยู่บ้างแววตามีประกายปรากฏขึ้นขณะจ้องมองไปทางเซียวซู่ซู่ เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นแต่ใบหน้ากลับไม่มีรอยยิ้มสบายๆ เช่นเดิมอีกอีกทั้งยังมีไออาฆาตแค้นแผ่กระจายออกมาจางๆ จากตัวเขาอีกด้วย
เหลยอวี๊เฟิงที่เป็เช่นนี้เซียวซู่ซู่คุ้นเคยเป็อย่างดี
เซียวซู่ซู่ฉีกยิ้มออกมานางพยายามกดความรู้สึกอันปั่นป่วนของตนเองเอาไว้ เหลยอวี๊เฟิงที่เป็เช่นนี้มักจะทำให้นางนึกถึงม่อเวิ่นเฉินที่มักจะสวมชุดดำและมีสีหน้าเ็าดุจน้ำแข็งผู้นั้นเสมอ
เพียงแต่ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่นางจะนึกถึงสิ่งอื่น
ใกล้จะถึงเวลาแข่งขันแล้วอีกทั้งยังเป็การแข่งขันในเพลงที่นางไม่เคยเล่นได้สำเร็จจนจบเพลงอีกด้วย
“ไม่เป็อะไรหรอก” รอยยิ้มของเซียวซู่ซู่นั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและสบายๆเหมือนกับว่าเื่นี้ไม่ใช่เื่ที่จะต้องกังวลแม้แต่น้อย
สำหรับเพลง ‘พื้นเมือง’ ของต้าเยียนนั้น เซียวเอินไม่รู้ว่ามันเป็เพลงประเภทใด เพราะฉะนั้นเขาจึงทำเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นกระทั่งความกังวลยังไม่รู้ว่าจะเริ่มจากจุดใดขึ้นมาก่อน
เพียงแต่ว่าจากสีหน้าของเหลยอวี๊เฟิงแล้วเขาก็ดูออกว่า เพลงพื้นเมือง จะต้องมีความยากมากอย่างแน่นอน
“ได้”
หลังจากที่เหลยอวี๊เฟิงสบตากับเซียวซู่ซู่เป็เวลาเนิ่นนานเขาก็ได้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวและมั่นใจที่ฉายผ่านแววตาของเซียวซู่ซู่
ผ่านไปเนิ่นนาน เขาถึงจะพยักหน้าอย่างแรงและพูดคำว่า ได้ ออกมา “เช่นนั้นหลังจากผ่านเวลาไปครึ่งก้านธูปแล้ว การแข่งขันก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็ทางการ”
เวลาครึ่งก้านธูปนี้เห็นได้ชัดว่ามีให้สำหรับเซียวซู่ซู่
เพราะว่านางไม่ได้ทำการเตรียมตัวเลยแม้แต่น้อย
บรรยากาศกลับมาลุกฮือขึ้อีกครั้งเพียงเพราะว่าทุกคนได้ยินว่าเป็เพลงพื้นเมือง อีกทั้งยังบรรเลงออกมาโดยเฝินเหวินทำให้คนที่ชำนาญเื่พิณทั้งหลายในงานล้วนพากันตื่นเต้นเป็อย่างมาก รวมถึงเหลยอวี๊เฟิงด้วย
เพียงแต่ว่านอกเหนือจากความตื่นเต้นแล้วเขาก็ยังรู้สึกเป็กังวลต่อเซียวซู่ซู่ และกังวลต่อตัวเองด้วย
“พี่ใหญ่ท่านช่วยไปขอเข็มเย็บผ้าสักสองเล่มจากคนรับใช้ของสำนักเหลยได้หรือไม่?” เบื้องหน้าเซียวซู่ซู่ได้มีอาหารกินเล่นวางเรียงอยู่หลายจานเป็ที่เรียบร้อยแล้วแม้ว่านางจะได้กินอาหารเช้าไปแล้ว แต่ว่าขอเพียงการแข่งขันเริ่มขึ้นอีกนานเพียงใดถึงจะได้กินข้าวอีกครั้งนั้นก็ไม่มีผู้ใดรู้ได้
เมื่อเห็นเซียวซู่ซู่มีสีหน้าเรียบเฉย เซียวเอินเองก็ไม่รู้ว่าเขาควรเป็ห่วงหรือว่ารู้สึกยินดีจึงจะเหมาะสมจึงรีบพยักหน้าและเดินออกไปทันที
เขาไม่ได้ถามเซียวซู่ซู่ว่าจะเอาเข็มเย็บผ้าไปใช้ทำอะไรเพียงแต่ทำตามที่นางสั่งเท่านั้น
ด้านหน้าของเฝินเหวินเองก็มีอาหารว่างหลายจานและถ้วยน้ำชาวางอยู่เช่นกันตอนนี้ บรรยากาศโดยรอบมิได้มีความวิตกกังวลแม้แต่น้อย
เดิมเหลิ่งเซียวคิดว่าสตรีของหนานเจียงน่าจะไม่รู้จักวิธีการดีดเพลงพื้นมือง หากเป็เช่นนี้ ก็ไม่จำเป็ต้องประลองอีกและสำนักเหลยก็จะพ่ายแพ้ให้กับพรรคเด็ดบุปผา แต่คิดไม่ถึงว่าสตรีที่บัดนี้ดูเหมือนมีหมอกสีม่วงอ่อนโอบหุ้มร่างกายเอาไว้นั้นกลับเอ่ยตกลงเสียได้
ตอนนี้ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเซียวซู่ซู่อีกครั้งหนึ่ง
ในขณะที่เซียวเอินได้นำเข็มเย็บผ้าสองเล่มไปวางไว้บนมือของเซียวซู่ซู่นั้นมือของนางก็สั่นระริกอยู่เล็กน้อย ทว่า เพียงไม่นานก็กลับมาเป็ปกติเช่นเดิมนางกินขนมว่างและดื่มน้ำชาเข้าไป จากนั้นก็ถือโอกาสที่ไม่มีใครสังเกตนำเข็มทั้งสองเล่มนั้นอมเอาไว้ในปากของตน
เพื่อเตรียมเอาไว้ใช้ในยามที่จำเป็
แน่นอนว่าท่าทางเช่นนี้กลับไม่อาจรอดพ้นจากสายตาของยอดฝีมือในยุทธภพทั้งหลายที่อยู่ในที่แห่งนี้ได้
คนที่เห็นฉากนี้ต่างก็เกิดอาการตื่นตระหนก
แต่ว่า ก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา
แม้กระทั่งเหลยอวี๊เฟิงยังสังเกตเห็นถึงการกระทำของเซียวซู่ซู่เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วของตนแน่น เขารู้ว่าเซียวซู่ซู่คิดจะทำอะไรเพียงแต่ว่าเขาไม่เข้าใจสตรีผู้นี้มีความรู้มากน้อยถึงเพียงใดและมีอะไรบ้างที่พวกเขายังไม่รู้...
สตรีที่สลบไสลไม่ได้สติไปถึงสิบห้าปีเมื่อฟื้นขึ้นมา เหตุใดจึงสามารถมีความสามารถเก่งกาจเหนือผู้คนได้ถึงเพียงนี้!
เชื่อว่าทุกคนต่างก็มีความสงสัยเช่นนี้กันทั้งนั้น
“ถึงเวลาแล้ว”
หลังจากที่เหลยอวี๊เฟิงและฮวาฉือเอ่ยขึ้นอาหารว่างและน้ำชาที่อยู่ด้านหน้าของเฝินเหวินและเซียวซู่ซู่ก็ได้ถูกคนรับใช้ของสำนักเหลยเก็บไปอย่างรวดเร็ว
บรรยากาศโดยรอบได้กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
เซียวซู่ซู่ก็ได้เลิกตาขึ้นกวาดมองไปดูทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้อีกครั้งสีหน้าของนางยังคงราบเรียบเช่นเดิม
จากนั้น นางก็ค่อยๆยกนิ้วเรียวยาวและขาวนวลของตนขึ้นวางบนสายพิณเบาๆ นิ้วมือของนางลากผ่านมันก่อให้เกิดภาพราวกับผีเสื้อที่กำลังกระพือปีกโบยบินอยู่กลางอากาศ
หลังจากที่ปรับเสียงของสายพิณ ก็ถึงเวลาของการประลองที่แท้จริงแล้ว
เฝินเหวินเองก็ทำการปรับสายพิณก่อนเช่นกัน
นิ้วมือเรียวยาวกว่าบุรุษทั่วไปของเขาก็ได้ลากผ่านสายพิณบนตัวพิณด้านหน้าตนเช่นกันเจียวเหว่ยที่ถูกนิ้วมือของเขาลากผ่านนั้นก็ดูงดงามประดุจผลงานศิลปะชั้นเลิศ ที่งามจนสะกดสายตาของทุกคนที่พบเห็น
และชิงเจี่ยวที่อยู่ในมือของเซียวซู่ซู่ก็ได้ทำให้เกิดเสียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆจากทุกคนในที่แห่งนี้
ทว่า ทุกคนล้วนแต่เป็ผู้มีการศึกษาจึงไม่ได้เกิดเสียงร้องเอะอะโวยวายดังขึ้น
พวกเขาทำเพียงแค่ซุบซิบกันเงียบๆ เท่านั้น
เสียงพิณดังขึ้น
เสียงพิณของเซียวซู่ซู่และเฝินเหวินกลับผสานกันได้อย่างน่ประหลาดเสียงค่อยๆ ดังกระจายไปรอบๆ ทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับได้เห็นภาพแสงแดดอ่อนๆพร้อมกับอากาศอุ่นๆ ของฤดูใบไม้ผลิปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของตน...
เมื่อเสียงพิณบรรเลงต่อไปเรื่อยๆทุกคนก็เหมือนเห็นภาพของใบไม้สีเขียวที่ค่อยๆงอกออกมาจากกิ่งไม้และทำให้ต้นไม้ทั้งหลายค่อยๆ ปกคลุมด้วยสีเขียวสดอีกครั้ง ลมอุ่นๆของวสันตฤดูพัดผ่านอย่างแ่เบาทำให้ใบไม้โบกสะบัดไปมาราวกับมีเซียนหญิงที่สวมใส่ชุดกระโปรงสีเขียวกำลังทำการร่ายรำอยู่ระหว่างกิ่งไม้ก็มีดอกไม้สีสดจำนวนมากผลิบานออกมาเช่นกันทำให้เกิดเป็ภาพงดงามที่ผสานระหว่างสีเขียวของใบไม้กับสีแดงของดอกไม้...