ทั้งสองคนเดินไปตามถนนเป็เวลาครึ่งชั่วยาม โดยที่ฝูเอ๋อร์หอบสิ่งของต่างๆ จนเต็มมือ
“คุณหนู พวกเราควรกลับหรือไม่เ้าคะ? หากกลับช้า เหลาเหยี่ยจะต้องโมโหอีกแน่เลยเ้าค่ะ”
“เข้าใจแล้ว”
ทันใดนั้นฝูงชนก็กรูกันไปยังทิศทางหนึ่งราวกับเกิดเื่อะไรขึ้นก็ไม่ปาน
ไป๋เซี่ยเหอไม่สนใจเื่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองมาแต่ไหนแต่ไร ทว่าต้องยอมแพ้ต่อฝูเอ๋อร์ที่มีท่าทีกระตือรือร้นอยู่ข้างกาย
ยังไม่ทันที่ไป๋เซี่ยเหอจะเอ่ยปาก ฝูเอ๋อร์ก็ตั้งท่าจะวิ่งไปยังจุดที่ฝูงชนอยู่เสียแล้ว “คุณหนู เราเองก็ไปดูกันเถิดเ้าค่ะ”
ไป๋เซี่ยเหอมองตามเงาร่างที่ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ของฝูเอ๋อร์ นางจึงต้องตามไปอย่างเสียมิได้ ในใจก็นึกชื่นชม
นี่ต่างหากที่เป็ท่าทีของเด็กอายุสิบกว่าปีอย่างแท้จริง
“ท่านหมอได้โปรดเมตตาด้วยเถิดขอรับ ช่วยแม่ของข้าด้วย”
“ได้โปรด ได้โปรด”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งคุกเข่าอยู่หน้าร้านขายยา โขกศีรษะอย่างหนักหน่วง พลางส่งเสียงอู้อี้ออกมา
ไม่ทราบว่าเขาโขกศีรษะไปกี่คราหรือคุกเข่าให้กี่คนแล้ว หน้าผากของเขามีเืที่แห้งกรังจนจับตัวเป็สะเก็ดอยู่หนาเตอะ ส่วนกางเกงก็ย้อมไปด้วยเื
ผู้คนล้อมรอบเด็กหนุ่มผู้นี้เป็วงกลม บ้างก็ส่ายศีรษะทอดถอนใจ บ้างก็ก้มหน้าซุบซิบ ทว่าไม่มีสักคนที่รุดหน้าออกไปช่วยเหลือเลย
ไม่มีใครอยากหาความยุ่งยากให้ตนเอง
ผู้เฒ่าที่ถูกโขกศีรษะให้ยกมือขึ้นลูบเครา ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ “เด็กหนุ่มเอ๋ย ไม่ใช่ว่าชายชราไม่อยากช่วยชีวิตคน ความจริงแล้วชายชราก็ไม่อยากทำให้ใครขุ่นเคืองเหมือนกัน”
“ทำให้ใครขุ่นเคืองหรือเ้าคะ?” ฝูเอ๋อร์ถามด้วยความสงสัย
สตรีนางหนึ่งที่อยู่ด้านข้างรีบเข้ามาร่วมวงทันที นางกล่าวว่า “เดิมทีเด็กหนุ่มผู้นี้เป็คนของจวนสกุลฉิน ไม่รู้ว่าทำอะไรถึงถูกขับไล่ออกมา จวนสกุลฉินยังบอกอีกว่าหากผู้ใดช่วยเขาเท่ากับต่อต้านจวนสกุลฉิน”
บรรดาหมอตามร้านขายยาล้วนแล้วแต่เป็คนธรรมดาทั้งนั้น จะกล้าทำให้จวนสกุลฉินขุ่นเคืองได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น จะให้พวกเขาเอาตัวเข้าไปเสี่ยงเพื่อคนแปลกหน้าเช่นนี้อีก
“เช่นนั้นก็น่าสงสารเกินไปแล้ว”
“ก็ใช่น่ะสิ แม่ของเขาป่วยมานานกว่าครึ่งเดือนแล้ว เขาขอร้องผู้คนมาครึ่งเดือนกว่าแล้วเหมือนกัน แต่หมอทุกคนที่กล้าไปรักษานั้น ได้ยินว่าใกล้จะไม่ไหวแล้วเช่นกัน”
“อา”
ใบหน้าของฝูเอ๋อร์ดูราวกับมีคำว่าน่าสงสารเขียนเอาไว้ ทว่านางเองก็เป็เพียงสาวใช้ตัวน้อยนางหนึ่งเท่านั้น จะทำอะไรได้เล่า?
“ข้าจะช่วยเ้ารักษาคน”
น้ำเสียงไพเราะดังเข้าหูของทุกคน
เดิมทีไป๋เซี่ยเหอเพียงหลับตาพิงกำแพงรอให้ฝูเอ๋อร์ดูความครึกครื้นจบเท่านั้น ทว่าหลังจากได้ยินคำว่าจวนสกุลฉิน นางก็ลืมตาขึ้น ราวกับพบเจอคนที่คุ้นเคย
ฝูงชนหลีกทางอย่างเงียบงัน สายตาของทุกคนตรึงอยู่บนร่างของไป๋เซี่ยเหอ
นางสวมชุดกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อน ปกเสื้อและกระบอกเสื้อเป็ขนปุยสั้นสีขาว ช่วยขับผิวพรรณขาวผ่องของนาง แววตาสุกใสคู่หนึ่งราวกับมีอาคมที่สูบิญญาของผู้คนเข้าไปในนั้นได้ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ดูมีเสน่ห์โดยกำเนิด
นางเปรียบเสมือนปีศาจล่อลวงผู้คน ทว่ากลับไม่ดูเหมือนกำลังล่อลวงผู้คนแม้แต่น้อย
“แม่นางน้อย เ้าอายุยังน้อย เหตุใดถึงคิดไม่ได้เช่นนี้?”
“ถูกต้อง เ้ากำลังจะทำให้จวนสกุลฉินขุ่นเคืองเชียวนะ พวกเขาย่อมไม่ปล่อยเ้าไปแน่”
“เ้าอายุน้อยปานนี้จะรักษาคนได้หรือ? เ้าคงไม่ใช่คนของจวนสกุลฉินที่จงใจแสดงตัวเช่นนี้เพื่อฆ่าคนหรอกกระมัง!”
ไป๋เซี่ยเหอเดินเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มผู้นั้นทีละก้าวโดยไม่ชายตามองทางอื่นเลย แววตาของนางดูกระจ่างใส ส่วนหลังก็ยืดตรง เมื่อเดินไปถึง นางเพียงเอ่ยอย่างเฉยเมยเท่านั้น “เ้าเชื่อใจข้าหรือไม่?”
เด็กชายเงยหน้าขึ้นปล่อยให้เืสดๆ บนหน้าผากไหลเข้าตา ท่ามกลางแสงสีแดงของเืนั้น สตรีที่อยู่ตรงหน้าดูราวกับเทพธิดาที่เปล่งแสงรัศมีจุติลงมาก็ไม่ปาน
เขาคิดว่าตนเองจะไม่มีวันลืมเลือนภาพตรงหน้านี้ไปชั่วชีวิตตราบจนเป็เถ้าธุลี
“ข้าเชื่อใจท่านขอรับ”
“เฮ้อ ไม่ฟังคำผู้เฒ่าผู้แก่ก็มักจะพบเจอกับความสูญเสีย”
เด็กสาวที่งดงามปานนี้ น่าเสียดายที่หยิ่งผยองเกินไป
“ก็ไม่แน่หรอก นางรู้ทั้งรู้ว่าการทำเช่นนี้ถือเป็การต่อต้านจวนสกุลฉิน ก็ยังกล้าช่วยเหลือ ไม่แน่ว่าคงเตรียมพร้อมไว้แล้วกระมัง?”
ไปเซี่ยเหอเดินออกมา ทำให้เสียงสนทนาเื้ัค่อยๆ ห่างไกลออกไป
ฝูเอ๋อร์เดินตามหลังไป๋เซี่ยเหออย่างทำอะไรไม่ถูก หากไม่ใช่เพราะนางเข้ามาร่วมวงชมความครึกครื้น คุณหนูคงไม่ต้องมาเดือดร้อนกับเื่เช่นนี้ หากทำให้สกุลฉินขุ่นเคืองจนเกิดเื่ขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร?
“คุณหนู เราต้องช่วยเหลือเขาจริงๆ หรือเ้าคะ?”
แม้จะรู้ว่าการถามต่อหน้าเ้าตัวเช่นนี้ไม่ใช่เื่ดีนัก ทว่าเกรงว่าหากนางไม่ถามก็คงจะไม่มีโอกาสแล้ว!
ชายหนุ่มที่เดินนำหน้าชะงักฝีเท้าทันที เขาเงียบไปไม่กี่อึดใจก็หันมาคำนับไป๋เซี่ยเหอ “เซี่ยถิงขอบคุณแม่นางที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจากสถานการณ์อันน่าอับอาย แต่จวนสกุลฉินไม่เหมาะที่จะยั่วยุจริงๆ แม่นางรีบจากไปเสียจะดีกว่าขอรับ”
เซี่ยถิงไม่อาจปิดบังความผิดหวังในแววตาของตนเองได้
ดวงตาของเขาเป็ประกายตอนที่ไป๋เซี่ยเหอบอกว่าจะช่วยรักษา เห็นได้ชัดว่าเป็คนที่กตัญญูรู้คุณจริงๆ
หากพูดอย่างไม่น่าฟังก็คือ
ผู้ที่มีจุดอ่อนนั้นควบคุมได้ง่ายที่สุด!
“ไม่เหมาะที่จะยั่วยุหรือ?”
ไป๋เซี่ยเหอพึมพำ จากนั้นก็แลบลิ้นเล็กนุ่มสีชมพูออกมาเลียมุมปากอย่างแ่เบา “แต่ข้าดันอยากยั่วยุเสียหน่อย”
“นี่...”
เซี่ยถิงลำบากใจเล็กน้อย ด้านหนึ่งเป็มารดาที่เจ็บป่วยจนไม่อาจรอได้อีกแล้ว อีกด้านก็ไม่้าให้เด็กสาวที่มีเมตตาเช่นนี้ถูกจวนสกุลฉินมองเป็ศัตรู
“ข้าไม่กลัว แล้วเ้าจะกลัวอะไร? ยังไม่รีบนำไปอีก”
แววตาของเซี่ยถิงค่อยๆ แน่วแน่ขึ้น เขาคุกเข่าลงตรงหน้าของไป๋เซี่ยเหออย่างหนักหน่วง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก ทว่ากลับหนักแน่นดุจเขาไท่ซานก็ไม่ปาน
“เซี่ยถิงขอบคุณสำหรับบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของแม่นางแทนแม่ของข้าด้วยขอรับ วันหน้าหากแม่นาง้าสิ่งใด เซี่ยถิงจะบุกน้ำลุยไฟโดยไม่ย่อท้อขอรับ”
หลังจากโขกศีรษะอย่างหนักหน่วง เขาก็ลุกขึ้นเดินต่อ หางตาเป็ประกายด้วยแสงสีเงินโดยที่ไม่มีใครเห็น
เดินไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ใกล้มาถึงที่หมาย
ระหว่างทางต้องเดินผ่านตรอกซอกซอยอันคดเคี้ยวที่มีกำแพงสีกระดำกระด่าง ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นอับโชยมาเต็มโพรงจมูก
“ฮัดชิ้ว!”
ฝูเอ๋อร์จามออกมา นางถูจมูกอย่างอดไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าคุณหนูของตนไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย นางก็รู้สึกนับถือเต็มหัวใจ
ทว่าความจริงแล้วผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกลิ่นมากที่สุดคือไป๋เซี่ยเหอ
นางเป็ครึ่งคนครึ่งจิ้งจอก แม้ว่าจะอยู่ในร่างมนุษย์ ทว่าความรู้สึกอันฉับไวของสัตว์ไม่ได้อันตรธานหายไป สำหรับนางแล้วกลิ่นเหม็นโฉ่นี้ยิ่งเหม็นขึ้นกว่าเดิมสามเท่า
เซี่ยถิงถูมือด้วยความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ใบหน้าเปลี่ยนเป็สีแดงก่ำทันที
“อีกประเดี๋ยวจะถึงแล้วขอรับ”
เขาพูดไม่ผิด หลังเลี้ยวผ่านมุมนี้ไป เดินไปสุดซอยก็จะถึงแล้ว
บานประตูไม้ซอมซ่อส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดบาดหูยามเปิด ราวกับหากออกแรงมากกว่านี้อีกนิด บานประตูจะล้มลงกลายเป็ซากไม้อย่างไรอย่างนั้น
ทว่าด้านในแตกต่างจากกลิ่นเหม็นอับที่ด้านนอกนัก
แม้เรือนหลังนี้จะเล็ก ทว่าจัดเก็บอย่างสะอาดสะอ้านและเป็ระเบียบเรียบร้อย ภายในเรือนมีสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็เครื่องเรือนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือ โต๊ะสี่เหลี่ยมตัวหนึ่ง ซึ่งมีชุดน้ำชาราคาถูกชุดหนึ่งวางอยู่้า
เซี่ยถิงเห็นไป๋เซี่ยเหอมองชุดน้ำชาก็รีบอธิบายอย่างเขินอาย “นั่นคือสิ่งที่ท่านแม่รักมากที่สุดขอรับ ในอดีตแม่ของข้าเป็บุตรสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ จึงได้เรียนรู้ศิลปะการชงชามาขอรับ”
“เหตุใดบุตรสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ถึงมาอาศัยอยู่ที่นี่ได้?” ฝูเอ๋อร์ปากไว นางโพล่งถามออกมาอย่างอดไม่อยู่
“ล้วนเป็เพราะข้า”
แววตาของเซี่ยถิงมีอารมณ์ความรู้สึกที่ผสมปนเปกัน ทั้งเ็ป ขุ่นเคือง และเกลียดชัง
ไม่ได้มีเพียงความเสียใจเท่านั้น!
ไป๋เซี่ยเหอเดินหน้าไปสองสามก้าว นางลากนิ้วผ่านโต๊ะที่สะอาดไร้ฝุ่นอย่างแ่เบา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เป็เพราะจวนสกุลฉินกระมัง?”
------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้