เรือนจินเฟิง หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่เป็ท่านาุโทั้งสองกำลังดื่มชาและสนทนาฆ่าเวลากันอยู่
“ท่านาุโเฉิน โจวเซี่ยนเป็ศิษย์รักของท่าน ครั้งนี้ได้ร่วมเข้าสอบในหอดอกเหมยด้วย ดูเหมือนท่านจะไม่เป็กังวลแม้แต่น้อย นี่เป็เพราะท่านรู้จักและมั่นใจในตัวเขาเป็อย่างมากใช่หรือไม่?” ท่านาุโหญิงเป็ฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน
ผู้ที่ถูกเรียกขานว่าท่านาุโเฉิน จิบน้ำชาคำหนึ่งแล้วพูดเนิบๆ “โจวเซี่ยนเป็ศิษย์ที่มีความโดดเด่นที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลาย รู้และเข้าใจระบบของสำนักศึกษาทั้งหมดเป็อย่างดี ให้เขารั้งเป็อาจารย์อยู่ในสำนักศึกษาเทียนหงเป็เื่ที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ข้ามีอะไรให้ต้องกังวลเล่า กลับเป็ท่าน ท่านาุโเหลียน เหตุใดจึงผลักดันท่านหญิงชิงเสียให้เข้าร่วมการสอบครั้งนี้อย่างกะทันหัน?”
ท่านาุโเหลียนฟังออกถึงความไม่ยินดีในน้ำเสียงของอีกฝ่ายจึงหัวเราะเบาๆ “แม้ท่านหญิงชิงเสียจะเป็อิสตรี แต่นางมีชาติกำเนิดมาจากครอบครัวแม่ทัพ ั้แ่เล็กติดตามบิดาของนาง จงอี้โหว ฝึกฝนอยู่ในค่ายทหาร เป็สตรีที่ไม่แพ้แก่บุรุษ ข้าผลักดันนางขึ้นมาด้วยเห็นว่าเสียดายหน่วยก้านของนาง มิใช่จงใจจะแย่งชิงกับท่านาุโเฉินจริงๆ ท่านาุโเฉินอย่าได้เข้าใจข้าผิดเชียว”
ท่านาุโเฉินโบกไม้โบกมือแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ไม่เป็ไร! เพราะอย่างไรความเป็ไปได้ที่โจวเซี่ยนจะเป็ผู้ชนะมีมากกว่า คู่ต่อสู้เพียงคนเดียว คู่ต่อสู้น้อยลงคนหนึ่งก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง”
ท่านาุโเหลียนลอบแค่นหัวเราะเสียงเย็นกับตนเอง ทว่าสีหน้ายังคงดูเกรงอกเกรงใจ “พูดมากไม่มีประโยชน์ ใช้ความสามารถที่แท้จริงมาพูดจากันจะดีกว่า”
นางลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะที่วางลูกแก้วคริสตัลในเรือนพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าพวกเขาจะผ่านด่านแรกไปแล้วหรือยัง...”
คนยังไม่ได้เดินเข้าไปใกล้ สีหน้าท่าทางของนางกลับแข็งค้าง ปรากฏให้เห็นความประหลาดใจอย่างที่สุด ท่านาุโเฉินเดินตามมาด้านหลังเห็นสีหน้าของนางแล้วถามขึ้นอย่างแปลกใจ “อย่างไรกัน? หรือผ่านด่านได้แล้ว ไม่สมควรนี่นา ตามหลักแล้วการฝ่าด่านแรกต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ สามก้านธูป”
เขาเดินเข้ามาดูใกล้ๆ เห็นใบหน้าของคนแปลกหน้าที่ปรากฏในลูกแก้วคริสตัลั้แ่เมื่อใดไม่รู้ นางดูเหมือนกำลังพิจารณาลูกแก้วคริสตัล จ้องมองลูกแก้วคริสตัลไม่วางตา จากฝั่งของพวกเขานางกำลังมองพวกเขาตรงๆ
แววตาของเขาคมปลาบน้ำเสียงเ็า “คนๆ นี้เป็ใคร? เหตุใดหอดอกเหมยจึงปรากฏบุคคลที่สาม? หรือนางไม่รู้ว่าได้ทำผิดฐานะบุกรุกหอดอกเหมย และจะถูกขับออกจากสำนักศึกษาหรือไร?”
ท่านผู้าุโเหลียนเก็บงำสีหน้าประหลาดใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ “ดูจากท่าทางของนางแล้วน่าจะไม่รู้กฎของสำนักศึกษา...”
พูดแล้วพลันเห็นสตรีที่อยู่ในลูกแก้วคริสตัลนั้นยื่นมือออกมา คล้ายกำลังจะแคะลูกแก้วคริสตัล...
ท่านาุโทั้งสองมืดแปดด้านก่อนจะสบตากัน
วินาทีถัดมา ท่านาุโเฉินะเิโทสะออกมาก่อน “ไร้เหตุผลเช่นนี้ได้อย่างไร! คนผู้นี้เป็ใครกันแน่ ใครอนุญาตให้นางเข้ามาก่อกวน?”
สะบัดแขนเสื้อแล้วเขาคิดจะพุ่งออกไปทันที ท่านาุโเหลียนห้ามปรามเขา “ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มการสอบ หากไปขัดจังหวะกลางทางจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของโจวเซี่ยนและท่านหญิงชิงเสีย อย่างไรก็เหมือนมีและไม่มีนาง ไม่ส่งผลกระทบต่อผลสอบ รอให้การสอบเสร็จสิ้น ค่อยขับนางออกไปจากสำนักศึกษาก็ไม่สาย! หากนางไม่ทันระวังถูกกักขังอยู่ในนั้นจนต้องทิ้งชีวิต ก็เป็เพราะนางหาเื่ใส่ตัว กล่าวโทษใครไม่ได้”
ท่านาุโเฉินครุ่นคิดแล้วเห็นว่ามีเหตุผล จึงพยายามควบคุมไฟโทสะในใจ “ท่านพูดถูกต้อง หอดอกเหมยมีดอกเหมยสีทองเพียงดอกเดียว ใครได้มันมา คนๆ นั้นก็มีคุณสมบัติเป็อาจารย์ของสำนักศึกษาเทียนหง คนๆ นี้ต้องเป็โจวเซี่ยนเท่านั้น!”
เขาช้อนตามองโจวเซี่ยนที่กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการหากลไก แล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
ท่านาุโเหลียนลอบแค่นเสียงฮึในใจ ไม่กล้าคล้อยตามแต่ก็ไม่กล้าโต้แย้งเขา
หอดอกเหมย เฟิ่งเฉี่ยนยังคงพิจารณาลูกแก้วคริสตัล ในใจคิดว่าหากสามารถนำมันไปด้วยจะขายได้มูลค่าเท่าใด
ท่านหญิงชิงเสียเห็นเฟิ่งเฉี่ยนจับจ้องลูกแก้วคริสตัลไม่วางตาจึงเอ่ยปากด้วยทนไม่ได้ว่า “แม่นางเฟิง นั่นคือ ‘ดวงตาพันลี้’ นำมาใช้ในการคุมสอบและดูสถานการณ์ในสนามสอบ ท่านผู้าุโจะมองเห็นพวกเราผ่านลูกแก้วอีกด้านหนึ่ง เพื่อสังเกตการณ์กระทำของพวกเราทั้งหมด”
“ดวงตาพันลี้?” เฟิ่งเฉี่ยนถูกอกถูกใจ “อย่างนั้นก็คือ กล้องวงจรปิดในศตวรรษที่ 21 มิใช่หรือ?”
“ศตวรรษที่ 21? กล้องวงจรปิด?” ท่านหญิงชิงเสียงงงัน เห็นเฟิ่งเฉี่ยนยังคงเอาแต่จับจ้องจึงทักท้วงขึ้นว่า “แม่นางเฟิง ลืมบอกกับเ้าไปว่า หากปีนี้เ้าไม่อาจผ่านการสอบของหอดอกเหมยไปได้ ก็ไม่อาจเข้าร่วมการสอบของศิษย์ได้เช่นกัน”
เฟิ่งเฉี่ยนหันขวับกลับมาพูดอย่างตื่นตระหนก “เหตุใดยังมีกฎเกณฑ์เลอะเลือนเช่นนี้ได้?”
เมื่อสักครู่นางยังคิดว่าดีเหมือนกัน พวกเขาสอบของพวกเขา ขอเพียงรอให้พวกเขาสอบเสร็จสิ้น นางก็สามารถไปจากหอดอกเหมย ดังนั้นนางจึงไม่ยี่หระแม้แต่น้อย กลไกนั้นจะฝ่าด่านไปได้หรือไม่ นางไม่อยากจะเปลืองสมอง แต่ตอนนี้ได้ยินว่าหากไม่ผ่านการสอบก็ไม่สามารถเข้าร่วมสอบเพื่อเป็ศิษย์เช่นกัน นางแทบจะคลุ้มคลั่ง!
ดูท่าแล้วนางไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่ทุ่มเทสุดกำลัง สู้ตาย!
เฟิ่งเฉี่ยนก้าวขึ้นข้างหน้าหลายก้าวเพื่อพิจารณากำแพงด้านหนึ่ง นางยื่นมือออกไปััและสังเกต นับได้ว่าพุ่งความสนใจและสมาธิไปที่เื่ของกลไก
ทัศนวิสัยของโจวเซี่ยนถูกบดบังทันที เขาตำหนิอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่รู้เื่ก็อย่ามาสร้างความวุ่นวาย ไสหัวไปไกลๆ ข้าหน่อย!”
เฟิ่งเฉี่ยนไม่โมโหซ้ำยังหัวเราะใส่เขา นางทำเป็ร้อนตัวและขอคำชี้แนะ “ตรองดูแล้วคุณชายท่านนี้น่าจะหาวิธีได้แล้ว สะดวกที่จะแบ่งปันกับพวกเราสักหน่อยหรือไม่?”
โจวเซี่ยนแค่นหัวเราะเสียงเย็นด้วยความลำพองใจ “บอกกับพวกเ้าก็ได้! เท่าที่ข้าเคยพบมา ภาพวาดดอกเหมยเหล่านี้วาดตามหลักเกณฑ์การคำนวณปากว้าของคัมภีร์โจวอี้[1] ในนั้นยังมีการใช้ตัวเลขซ้ำไปมา อย่างเช่นดอกเหมยทองเท่ากับขั้นที่หนึ่ง ย่อมเป็ตัวแทนของเลข 1 ดอกเหมยขาวเป็ขั้นหก ย่อมเป็ตัวแทนของเลข 6 หากว่ากันตามทฤษฎีนี้ นำพวกมันมาเรียบเรียงใหม่อีกครั้ง...”
ไม่รอให้เขาพูดจบ เฟิ่งเฉี่ยนตัดบทเขา “ว่ากันตามทฤษฎีนี้ ต่อให้เ้าคำนวณสามวันสามคืนก็ไม่อาจแก้ปัญหานี้ได้!”
ท่านหญิงชิงเสียหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง ด้วยถูกความเถรตรงของเฟิ่งเฉี่ยนทำให้เบิกบานใจ
“เ้า...” โจวเซี่ยนโมโหจนหน้าแดง เขาถลึงตาใส่นางจนดวงตาทั้งคู่แทบจะถลนออกมานอกเบ้า “มีปัญหา เ้าก็แก้ปัญหาให้ข้าดูสิ!”
เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะ “หากข้าแก้ปัญหาได้ เ้าจะว่าอย่างไร?”
โจวเซี่ยนแค่นหัวเราะเสียงเย็น “หากเ้าแก้ปัญหาได้จริง ชื่อของข้า โจวเซี่ยน จะเขียนกลับหลังกัน!”
“โจวเซี่ยน เซี่ยนโจว? เซี่ยนโฉ่ว[2]?” เฟิ่งเฉี่ยนพยักหน้า “อื้อ ชื่อนี้ไม่เลว”
โจวเซี่ยนมุมปากกระตุก ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สตรีนางนี้โผล่ออกมาจากที่ใดกันแน่ นางมักจะมีความสามารถยั่วโทสะผู้อื่นจนแทบคลั่ง!
“คุยโวน้อยหน่อยเถิด มิใช่จะหากลไกหรอกหรือ? เช่นนั้นเ้าก็หาสิ! หากเ้าไม่มีปัญญา ก็หุบปากให้สนิท นั่งรออยู่ด้านข้างเงียบๆ อย่ามาขัดหูขัดตาข้า!”
“รีบร้อนอะไรกัน” เฟิ่งเฉี่ยนไม่ลนลาน นางพูดเนิบๆ “เ้าคิดหาวิธีตั้งนานแล้ว ข้าเพิ่งจะเข้ามาครู่เดียว หากข้าสามารถหาพบด้วยการมองปราดเดียวก็คลี่คลายกลไกได้แล้ว นั่นมิใช่เป็การตบหน้าเ้าดังฉาดๆ หรอกหรือ ยิ่งชัดเจนว่าเ้าน่ะไร้ความสามารถ”
ดวงตาทั้งคู่ของโจวเซี่ยนแทบจะทะลักออกมา เขาถูกทำให้คลุ้มคลั่งแล้วจริงๆ วินาทีถัดมาเขากำลังจะบันดาลโทสะ แต่ได้ยินเฟิ่งเฉี่ยนร้องะโออกมาเสียงดังว่า “ข้ารู้แล้วว่าจะคลี่คลายกลไกอย่างไร!”
โจวเซี่ยนไม่เชื่อ “เ้าคุยโวโอ้อวดอันใดกัน ใครบ้างที่คุยโวโอ้อวดไม่เป็?”
เฟิ่งเฉี่ยนใช้สายตาที่มองคนเบาปัญญามองเขาปราดหนึ่ง จากนั้นเดินไปที่กำแพงด้านหนึ่งแล้วยื่นมือออกไปะโหนึ่งครั้ง ปรบมือหนึ่งครั้งลงบนกำแพง
ภายในเรือนพลันเงียบสงัด คนทั้งสามกลั้นหายใจโดยไม่ได้นัดหมายแล้วมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
โจวเซี่ยนหัวเราะเสียงดังอย่างสาสมใจ “นี่ก็คือวิธีการคลี่คลายกลไกที่เ้าพูดถึง? ะโส่งๆ หนึ่งครั้ง เอามือตบกำแพงหนึ่งครั้ง เ้าจะบอกกับข้าว่าเ้าคลี่คลายกลไกแล้ว ช่างน่าขันจนฟันร่วง! ฮ่าๆๆ...”
[1] คัมภีร์โจวอี้ ปากว้า หรือโป๊ยข่วย คือ รูปลักษณ์พื้นฐานมีอยู่ 8 ข่วย (ตรีลักษณ์) ซึ่งประกอบด้วยเส้น 3 เส้น (เหยา หรือง้าว) วางเรียงกัน โดย – ขีดตรงนับเป็ หยางเหยา – ส่วนเส้นประหรือเส้นขาดนับเป็ หยินเหยา เมื่อนำมาเรียงกันก็จะได้ 3 เหยา หรือ นับ 1 ข่วย (ตรีลักษณ์) เมื่อนำมาผสมกันก็จะได้ 8 ข่วย (อัฏฐลักษณ์)
[2] แสดงความอับอาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้