"ได้เ้าค่ะ" หวังจวี๋ที่นั่งอยู่หน้าเตาพยักหน้า และหันไปเห็นหลี่ชิงชิงเทพริกสีเขียวมันขลับครึ่งตะกร้าลงกระทะ
พริกที่ปลูกในที่ดินของตระกูลหวัง มีทั้งชนิดสีเขียวและชนิดสีแดง
พริกทั้งสองชนิดนี้ล้วนมีเนื้อเยอะ ขนาดของมันก็เกือบเท่าหนึ่งฝ่ามือผู้ใหญ่
ความเผ็ดของพริกชนิดนี้ไม่มากเท่าพริกขี้หนู ทว่าให้ผลผลิตต่อหมู่ [1] สูง และกระเพาะของคนส่วนใหญ่สามารถรับความเผ็ดของมันได้ จึงเป็ที่นิยมในพื้นที่ที่มีอากาศชื้นยิ่งนัก ทุกครัวเรือนล้วนชอบกิน
ปีที่ผ่านๆ มาตระกูลหวังนำพริกสีแดงส่วนใหญ่ไปตากแห้งและขาย ส่วนพริกสีเขียวเก็บไว้กินเอง บ้างก็มอบให้ญาติสนิทมิตรสหาย หรือนำไปขายก็มี
ผู้เฒ่าหวังและหลิวซื่อล้วนเป็คนที่ใช้ชีวิตอย่างมัธยัสถ์ยิ่งนัก พวกเขามิอาจตัดใจกินพริกที่สามารถขายทำเงินหรือมอบเป็สินน้ำใจได้ แม้แต่พริกเขียวก็ยังมิอาจตัดใจกินได้เช่นกัน
วัตถุดิบที่หลี่ชิงชิงใช้ทำอาหารคืนนี้ก็คือพริกเขียว พริกครึ่งตะกร้าหนักประมาณสองจิน [2] หากนำไปที่ตลาดก็สามารถขายทำเงินได้หลายเหรียญทองแดง
ดังนั้นหวังจวี๋จึงกังวลว่าหลี่ชิงชิงจะถูกผู้เฒ่าหวังสองสามีภรรยาต่อว่า จึงอดเอ่ยเตือนไม่ได้ว่า "พี่สะใภ้สาม พริกมากมายขนาดนี้จะผัดทั้งหมดเลยหรือเ้าคะ?"
"ใช่แล้ว เก็บเกี่ยวพริกได้มาก ครอบครัวพวกเรามีคนเยอะ ข้าจึงผัดให้มากหน่อย" หลี่ชิงชิงใช้ตะหลิวกดลงบนพริกเขียวมันขลับเพื่อบีบเอาน้ำของพริกออกมา เกิดเป็เสียงซู่ซ่าและกลิ่นฉุนแสบจมูกของพริกลอยขึ้น ทำให้เผลอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
พริกเป็อาหารอันโอชะที่์ประทานให้แก่ชาวบ้านที่อาศัยในพื้นที่ภาคใต้ที่มีอากาศชื้น
พริกลายเสือ [3] หมูผัดพริก ไก่ผัดพริก เป็ดผัดพริก เนื้อสันในผัดพริก... หรือจะผัดพริกเปล่าๆ อย่างเดียว ใช้เป็เครื่องเคียงกินคู่กับอาหารจานหลักอื่นๆ ก็ล้วนเลิศรส
ในตอนที่ไม่มีเนื้อสัตว์ สิ่งที่หลี่ชิงชิงทําก็คือพริกลายเสือ
พริกลายเสือสูตรต้นตำรับจะใช้พริกหยวก ซึ่งพริกหยวกชนิดนั้นในพื้นที่ก็มีเช่นกัน เพียงแต่ความเผ็ดของมันมีมากเกินไปและตระกูลหวังไม่ได้ปลูก หลี่ชิงชิงจึงใช้พริกเขียวเนื้อหนาเผ็ดปานกลางที่ตระกูลหวังปลูกแทน
ไฟจากเตาค่อยๆ เผาไหม้ น้ำจากพริกในกระทะถูกจี่จนแห้ง ผิวพริกเหี่ยวกลายเป็ลายไหม้คล้ายลายเสือ ในเวลานี้หลี่ชิงชิงจึงใส่พุทราแดงและน้ำมันหมูสีขาวตามลงไปที่ขอบของพริก
หลังจากน้ำมันหมูถูกความร้อนของไฟละลายจนหมดก็ถูกพริกดูดซึมเข้าไป
ในอากาศฟุ้งเต็มไปด้วยกลิ่นหอมๆ ชวนลิ้มรสของเนื้อหมูและพริก ในปากของหวังจวี๋เต็มไปด้วยน้ำลาย ขอเพียงอ้าปากน้ำลายก็ไหลออกมาแล้ว
หลังจากใส่น้ำมันหมูและเกลือลงไป ผิวของพริกลายเสือก็มันวาว หลี่ชิงชิงใช้ตะหลิวตักใส่จานกระเบื้องเคลือบสีดําขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวหนึ่งฉื่อ
แม้แต่จานขนาดใหญ่ที่น่าเกลียดและหยาบขรุขระก็ไม่อาจซ่อนรูปลักษณ์อันน่ากินของพริกลายเสือได้
หวังจวี๋อดไม่ได้ที่จะหยัดกายลุกขึ้นยืน สายตาของนางขยับไปตามพริกลายเสือ ในใจกู่ร้อง้ากินมัน!
"น้องห้า เพิ่มไฟให้แรงขึ้นอีกหน่อย ข้ายังต้องผัดอาหารอีกจาน" หลี่ชิงชิงนำกระเทียมที่หั่นเสร็จแล้วหนึ่งกํามือเล็ก ใส่ลงในกระทะเหล็กขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าสองฉื่อ แล้วใช้น้ำมันที่เหลือจากพริกลายเสือผัดต่อสองที ครั้นกลิ่นหอมของกระเทียมลอยออกมาก็เทถั่วแปบที่เด็ดไว้ลงไป
ถั่วแปบเป็ถั่วฝักยาวชนิดหนึ่ง หรือที่เรียกว่าถั่วแปบขาว ในคัมภีร์เปิ่นเฉ่ากังมู่ [4] บันทึกไว้ว่ามีฤทธิ์เสริมม้าม แก้ท้องเสียและขับความร้อนชื้น
ถั่วแปบนั้นปลูกง่ายและโตเร็วเป็พิเศษ ตระกูลหวังปลูกเพียงสองเมล็ดในสวนหลังบ้านก็ผลิดอกออกผลจนกินไม่หมดแล้ว ทว่าถั่วแปบต้องผัดคู่กับเนื้อหมูถึงจะอร่อย
ในกระทะยังมีน้ำมันหมูเหลืออยู่เล็กน้อย จึงใช้ผัดกับถั่วแปบได้พอดี
ถั่วแปบต้องผัดให้สุก มิฉะนั้นคนอาจได้รับพิษอ่อนๆ หากกินดิบ
ถั่วแปบผัดจนสุกให้ส่งกลิ่นหอมกรุ่น จากนั้นก็ตักใส่ถังได้ครึ่งถัง ถังไม้มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวหนึ่งฉื่อและสูงครึ่งฉื่อ ใช้สําหรับใส่ผักและข้าวโดยเฉพาะ
ไฟจากเตาถูกดับโดยหวังจวี๋ หลี่ชิงชิงตักน้ำใส่กระทะไว้จนเต็มแล้ว ส่วนไฟที่เหลืออยู่สามารถใช้ต้มน้ำร้อนต่อได้ เอาไว้ใช้ล้างจาน ล้างเท้าหรืออะไรก็ได้
พี่สะใภ้และน้องสามีสองคนทําอาหารเสร็จแล้วก็มิได้พักแต่อย่างใด พวกนางไปช่วยจางซื่อแม่ลูกเก็บพริกที่ลานบ้าน
หลี่ชิงชิงเหยียบบันไดปีนขึ้นไปบนหลังคา เพื่อเก็บพริกบนหลังคาใส่เข่งใบใหญ่ แต่ได้ยินเสียงของจางซื่อะโจากด้านล่างว่า "ท้องฟ้าทอแสงแดงยามเช้ามิควรออกจากบ้าน ท้องฟ้าทอแสงแดงยามเย็นควรเดินทางหลายพันลี้ [5] น้องสะใภ้ พรุ่งนี้ฝนไม่น่าจะตก หลังคาอยู่สูง พริกบนนั้นก็ไม่ต้องเก็บแล้ว"
ชาวบ้านในหมู่บ้านหวังนั้นซื่อสัตย์ ผู้คนในหมู่บ้านไม่มีนิสัยลักขโมย แต่จะมีคนจากข้างนอกที่แอบเข้ามาขโมยของ
คนในหมู่บ้านหวังยากจน บ้านที่เลี้ยงสุนัขมีอยู่ไม่กี่ครอบครัว สองคืนก่อนส้มบนต้นส้มสองต้นที่นับเป็เงินได้สิบกว่าเหรียญทองแดงของครอบครัวหนึ่งถูกโจรจากข้างนอกขโมยไปจนหมด ภรรยาเ้าของบ้านโกรธหนักจนไปยืนด่าทอสาปแช่งอยู่นอกหมู่บ้านมาสองวันแล้ว เช้าวันนี้ก็ยังด่าอยู่
ดังนั้น่สองวันมานี้คนทั้งหมู่บ้านจึงพากันเก็บผักที่ตากกลับบ้าน เพราะหากไม่เก็บก็กลัวว่าพริกที่ตากในลานบ้านจะถูกคนขโมยไป
"เช่นนั้นก็ลดงานไปได้อีกเื่แล้ว" หลี่ชิงชิงยิ้มเล็กน้อย นางไม่ได้ดูสภาพอากาศเป็เท่าจางซื่อ ดังนั้นนางจึงลงบันไดอย่างคล่องแคล่ว
จางซื่อมองไปยังแผ่นหลังเรียวบางของหลี่ชิงชิง พลันนึกถึงรูปลักษณ์โฉมสะคราญและเฉลียวฉลาด ทั้งยังมีทักษะการทําอาหารที่ยอดเยี่ยมของนาง จากนั้นก็นึกได้ว่าหลี่ชิงชิงเพิ่งจะแต่งเข้าตระกูลหวังเพียงสองเดือนก็สามารถทําอาหารสดใหม่และไข่เค็มออกมาขายทำเงิน ทำให้พ่อแม่ของสามีให้ความสําคัญ ตนจึงอดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้
ทว่าหลี่ชิงชิงกลับมิได้คิดอะไรมาก นางนำบันไดไม้กลับไปเก็บที่ห้องเก็บของและพิงไว้ข้างกําแพง กลิ่นโอสถเข้มข้นที่ลอยฟุ้งอยู่ภายในห้องเก็บของ คือกลิ่นโอสถดิบตากแห้งและโอสถเม็ดที่ทําจากสมุนไพรที่นางเก็บมาจากบนเขาใน่หลายวันนี้
ชาติที่แล้วนางเป็เด็กกําพร้าและได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์ทหาร เมื่อจบการศึกษาก็มาเป็แพทย์ทหาร และพร้อมที่จะเป็ทหารในกองทัพไปตลอดชีวิต แต่ภายหลังโรงพยาบาลทหารได้ย้ายกลับคืนถิ่นเดิม นางจึงเกิดความรู้สึกสูญเสียเป็อย่างยิ่ง และได้เปลี่ยนอาชีพไปทําธุรกิจ นางหาเงินได้มากมายและเดินทางไปทั่วแห่งหน ไปที่ใดล้วนต้องลิ้มรสอาหารท้องถิ่นของที่นั้นๆ วันหนึ่งนางเดินอยู่บนทางเท้า ได้ถูกคนเมาขับรถชนจนเสียชีวิต ครั้นลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีก็กลายเป็สาวชาวนาในหมู่บ้านเสี่ยวเฉวียนแห่งเมืองเซียงแคว้นต้าถังที่กําลังจะแต่งงานเสียแล้ว
เ้าของร่างเดิมก็มีนามว่าหลี่ชิงชิง ในตอนนั้นได้ทำการตกลงแต่งงานกับหวังเฮ่าแล้ว
เ้าของร่างเดิมไม่อยากแต่งงาน คนในดวงใจนางคือถงเซิง [6] ผู้หนึ่งในหมู่บ้านที่สอบผ่านการคัดเลือก ถงเซิงผู้นี้ก็มีความรู้สึกที่ดีต่อเ้าของร่างเดิมเช่นกัน เพียงแต่มารดาของเขากล่าวว่า เ้าของร่างเดิมไม่มีสินเดิมมาช่วยเหลือเจือจุนให้เขาร่ำเรียนเพื่อสอบซิ่วไฉ [7] นางจึงไม่ยินยอมอย่างเด็ดขาด
เ้าของร่างเดิมคับแค้นใจเหลือคณาจนเป็ป่วยเป็โรคลมแดดและจากไปทั้งอย่างนี้
หลังจากหลี่ชิงชิงทะลุมิติมาถึง นางมิได้เต็มใจกับการคลุมถุงชนเช่นนี้แต่อย่างใด แต่ทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลย และถือเป็การตอบแทนบุญคุณบิดามารดาตระกูลหลี่ทั้งสองที่เลี้ยงดูมาแทนเ้าของร่างเดิม จึงยินยอมตบแต่งออกมา
เมื่อสองเดือนก่อน หวังเฮ่าที่รับราชการทหารใช้วันหยุดเยี่ยมญาติสั้นๆ กลับมาที่หมู่บ้านหวังเพื่อเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับหลี่ชิงชิง จากนั้นก็กลับไปที่กองทัพ
หลี่ชิงชิงจึงได้กลายเป็ภรรยาทหารในยุคโบราณ ชาติที่แล้วนางเคยเป็ทหารมาก่อน ย่อมรู้ว่าเป็ทหารนั้นไม่ง่าย จึงตัดสินใจเป็ภรรยาที่ดีและดูแลคนในครอบครัวแทนหวังเฮ่า
หวังจวี๋และหวังพั่นตี้ยืนอยู่ด้านนอกรั้วสูงสามฉื่อของลานบ้าน กำลังกระซิบคุยกันพลางมองไปยังปากทางเข้าหมู่บ้าน
ตำแหน่งที่ตั้งบ้านของครอบครัวตระกูลหวังนั้นค่อนข้างสูง สามารถมองเห็นหมู่บ้านได้เกือบครึ่งหมู่บ้าน
"ท่านอา ไม่รู้ว่าพริกจะขายได้เงินเท่าไรกันนะเ้าคะ?"
หวังจวี๋นึกถึงสิ่งที่หลี่ชิงชิงกล่าวเมื่อคืนวานว่า ยิ่งเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากราคาก็ยิ่งต่ำลง นางจึงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า
"พริกของบ้านเราทั้งผลใหญ่และสดใหม่ จะต้องขายได้ราคาดีอย่างแน่นอนเ้าค่ะ" หวังพั่นตี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความหวังในเื่นี้
จางซื่อเดินออกจากลานบ้าน กระซิบถามว่า "น้องเล็ก ครานี้ท่านพ่อท่านแม่เอาไข่เค็มไปขายเท่าไรหรือ?"
ก่อนหน้านี้หลายครั้งตระกูลหวังขายไข่เค็มได้มากสุดครั้งละห้าสิบฟอง ยามเที่ยงวันก็กลับมาแล้ว ทว่าวันนี้จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา
หวังจวี๋ยังคงส่ายหน้าไปมา ไข่เป็ดที่ใช้ทำไข่เค็มของครอบครัวมาจากผู้เฒ่าหวังสามีภรรยาและหลี่ชิงชิงที่ออกร่วมกัน ไข่เค็มทั้งหมดล้วนทำและควบคุมโดยหลี่ชิงชิงเพียงคนเดียว ยามนี้คนในบ้านจึงมีเพียงนางเท่านั้นที่รู้
-----------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] หมู่ (亩) หมายถึง หน่วยวัดพื้นที่ 1 หมู่ = 666.67ตารางเมตร
[2] จิน (斤) หมายถึง หน่วยวัดน้ำหนัก 1 จิน = 500กรัม
[3] พริกลายเสือ (虎皮辣椒) หรือพริกชี้ฟ้าลายเสือ หนึ่งในอาหารเสฉวน คือการเอาพริกชี้ฟ้าเขียวหรือพริกหยวกมาจี่ในกระทะจนเปลือกพริกเหี่ยวเป็ลายไหม้ๆ คล้ายลายเสือ จากนั้นนำไปผัดกับเครื่องปรุงต่างๆ
[4] เปิ่นเฉ่ากังมู่ (本草纲目) หมายถึง ตำรายาสมุนไพรจีนที่รวบรวมเขียนขึ้นโดยหมอยาหลี่สือเจิน
[5] ท้องฟ้าทอแสงแดงยามเช้ามิควรออกจากบ้าน ท้องฟ้าทอแสงแดงยามเย็นควรเดินทางหลายพันลี้ คือการดูสภาพอากาศ เชื่อว่าท้องฟ้าเป็สีแดงตอนเช้าไม่ควรออกจากบ้านเพราะฝนจะตก หากท้องฟ้าแดงยามโพล้เพล้สามารถออกเดินทางได้เพราะวันรุ่งขึ้นท้องฟ้าจะสดใส
[6] ถงเซิง (童生) หมายถึง การสอบคัดเลือกขุนนางระดับต่ำสุด โดยผู้ที่สมัครสอบในระดับนี้ทุกคนจะถูกเรียกว่าถงเซิง
[7] ซิ่วไฉ (秀才) หมายถึง การสอบคัดเลือกขุนนางระดับท้องถิ่น ผู้ที่สอบผ่านระดับนี้จะถูกเรียกว่าซิ่วไฉ
