“แข็งแกร่ง ช่างเป็ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!”
ตอนนี้ผู้คนต่างต้องตกตะลึงแล้วสงสัยว่า หลินเฟิงอายุเท่าไรกัน?
ดูเหมือนเขาจะอายุเท่ากันหรืออาจน้อยกว่าจื่อโฉง แต่เพียงดาบเดียวเขาก็สามารถสังหารหลินฮ่าวเจี๋ยได้ อีกหนึ่งดาบก็สังหารกลุ่มคนของตระกูลจื่อ และในที่สุดเขายังคงโจมตีด้วยดาบเดียว จนกระทั่งจื่ออิ่งที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 9 ยังต้องถอยหนี
‘โเี้’ มีเพียงสองคำนี้ที่เหมาะกับหลินเฟิง ตระกูลจื่อเป็กลุ่มคนที่แข็งแกร่งและมีอิทธิพลมากที่สุดจากทั้งภูมิภาค โดยมีจื่ออิ่งเป็ผู้นำตระกูล
นอกจากนี้หลินเฟิงเป็เพียงรุ่นเยาว์ แต่กลับกล้าสังหารผู้คนจากตระกูลจื่ออย่างหยิ่งผยอง หากใครขัดขวางคนผู้นั้นจะต้องตาย
ส่วนจื่ออีและจื่อหลิงนั่น คำว่า ‘ความฝัน’ คงเป็คำเดียวที่พวกนางจะใช้บรรยายสถานการณ์ตรงหน้าได้!
พวกนางคิดว่าหลินเฟิงเป็เศษขยะ แต่ท้ายที่สุดเขากลับแข็งแกร่งกว่าหลินฮ่าวเจี๋ย เขาแข็งแกร่งอย่างน่าหวาดกลัวและมีพร์ตามธรรมชาติที่ยอดเยี่ยม ถึงขนาดทำให้จื่ออิ่งต้องถอยร่น
ต้วนซินเยี่ยยิ้มขณะจ้องมองแผ่นหลังของหลินเฟิง นางรู้ดีว่าหลินเฟิงเป็คนเืร้อนและมุ่งมั่นขนาดไหน ในวันนั้นหลินเฟิงได้ตามไปช่วยนางและสังหารผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่ง 8 คนด้วยตัวคนเดียว
ทั้งแปดคนนั้น ไม่มีใครอ่อนแอกว่าหลินเฟิงเลยสักคน ความแข็งแกร่งของพวกเขาล้วนอยู่ระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 แต่หลินเฟิงมีเพียงการตัดสินที่กล้าหาญและไม่ลังเลต่อสิ่งใด ท้ายที่สุดก็เหลือผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว
หลินเฟิงยอมเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อนาง นางพร้อมที่จะตาย หากนางไม่สามารถอยู่กับเขาได้
“อ๊า…”
เสียงร้องดังไปทั่วบรรยากาศ จื่ออิ่งมองไปยังซากศพที่นอนกองอยู่บนพื้น เขามีลูกชายเพียงคนเดียวเท่านั้น เขาใช้เวลาหลายปีในการเลี้ยงดูและอบรมเขาให้เป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่ง วันนี้เป็วันพิเศษสำหรับเขา เขากำลังจะได้เข้าสู่อาณาเขตต้องห้าม ทว่าตอนนี้เขากลับนอนจมกองเือยู่ที่พื้น
“เ้าต้องตาย!”
น้ำเสียงของจื่ออิ่งเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขาจ้องมองหลินเฟิงไม่ละสายตา จิติญญาอันแข็งแกร่งของเขา จู่ๆ ก็ส่งเสียงคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าจิติญญาของเขาคลุ้มคลั่งไปแล้ว
มีเืหยดจากดาบของหลินเฟิง เมื่อเขาเห็นจื่ออิ่งร้องคำรามอย่างเ็ปเช่นนั้น ดวงตาของหลินเฟิงพลันเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“ข้าก็้าให้เ้าตายเช่นกัน”
หลินเฟิงพุ่งเข้าหาจื่ออิ่งในทันที
“ตูม!!!”
ลมปราณสีม่วงที่หมุนเป็เกลียวบนมือของจื่ออิ่งกลายเป็หมัดจื่อฉวน จิติญญาที่อยู่ด้านหลังเขากำลังส่องแสงสีม่วงเจิดจ้าออกมา หมัดจื่อฉวนของจื่ออิ่งได้ทะลวงผ่านอากาศพุ่งเข้าหาหลินเฟิง
จากนั้นหมัดจื่อฉวนก็กลายเป็เงาที่คล้ายกับจิติญญาสีม่วงเื้ัจื่ออิ่ง ทันใดนั้นเมฆสีม่วงขนาดั์ก็พุ่งผ่านอากาศไปหาหลินเฟิง ราวกับมัน้ากลืนกินเขาทั้งร่าง
“ตาย!”
หลินเฟิงฟาดฟันดาบของเขาและตัดเมฆสีม่วงขนาดั์เป็สองส่วน นอกจากนี้เงาสีม่วงก็ถูกตัดเป็สองส่วนด้วยเช่นกัน
“ตาย ตาย ตาย!”
จื่ออิ่งคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง เงาสีม่วงเริ่มขยับและหมัดจื่อฉวนก็ปะทุขึ้นเช่นเดิม ซึ่งม่านตาสีม่วงขนาดั์ของมันเต็มไปด้วยความรู้สึกของมนุษย์ที่ทั้งเกลียดชัง เยือกเย็น และจิตสังหาร ทั้งหมดนี้คงเป็ความรู้สึกของจื่ออิ่งในตอนนี้
“นี่เป็การโจมตีแบบไหนกัน?”
การโจมตีที่คาดไม่ถึงว่าจะเป็ของั์สีม่วง นอกจากนี้ั์สีม่วงยังสามารถโจมตีได้ราวกับเป็ร่างแยกของจื่ออิ่ง เมื่อฝูงชนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่างก็ตื่นตระหนกไปตามๆ กัน
“นภาม่วงสังหาร!”
แววตาของผู้ฝึกยุทธ์สายเืตระกูลจื่อต้องสั่นระริก นี่คือทักษะที่หายสาบสูญของตระกูลจื่อ นภาม่วงสังหาร มีเพียงผู้ที่สืบสายเืโดยตรงของตระกูลจื่อเท่านั้น ถึงจะใช้ทักษะนี้ได้
นภาม่วง เป็การโจมตีด้วยลมปราณสีม่วงซึ่งเป็ลมปราณเฉพาะตัวของจื่ออิ่ง ส่วนั์สีม่วงในขณะนี้ ล้วนอยู่ในการควบคุมของจื่ออิ่งทั้งสิ้น
การสังหาร อย่างไรก็ตามั์สีม่วงนั้นย่อมไม่ถูกทำลายลงได้โดยง่าย การโจมตีธรรมดาก็ไม่สามารถสังหารมันได้ มิหนำซ้ำยังอาจกลายเป็โอกาสให้ั์ม่วงโจมตีกลับไป จึงทำให้อีกฝ่ายไม่อาจป้องกันได้ทันการ ช่างเป็พลังที่น่ากลัวอย่างมาก
“ทักษะและจิติญญาช่างประหลาดยิ่งนัก”
ในขณะนั้นหลินเฟิงพลันรู้สึกประหลาดใจ เขาโจมตีั์สีม่วงโดยการตัดมันออกเป็สองส่วน แต่มันก็เท่านั้น มิหนำซ้ำเมฆสีม่วงยังเคลื่อนเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ
เมฆสีม่วงนั้นมีอานุภาพเพียงพอที่จะคร่าชีวิตคนได้
การมองเห็นของหลินเฟิงกลายเป็ชัดเจน เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมราวกับไร้ตัวตน เขากำลังผสานกับเทวโลกและพิภพจนเป็หนึ่งเดียวกัน
“ตาย!”
คาดไม่ถึงว่าั์สีม่วงจะเอ่ยปากพูดอย่างเยือกเย็น พลังทำลายล้างกำลังพุ่งเข้าหาหลินเฟิงและกลืนกินเขา
ผู้คนต่างสั่นสะท้าน พวกเขาต่างจ้องเขม็งไปที่เมฆสีม่วงนั่นพลางคิดว่า หลินเฟิงถูกกลืนกินไปแล้ว?
“หลินเฟิงอยู่ไหน!”
จู่ๆ ก็มีคนะโขึ้นมาจนทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบ จากนั้นพวกเขากลับเห็นเพียงร่างสีขาวที่ยืนนิ่งๆ อยู่ข้างต้วนซินเยี่ย หากนั่นไม่ใช่หลินเฟิงแล้วจะมีใครอีก?
เมื่อครู่นี้ผู้คนล้วนจดจ่ออยู่ที่เมฆสีม่วง แต่พวกเขาไม่ได้สังเกตหลินเฟิง จึงไม่รู้ว่าหลินเฟิงกลับไปยืนอยู่ตรงนั้นั้แ่เมื่อไร
“ความเร็วระดับนี้มันอะไรกัน! เขาหลบการโจมตีเมื่อครู่ั้แ่เมื่อไร?”
ผู้คนต่างคาดเดาไปต่างๆ นานา การเคลื่อนไหวของหลินเฟิงช่างรวดเร็วเกินไปแล้ว มันเร็วจนดูเหมือนหลินเฟิงกลายเป็หนึ่งเดียวกับอากาศ
“หากไม่ได้บรรลุขอบเขตผสานกับเทวโลกล่ะก็ การโจมตีนี้ข้าจะต้องได้รับาเ็แสนสาหัสแน่ๆ ช่างเป็จิติญญาที่แปลกนัก ข้าไม่อาจละสายตาจากมันไปได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว”
หลินเฟิงมองั์สีม่วงที่กำลังคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ใบหน้าของั์สีม่วงจู่ๆ ก็กลายเป็ใบหน้าของจื่ออิ่งที่ทั้งเหี้ยมโหดและน่าหวาดกลัว แต่จื่ออิ่งกลับอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน ส่วนจิติญญาที่อยู่ด้านหลังเขากลับก็หายไป ซึ่งนั่นก็คือเมฆสีม่วง
“โฮก!!!”
ั์สีม่วงคำรามและพุ่งหาหลินเฟิงอย่างรวดเร็ว หลินเฟิงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขารู้สึกถึงลมปราณของั์สีม่วงได้ จากนั้นบนใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา
หลินเฟิงคว้ามือของต้วนซินเยี่ยเอาไว้และพวกเขาก็หายไปอย่างฉับพลัน
ขณะที่ั์สีม่วงกำลังพุ่งไปข้างหน้า เขาก็ถอยร่นอีกครั้งไปเรื่อยๆ แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว
“โฮก!!!”
ั์สีม่วงส่งเสียงคำรามที่ฟังดูโหยหวนอย่างบ้าคลั่ง หลังจากนั้นผู้คนก็เห็นั์สีม่วงค่อยๆ สลายหายไป เมฆสีม่วงก็เช่นกัน ผ่านไปไม่นานทุกอย่างก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“หายไปแล้ว?”
ฝูงชนต่างประหลาดใจและมองไปทางจื่ออิ่ง จิติญญาสีม่วงกลับไปอยู่ด้านหลังจื่ออิ่งแล้วก็จริง แต่มันดูอ่อนแอและเล็กจ้อยกว่าที่ทุกคนเห็นคราแรกมากนัก
“ด้วยความแข็งแกร่งของเ้าในตอนนี้ เ้ายังไม่รู้แม้แต่การควบคุมจิติญญาให้สมบูรณ์”
หลินเฟิงยิ้มอย่างเ็า ขอบเขตผสานกับเทวโลกของเขาช่างไร้ที่ติ ตอนที่ั์สีม่วงพุ่งเข้าหา เขาก็ััได้ชัดเจนถึงพลังทำลายล้างที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จื่ออิ่งที่ควบคุมเมฆสีม่วงก็อ่อนแอลงไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นหลินเฟิงจึงเลือกที่จะถอยไปเรื่อยๆ
พอเขาแน่ใจว่าหลินเฟิงหนีไปไกลแล้ว เมฆสีม่วงก็คลายตัวลง เมื่อครู่นี้จื่ออิ่งรุกโจมตีเขาด้วยพละกำลังทั้งหมด แต่น่าเสียดายที่ไม่สำเร็จเลยสักครั้ง
“คราวนี้ถึงตาข้าล่ะ”
หลินเฟิงก้าวไปข้างหน้าและปลดปล่อยคลื่นดาบมหาศาลออกมา ทำให้ดาบของหลินเฟิงเปล่งแสงเยือกเย็น
ใบหน้าของจื่ออิ่งกลายเป็ซีดขาว เมื่อครู่นี้การโจมตีด้วยพละกำลังทั้งหมดกลับไม่สามารถสังหารหลินเฟิงได้ เขาจึงไม่มีโอกาสอีกครั้ง นอกจากนี้หยวนชี่ของเขาก็สลายไปแล้ว หากไม่ถูกหลินเฟิงสังหารก็ถือว่าโชคดีมาก ทว่าจื่ออิ่งในตอนนี้กำลังหวาดกลัวเป็ที่สุด
“ถึงตาของเ้า แต่เ้าจะไม่มีโอกาสนั้น”
ในขณะนั้นได้มีเสียงลึกลับดังขัดจังหวะขึ้น ราวกับมันมาจากอุโมงค์แห่ง์ที่สะท้อนเข้าสู่โสตประสาทของผู้คน
จื่ออิ่งที่กำลังตัวสั่นในตอนนั้น ั์ตาของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความแข็งกร้าวที่เกิดขึ้นในจิตใจ เพราะตอนนี้ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลจื่อได้มาถึงแล้ว
ผู้คนในบริเวณนั้นและหลินเฟิงต่างเงยหน้ามองไปทางตำหนัก และเห็นเหนือตำหนักมีร่างเงายืนอยู่ตรงนั้น ร่างเงาที่อยู่ห่างไกลนั้นก็กำลังกวาดสายตามองซากศพของคนตระกูลจื่อ ตอนนี้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหารที่รุนแรง
“ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตลี้ลับ!”
ผู้คนต่างตกตะลึง พวกเขาล้วนเคยได้ยินข่าวลือว่า ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลจื่อไม่ใช่จื่ออิ่ง แต่เป็เพียงชายชราคนหนึ่งที่อยู่ขอบเขตลี้ลับ ซึ่งดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็ความจริง
ชายชราที่อยู่ขอบเขตลี้ลับได้ปรากฏตัวออกมาในตอนนี้ ก็เป็เพราะหลินเฟิง
หากเขาไม่มา เกรงว่าตระกูลจื่อคงถูกหลินเฟิงทำลายล้าง แม้แต่จื่ออิ่งที่เป็ถึงผู้นำตระกูลจื่อก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้
ชายหนุ่มที่สามารถล้มตระกูลจื่อได้อย่างองอาจเช่นนี้ นี่คือสิ่งที่ผู้คนต่างใฝ่ฝัน ทว่าความจริงมันยิ่งกว่าความฝันเสียอีก
ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาในชุดสีขาว เพื่อปกป้องสาวงามในดวงใจแล้ว เขาถึงได้ปรากฏตัวที่ตระกูลจื่อและสังหารผู้คนด้วยแรงโทสะ
มีเพียงเขาเท่านั้นที่คู่ควรกับความงามของต้วนซินเยี่ย ส่วนจื่อโฉงนั้นไม่สมควรได้นางไป เขาไม่รู้ว่าหลินเฟิงแข็งแกร่งเพียงใด อย่างไรก็ตามเพียงดาบเดียวของหลินเฟิงก็สามารถสังหารผู้คนได้อย่างง่ายดายแล้ว
ในขณะนั้นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตลี้ลับค่อยๆ ร่อนลงมาจากท้องฟ้ามายืนข้างจื่ออิ่ง ขณะมองซากศพบนพื้น
“ไม่เป็ไร ไม่เป็ไร ไม่เป็ไร!”
บางทีอาจเป็เพราะความโกรธเกรี้ยว ที่ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตลี้ลับถึงกับต้องเอ่ยสามคำนี้ขึ้นมา ขณะที่เขาเงยหน้ามองหลินเฟิงดังนั้น แววตาของเขามันเต็มไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า!