ช่างกล้าพูด!
หลินฟู่อินเหยียดหยันในใจทว่าใบหน้าไม่แสดงออก มองไปอีกทางหนึ่ง แล้วก็มีความคิดขึ้นมา
นางยกมือปิดปากแล้วยิ้ม “นึกว่าเื่อะไร เื่แค่นี้เอง ประเดี๋ยวของชุดนี้ทำเสร็จข้าจะให้ท่านลุงสองกับคนอื่นๆ ไปรับซื้อไข่อีกครั้งเ้าค่ะ”
ได้ยินคำพูดของหลินฟู่อิน ทั้งอู๋ซื่อจ้าวซื่อต่างก็มีสีหน้ายินดีขึ้นมา อดรู้สึกไม่ได้ว่าเื่นี้ง่ายดายยิ่งนัก
จ้าวซื่อกลอกตาแล้วพูด “ฟู่อิน เ้าก็เห็นว่าพวกเราล้วนแต่เป็ผู้าุโของเ้ามาช่วยงานเ้า เช่นนี้ค่าแรงสมควรมากขึ้นหน่อยหรือไม่?” จากนั้นจึงชี้อู๋ซื่อ “ดูท่านย่าเ้าแก่ชราปานนี้แล้วยังต้องทำงานให้เ้า แขนขาสะโพกแก่ๆ ต้องลำบากไปหมด!”
หลินฟู่อินพยักหน้ายิ้มๆ “ท่านป้า้าค่าแรงเท่าไรเ้าคะ?”
จ้าวซื่อดีใจอีกครั้ง ยกสองมือขึ้นมากาง ดวงตาแวววาว “วันละสิบอีแปะ”
ขอตั้งสิบอีแปะต่อวัน หลินฟู่อินก็ไม่รู้ว่าใบหน้าจ้าวซื่อจะหนาจนกล้าเสนอราคานี้มาได้
เห็นเด็กสาวไม่ตอบทันทีเหมือนครั้งแรก จ้าวซื่อไม่เร่งร้อน แต่อู๋ซื่อกลับวิตกขึ้นมา ะโทันที “นังเด็กนี่ ข้าเป็ย่าเ้า ถึงข้าไม่ทำงานให้เ้า เ้าก็ต้องจ่ายค่าแรงให้ข้าอยู่ดี!”
แม้คำพูดของอู๋ซื่อจะไม่ได้ทำให้ประหลาดใจ แต่ก็ยังทำให้ตัวแข็งทื่อ
เอาสถานะผู้าุโมาใช้อย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ สมกับที่เป็อู๋ซื่อจริงๆ!
หลินฟู่อินรู้สึกอัศจรรย์ใจ ปรายตามองจ้าวซื่อที่ยืนผยองอยู่ด้านข้างแล้วกระแอม “อา จะทำเช่นนั้นก็ได้เ้าค่ะ ขอเพียงให้ท่านปู่เห็นด้วยก็พอ เช่นนี้ท่านย่าก็มาที่บ้านข้าทุกวัน กินดื่มไม่ต้องทำงานและได้รับค่าแรงวันละสิบอีแปะ แน่นอนว่าข้าเป็คนกตัญญู เื่กตัญญูเช่นนี้สมควรแพร่ออกไปให้คนในหมู่บ้านได้รับรู้กันเยอะๆ”
อู๋ซื่อจ้าวซื่อได้ยินเื่นี้ก็คิดว่ามีเื่ดีๆ เช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?
คู่แม่สามีลูกสะใภ้มองหน้ากัน ในใจยินดียิ่งนัก แสร้งทำเป็ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเด็กน้อย
จ้าวซื่อคิดแล้วไม่ค่อยมั่นใจ จึงได้ชี้หน้าตัวเองแล้วถาม “ฟู่อิน ข้าเองก็เป็ผู้าุโของเ้า เ้าขายไข่ดอกสนนั่นได้เงินมากมาย ข้าเองก็จะได้ค่าแรงวันละสิบอีแปะเช่นเดียวกันกับย่าเ้าใช่หรือไม่?”
หลินฟู่อินกดรอยยิ้มมุมปาก ส่ายหน้าเล็กน้อย “จะได้ยังไงกันเ้าคะ? ท่านป้าใหญ่กับท่านย่าอยู่กันคนละรุ่น ข้าไม่สนผลงานท่าน ไม่อยากจะใช้งานท่านแลกค่าแรงเล็กๆ น้อยๆ ด้วย แต่ถือว่าเห็นแก่หน้าผู้าุโของท่านนะเ้าคะ”
จ้าวซื่อเป็คนเกียจคร้านชอบนินทาไปทั่ว มีนิสัยเช่นนี้จึงไม่มีใครกล้าขอให้นางช่วยงานใหญ่ๆ ในหมู่บ้าน ไม่ต้องพูดถึงเื่ขอให้นางต้องทำงานจริงๆ จังๆ
จ้าวซื่อเองก็รู้ถึงชื่อเสียงตัวเองดีแต่ไม่คิดว่าเป็เื่ใหญ่อะไร แก้มน่าจะหนายิ่งกว่ากำแพงเมืองเสียอีก
“ในเมื่อเ้ารู้อยู่แล้วว่าข้าทำงานไม่ดี เช่นนี้ก็ควรใจกว้างให้ข้าทำงานกับท่านแม่สิ”
หลินฟู่อินฟังถ้อยคำไร้ยางอายแล้วก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าเงียบๆ พยายามไม่ให้ตัวเองกลอกตาใส่
แต่ผิวหน้าจ้าวซื่อนี่หนาดีจริงๆ คนจับแขนหลินฟู่อิน กล่าวเร่งเร้า “อีกอย่าง ยังมีน้องเสี่ยวเถาน้องเสี่ยวเหอของเ้า ทั้งคู่ยังเด็กอยู่ ไม่มีทางคุ้นชินกับงานหนักเหมือนพวกบ้านสองหรอก เ้าก็ให้พวกนางวันละสิบอีแปะ ให้ช่วยเ้ากวาดพื้นพับผ้าพวกนี้แล้วกัน”
ราวกับพายุเข้าเลยทีเดียว ใบหน้าจ้าวซื่อทั้งด้านทั้งทนในระดับที่นางไม่เคยพบเคยเห็น ไม่รู้คนอื่นทนนางได้อย่างไร
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้” เมื่อเห็นมุมปากหลินฟู่อินขยับเล็กน้อย จ้าวซื่อก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่ตกลง จึงรีบสรุปความทันที
“ไม่มีทางเ้าค่ะ” หลินฟู่อินสงบใจลง พยายามรักษาน้ำเสียงให้นุ่มนวลที่สุด
“ไอ้หยา ท่านแม่เ้าคะ! นางไม่ยอมเ้าค่ะ… นี่สอนให้พวกเราใช้ชีวิตเช่นนี้ หลินฟู่อินโหดร้ายยิ่งนัก หาเงินได้จนร่ำรวย เพียงแบ่งเงินเล็กน้อยให้พวกเราบ้านใหญ่ พวกเราก็มีชีวิตดีๆ ได้แล้ว แต่นางกลับไม่อยากเห็นเราอยู่สบาย ไอ้หยา…”
จ้าวซื่อส่งเสียงดังลั่น ลงไปนั่งตบหน้าตักร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลพราก
อู๋ซื่อเลิกคิ้วทันที ตวัดสายตามองหลินฟู่อิน “นังเด็กนี่ เ้านี่โหดร้ายเหมือนที่ป้าเ้าว่าจริงๆ! เ้าอายุเท่าไรกัน? เสี่ยวเถาเสี่ยวเหออายุเท่าไร? จะทนให้พวกนางไปทำงานเหมือนอาเฟินอาฟางที่ชินกับงานหนักได้เช่นไร?”
จ้าวซื่อว่าอย่างนั้น อู๋ซื่อว่าอย่างนี้ หลินฟู่อินอดไม่ได้ นางมองทั้งสองด้วยสายตาเย็นเยียบ “จะเป็ใครไม่สำคัญเ้าค่ะ เวลาจะพูดอะไรก็ควรจะคิดด้วย ถามตัวเองเถอะว่าไม่ได้ทำอะไรแล้วเหตุใดต้องได้สิ่งตอบแทน ยังมีหน้ามาขอเงินมากกว่าคนอื่นอีกหรือ? ลองใช้สามัญสำนึกแล้วถามตัวเองดู ลูกตัวเองเป็คน แล้วลูกคนอื่นเป็ต้นหญ้าหรือยังไง?”
สิ้นคำกล่าวนี้จ้าวซื่อก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ ครุ่นคิดความหมายอยู่สักพักก็ร้องโอย ชี้หน้าหลินฟู่อินแล้วสบถด่า “นังตัวดี เ้าด่าข้าทางอ้อมใช่หรือไม่? หรือจะด่าย่าเ้ากันแน่?”
“อ้อมอะไรกันเ้าคะ? ข้าแค่ด่าพวกโง่ที่คิดแบบที่ข้าพูด!” หลินฟู่อินไม่คิดจะทนต่อแล้ว เจอคนเช่นสองคนนี้ จะมีอะไรผ่อนคลายไปกว่าการด่าออกไปตรงๆ อีกเล่า
เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ปิดบังแม้แต่น้อย อู๋ซื่อจ้าวซื่อเห็นว่าหลินฟู่อินด่าพวกตนจริงๆ ใบหน้าก็ดำเป็ก้นหม้อ
“ไปๆ ไปเรียกผู้อื่นให้มาตัดสินกัน เื่ไร้สาระเช่นนี้ นังเด็กนี่คิดว่าตัวเองสูงส่งไปถึง์เลยหรือยังไง…” อู๋ซื่อถือว่าตนเป็ผู้าุโ ลากตัวจ้าวซื่อออกไปทันที
หลินฟู่อินเห็นพวกนางตั้งใจเดินออกไปด้วยตัวเองเช่นนี้ก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที
เื่นี้นางไม่กังวลเลยสักนิด ถึงสองคนนั้นจะเรียกคนอื่นมาถามจริงๆ ก็คงไม่กล้าเล่าออกไปหรอกว่าตัวเองเรียกร้องได้ไร้ยางอายแค่ไหน แต่สำหรับหลินฟู่อินแล้วไม่มีอะไรที่นางไม่กล้าพูด
อู๋ซื่อลากจ้าวซื่อที่โกรธจนพูดไม่ออกเดินไปยังประตูรั้วของบ้านหลินฟู่อิน แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเด็กน้อยหลายคนมารวมตัวกันอยู่ที่หน้าประตูบ้าน
อู๋ซื่ออึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะตวาดทันที “พวกเด็กป่าเด็กเขานี่มาจากไหนกัน ไม่มีอาจารย์สั่งสอนหรือยังไง? มาแอบฟังบ้านอื่นคุยกันเช่นนี้มารดาสั่งสอนหรือไม่?”
หลินฟู่อินได้ยินอู๋ซื่อตวาดด่าเด็กๆ ว่าไร้การศึกษาก็อดกุมขมับไม่ได้ ยายแก่คนนี้นี่ไม่หัดระวังเลยจริงๆ…
ถ้าเด็กพวกนี้กลับบ้านไปฟ้องบิดามารดาว่าโดนด่าอย่างไร ก็รอดูว่าคนพวกนั้นจะตามไปด่านางถึงบ้านหรือไม่!
เมื่อเห็นว่าหนึ่งในเด็กเ่าั้คือลูกสาวคนที่สี่ของบ้านเฉียนที่อยู่ข้างบ้าน นางก็กวักมือเรียกพวกเขาทันที “ไม่ต้องกลัวไป เข้ามาในบ้านข้านี่ เดี๋ยวพี่สาวจะให้ขนมเ้า”
เฉียนซื่อยาเป็เด็กซุกซน รีบวิ่งเข้ามาในลานบ้านของหลินฟู่อินทันที ก่อนจะหันไปทำหน้าทำตาใส่อู๋ซื่อ “พี่ฟู่อิน พวกเราไม่กลัวเ้าค่ะ ป้ากับย่าพี่มารังแกพี่อีกแล้ว พวกเราได้ยินหมดเลย!”