เซียวเอินและเหลยอวี๊เฟิงไม่ได้เดินเข้าไปในเรือนแต่กลับยืนฟังเสียงพิณนิ่งๆ อยู่ไม่ไกลนัก
กลับเป็เพลง ‘คืนสรทณ วังฮั่น’
หลังจากเพลงนี้จบลงเซียวซู่ซู่กลับไม่ได้ลุกขึ้นยืนทันที
ทว่าด้านนอกกลับมีเสียงปรบมือของเหลยอวี๊เฟิงดังขึ้นก่อนที่เขาจะก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาด้านใน “เป็เพลงที่ไพเราะจริงๆ”
ตอนนี้เมื่อเซียวซู่ซู่เห็นเหลยอวี๊เฟิงและเซียวเอินก้าวเข้ามาสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานสีหน้าของนางก็กลับมาเป็ปกติดั่งเดิมเมื่อเห็นทุกอย่างในที่แห่งนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะหยิบชิงเจวี่ยขึ้นมาดีดบรรเลงทั้งที่ตัวนางยังไม่ได้ทำการพักผ่อนเสียด้วยซ้ำ
เดิมนางคิดว่าจะไม่มีใครมารบกวนนางแต่ตอนนี้กลับเห็นเหลยอวี๊เฟิงเดินเข้ามาทำให้นางจำต้องลุกขึ้นมาย่อเข่าทำความเคารพเขาอย่างมีมารยาท “เ้าสำนักเหลย กล่าวชมเกินไปแล้ว”
ท่าทางของนางนิ่งเฉยและเ็าเป็อย่างมาก
เสมือนว่านางจงใจทำตัวออกห่างจากผู้คน
นิสัยเช่นนี้ เหลยอวี๊เฟิงรู้สึกไม่ชอบใจจริงๆแต่ว่าเวลานี้ เขากลับไม่มีเวลามาสนใจสิ่งเ่าั้ให้มากนักเขาจึงเดินไปหยุดตรงเบื้องหน้าของเซียวซู่ซู่ให้ระยะห่างของทั้งสองคนห่างกันเพียงก้าวเดียว “คุณหนูเล็กสกุลเซียวท่านจะฟังคำแนะนำสักประโยคของข้าได้หรือไม่?”
ด้วยท่าทางเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
“เชิญกล่าว” เซียวซู่ซู่กลับเอ่ยตอบด้วยท่าทางที่ห่างเหิน
“วันแข่งขันคุณหนูเล็กสกุลเซียวคิดว่าจะบรรเลงเพลงใดหรือ?” และในขณะที่เหลยอวี๊เฟิงเอ่ยขึ้นสายตาของเขาก็หันไปมองชิงเจวี่ยในมือของนางแวบหนึ่งแวบนั้นก็ทำให้เขาต้องเกิดอาการตกตะลึง
เพราะพิณนั้นกลับเป็ถึงาาของพิณทั้งปวง ‘ชิงเจี่ยว’
เขาได้มีท่าทางเสียมารยาทออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เพราะสายตาของเขาได้จับจ้องไปที่เซียวซู่ซู่อย่างไม่วางตา
กระทั่งว่าเซียวซู่ซู่ตอบอะไรกลับมาเขาก็ไม่ได้ยินทั้งนั้น
เซียวเอินที่อยู่ด้านข้างก็ขมวดคิ้วเข้าหากันน้อยๆเขาไม่ค่อยเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้เหลยอวี๊เฟิงมีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเช่นนี้
แต่เซียวซู่ซู่ค่อนข้างจะรู้จักคนผู้นี้เป็อย่างดีเขาจะต้องมีท่าทีเช่นนี้เพราะว่าสนใจพิณในมือของนางอย่างแน่นอน
คนผู้นี้ลุ่มหลงในพิณเป็อย่างมากไม่ว่าใครที่รู้จักต่างก็รู้ดีทั้งนั้น
“เ้าสำนักเหลย...” เซียวซู่ซู่เอ่ยเรียกออกมาเบาๆ
ก่อนที่จะยื่นพิณในมือไปให้กับเซียวเอินเพื่อเป็การบอกเขาให้ยกพิณเข้าไปเก็บ
แต่สายตาของเหลยอวี๊เฟิงกลับขยับไปตามชิงเจี่ยวในมือของเซียวซู่ซู่เขาจ้องมองมันตาไม่กระพริบ
เซียวซู่ซู่ที่เดิมกำลังอารมณ์ย่ำแย่นั้น ตอนนี้ก็เหลือไว้เพียงความรู้สึกเหนื่อยใจกระทั่งรู้สึกจนปัญญา ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรกับเหลยอวี๊เฟิงจึงจะดี
นางไม่เคยเห็นผู้ใดเป็เช่นนี้ลุ่มหลงและคลั่งไคล้จริงๆ
จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นโบกไปมาอยู่ด้านหน้าระดับสายตาของเหลยอวี๊เฟิงเพื่อให้เขาละสายตาจากเซียวเอินและละสายตาจากชิงเจี่ยวที่เขากำลังจับจ้องอยู่
เหลยอวี๊เฟิงนิ่งค้างไปสักพักก่อนจะดึงสติของตัวเองกลับมาได้
แล้วเขาจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้าของตนคือเซียวซู่ซู่ที่มีสีหน้าเหนื่อยใจนางอยู่ในชุดกระโปรงสีขาว ผมยาวสลวยของนางถูกปล่อยให้แผ่กระจายอยู่ด้านหลัง
เหลยอวี๊เฟิงเองก็รู้สึกเก้อเขินอยู่บ้างตอนนี้เขาไม่รู้จะทำสีหน้าเช่นไรดี
จึงฉีกยิ้มอย่างร่าเริงออกมาเหลยอวี๊เฟิงในตอนนี้กลับมีท่าทางเหมือนเด็กอายุสามขวบ “คุณ คุณหนูเล็กสกุลเซียว...”
จากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่ออีก
“อืม” เซียวซู่ซู่กระแฮ่มออกมาเบาๆ “เมื่อครู่เ้าสำนักเหลยถามข้าว่าเวลาแข่งขันคิดจะบรรเลงเพลงอะไรไม่ทราบว่าเ้าสำนักเหลยมีบทเพลงในใจอยู่แล้วหรือไม่?”
เพื่อไม่ให้บรรยากาศต้องกลับมาอึดอัดอีกเซียวซู่ซู่จึงได้แต่ต้องเอ่ยถึงหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ขึ้นมาพูดคุยอีกครั้ง
เหลยอวี๊เฟิงกลอกตารอบหนึ่งการตอบสนองของเขาช้าไปสามวินาที จากนั้นสีหน้าของเขาถึงจะค่อยๆกลับมาเป็ปกติอีกครั้ง “ใช่ๆๆ”
ในน้ำเสียงมีความเคอะเขินอยู่บ้าง
เสียงที่เอ่ยตอบก็ติดๆ ขัดๆ อยู่เล็กน้อย
“เช่นนั้นคือเพลงอะไรหรือ?” เซียวซู่ซู่ไม่มีเวลามาสนใจอารมณ์ของตนเองอีกตอนนี้นางเพียงแต่สนใจท่าทางอันน่าขันของเหลยอวี๊เฟิงเท่านั้น
นางอยากหัวเราะ แต่ก็ต้องพยายามกลั้นเอาไว้
ตอนนี้ อารมณ์ของนางก็รู้สึกเบิกบานขึ้นมากแล้ว
“คืนสรทณ วังฮั่น”
สติของเขายังกลับมาไม่เต็มที่นักทำให้เขาเอ่ยโพล่งออกมาโดยที่ยังไม่ได้ผ่านการครุ่นคิด
ทำให้เซียวซู่ซู่เบิกตาโต
จ้องเขาไปด้วยสายตาเหลือเชื่อ
คืนสรท ณ วังฮั่นเป็เพียงแค่เพลงที่นางเอามาใช้ซ้อมฝีมือเท่านั้น
“อืมก็คือเพลงนี้ ใช่แล้ว” เหลยอวี๊เฟิงมองไปทางเซียวซู่ซู่ที่ตอนนี้มีสีหน้าบิดเบี้ยวเพราะพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ทำให้สติของเขากลับมาแจ่มแจ้งอีกครั้ง จึงเอ่ยขึ้นมาอย่างจริงจัง
พลางยกมือขึ้นเกาหัวด้วยท่าทางเก้อเขิน
ท่าทางดูใสซื่อเป็อย่างยิ่ง
เหลยอวี๊เฟิงที่เป็เช่นนี้เซียวซู่ซู่เพิ่งจะเคยเห็นเป็ครั้งแรก
นางก้มหน้าลง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อืม คืนสรท ณ วังฮั่นก็ดีเหมือนกัน”
จากนั้นก็เอ่ยถามต่อด้วยสีหน้าจริงจังอีกครั้ง “ข้าอยากจะรู้ว่า คู่แข่งคือใคร?”
เมื่อเห็นเซียวซู่ซู่มีสีหน้าเช่นนี้เหลยอวี๊เฟิงเองก็ควบคุมอารมณ์ของตนเองและเอ่ยตอบด้วยสีหน้าจริงจังเช่นกัน “เฝินเหวิน”
การที่ฮวาฉือสามารถเชิญเฝินเหวินมาแข่งได้ก็ทำให้เหลยอวี๊เฟิงปวดหัวเป็อย่างมากแล้วตอนนั้นเขาหวังจริงๆ ว่าซูฉีฉีจะสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้
เพราะว่ามีเพียงซูฉีฉีเท่านั้นที่จะมีความสามารถพอที่จะแข่งขันฝีมือการดีดพิณกับเฝินเหวินได้
แต่ว่า เขาก็นึกถึงเซียวซู่ซู่ขึ้นมาได้
เมื่อได้ยินว่าเป็คู่แข่งเก่าใจของเซียวซู่ซู่ก็สงบลงมาก เฝินเหวิน พวกเราจะได้พบกันอีกแล้ว
หวังว่า เขายังคงสบายดีเหมือนเช่นเคย
สำหรับเฝินเหวิน เซียวซู่ซู่ยังคงรู้สึกซาบซึ้งใจต่อเขาอยู่
ตอนแรกหากไม่ใช่เพราะเฝินเหวินนางคงจะต้องตายที่ใต้หุบเขาขาดสะบั้นไปแล้วเป็แน่
ตอนนี้เมื่อย้อนนึกกลับไปนางถึงจะคิดได้ว่าคนชุดดำที่มาลอบสังหารนางในตอนนั้นจะต้องเป็คนที่ฮวาเชียนจือส่งมาอย่างแน่นอน
ั้แ่ตนเหยียบเข้าประตูใหญ่ของจวนอ๋องก็ได้สร้างความเคียดแค้นให้กับฮวาเชียนจือแล้วต่อให้นางอาศัยอยู่ที่โรงซักล้าง ฮวาเชียนจือก็จะไม่ปล่อยนางไว้อย่างแน่นอน คิดๆดูแล้วสตรีผู้นั้นช่างมีจิตใจโหดร้าเสียจริงๆ
“ที่แท้ก็เป็เขา” เซียวซู่ซู่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ด้วยท่าทีประหนึ่งว่าไม่เห็นคนผู้นั้นอยู่ในสายตาก็มิปาน
ทำให้เหลยอวี๊เฟิงถึงกับต้องเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
“พวกท่าน...รู้จักกันหรือ?”
เซียวซู่ซู่ส่ายศีรษะพลางกระดกมุมปากขึ้นเป็รอยยิ้มจางๆ “ไม่รู้จัก”
จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังอีกครั้ง “ท่านแน่ใจนะว่าจะให้บรรเลงเพลงคืนสรท ณ วังฮั่น?”
ในน้ำเสียงมีความแคลงใจแฝงอยู่ด้วย
“แน่ใจขอเพียงวันนั้นท่านสามารถบรรเลงออกมาได้อย่างเช่นความรู้สึกในวันนี้ก็พอ” เหลยอวี๊เฟิงนั้นคลั่งไคล้ในพิณเป็อย่างมาก แน่นอนว่าเขาเองได้ศึกษาเกี่ยวกับเสียงพิณมาแล้วอย่างลึกซึ้งเช่นกัน
สำหรับเสียงพิณเมื่อครู่ของเซียวซู่ซู่เขารู้สึกว่ามันเป็เสียงที่ไพเราะที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมาทั้งชีวิต
และเท่าที่เขารู้ถึงฝีมือการดีดพิณของเฝินเหวินเขาก็มั่นใจว่าเพลงเมื่อครู่ของเซียวซู่ซู่จะต้องเหนือกว่าอย่างแน่นอน
ต้องคว้าชัยชนะมาได้แน่
ความรู้สึก...
เซียวซู่ซู่ก็ยังมีความลังเลอยู่บ้างเมื่อครู่เขากำลังคิดถึงคนผู้นั้นทำให้บรรเลงความรู้สึกเช่นนั้นออกมาได้
“หรือไม่ท่านตัดใจเองก็ได้” เมื่อเห็นเซียวซู่ซู่มีท่าทีลังเล เหลยอวี๊เฟิงเองก็เกิดความลังเลขึ้นมาเช่นกันเขาเองก็รู้ว่า บางครั้งอารมณ์ก็ปรากฏขึ้นได้เพียงแค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้เหลยอวี๊เฟิงก็หันไปเห็นเซียวเอินที่ผลักประตูออกมาหลังจากเก็บชิงเจี่ยวเข้าไปในห้องแล้วจึงรีบก้าวไปหาเขาพร้อมใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเซียวหากไม่มีเื่อะไรแล้ว พวกเราก็ไปพูดคุยกันต่อเถิด”
จากนั้นเขาก็ไม่สนว่าเซียวเอินจะรู้สึกไม่เห็นด้วยหรือไม่ยินยอมเขาก็ก้าวไปด้านหน้าและคว้าแขนของเซียวเอินให้เดินไปด้วยกันทันที
เขารู้สึกว่าตนไม่ค่อยกล้าเผชิญหน้ากับเซียวซู่ซู่เท่าใดนัก
ต่อหน้าสตรีผู้นี้เขามักจะรู้สึกถูกนางกดไว้อยู่เสมอ
เมื่อเห็นเหลยอวี๊เฟิงจากไปด้วยท่าทีเหมือนกำลังหลบหนีนางเซียวซู่ซู่ก็ขมวดคิ้วของตนแน่นนางรู้สึกว่านิสัยเช่นนี้ของตนไม่ค่อยเป็ที่ชื่นชอบของคนเท่าใดนักและนี่ก็เป็คำพูดที่ม่อเวิ่นเฉินเคยเอ่ยกับนางเช่นกัน
เพลงคืนสรท ณ วังฮั่นเซียวซู่ซู่ก็ทำการฝึกซ้อมมันครั้งแล้วครั้งเล่า
เสียงเพลงอันโศกเศร้าก็ค่อยๆโอบล้อมสำนักเหลยเอาไว้
เวลาเจ็ดวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลายวันมานี้เซียวซู่ซู่ทำเพียงแค่ฝึกซ้อมพิณอยู่ในเรือนเท่านั้น ไม่ได้ออกไปที่ไหนเลยเพราะนางกลัว กลัวว่าจะเจอสิ่งที่นางรู้สึกคุ้นเคยเป็อย่างดีมากจนเกินไป
ที่แท้ นางเกิดใหม่อีกครั้งก็ยังคงเปราะบางและอ่อนแออยู่ดี
เพราะนางกลับไม่กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต
ไม่กล้าเผชิญหน้ากับอดีต
วันแข่งขันมาถึงแล้ว
เช้ามืด พ่อบ้านเหลยเผิงก็ได้นำสาวใช้จำนวนมากมาแต่งตัวให้เซียวซู่ซู่ั้แ่หัวจรดเท้าแต่ว่ากลับไม่ได้ใช้เครื่องประดับมากจนเกินไปนัก เพียงแค่ใช้ผ้าสีม่วงเรียบๆเส้นหนึ่งรวบผมยาวของนางเอาไว้ครึ่งหนึ่งและปล่อยผมอีกครึ่งหนึ่งให้พาดยาวผ่านหัวไหล่ของนาง เพื่อเพิ่มความสูงส่งและสง่างามให้กับตัวนาง
และทำให้บารมีที่โดดเด่นไม่เหมือนใครของเซียวซู่ซู่เด่นชัดมากขึ้นอีกทั้งยังทำให้ความงามดุจเซียนหญิงของนางฉายชัดมากขึ้นเช่นกัน
ภายในสวนด้านหลังสำนักเหลยได้มีการจัดเวทีไว้เป็ที่เรียบร้อยแล้วทุกคนล้วนมาถึงแล้วแต่บรรยากาศกลับเงียบสงบเป็อย่างมาก
เฝินเหวินเองก็นั่งอยู่ด้านหน้าแท่นวางพิณด้วยสีหน้าที่ราบเรียบเป็ที่เรียบร้อยแล้วเขาสวมเสื้อคลุมตัวยาวสีไพลิน ดูเรียบง่ายเป็อย่างยิ่งประกอบกับผิวพรรณขาวใสและใบหน้าที่หล่อเหลาที่แฝงด้วยลักษณะของบัณฑิตอยู่เล็กน้อย ทว่าบุคลิกจอมยุทธ์ของเขากลับเด่นมากกว่าผมยาวถูกรวบขึ้นเหนือศีรษะทำให้เขาดูเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน
ทว่าเขากลับไม่มีบุคลิกดั่งผู้ชำนาญด้านวิชาแพทย์
นิ้วมือเรียวยาววางทาบอยู่ที่หัวเข่าทั้งสองข้างขณะที่กำลังนั่งขัดสมาธิรออยู่เงียบๆ