ร่างไร้ิญญาของชายชราค่อยๆ ทรุดลงกับพื้น ทันใดนั้นบรรยากาศก็กลายเป็เงียบงัน
หลินเฟิงเพียงอยู่แค่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 4 แต่กลับสามารถสังหารผู้ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 ได้?
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ฝูงชนราวกับอยู่ในความฝัน เส้นทางแห่งนักรบนั้นแม้มีระดับขอบเขตและความแข็งแกร่งที่อาจแตกต่างกันมาก แต่ผู้ที่สามารถเอาชนะความท้าทายนี้ได้คืออัจฉริยะอย่างแท้จริง
หลินเฟิงและอีกฝ่ายมีขอบเขตที่ห่างกันถึง 3 ขั้น ความแข็งแกร่งจึงแตกต่างกันมาก นอกจากนี้แล้วหลินเฟิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับสร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้คน
ด้วยจิตใจอันแน่วแน่ของหลินเฟิง เขาจึงใช้วิธีที่เหี้ยมโหด จนในที่สุดชายชราก็สิ้นลมหายใจ ในชั่วพริบตาฉากนี้กลับเป็ที่ประทับใจแก่ผู้คนอย่างมาก
“ว่องไว แข็งแกร่ง มีจิตใจแน่วแน่”
ฝูงชนต่างชื่นชม การโจมตีของหลินเฟิงสะท้อนให้เห็นถึงอะไรหลายอย่าง ถ้าไม่มีจิตใจอันแน่วแน่เขาคงแพ้ไปแล้ว เขาคิดไว้แล้วั้แ่แรก ดังนั้นอุบายการะโนั้นจึงได้เข้าใกล้ชายชราอย่างต่อเนื่อง ทำให้อีกฝ่ายเสียเปรียบ ในตอนท้ายด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และแทงลำคอของอีกฝ่ายด้วยกริชอย่างแม่นยำไร้ที่ติ
เพื่อการต่อสู้นี้ หลินเฟิง… เขาจ่ายมากเกินไปแล้ว
“แค่กๆ!”
หลินเฟิงไอเล็กน้อย ตรงมุมปากของเขามีเืไหลออกมาต่อเนื่อง จนหน้าอกของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเื ซึ่งมันทำให้ดูสะดุดตาอย่างมาก
จนเืหยดลงไปที่กริช หลินเฟิงค่อยหยิบเม็ดยาจากขวดออกมา 2 เม็ดและโยนเข้าปากของตนเอง แล้วกลืนกลิ่นอายอันเย็นเฉียบเข้าสู่ร่างกาย เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
“เ้าเด็กนี่น่ากลัวยิ่งนัก”
เวิ่นอ้าวเสวี่ยมองไปที่หลินเฟิง บนใบหน้าหล่อเหลาชวนให้หลงใหลปรากฏรอยยิ้มบางๆ เขารู้สึกว่าหลินเฟิงไม่ได้เป็คนที่จัดการได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตามหลินเฟิงก็สร้างความประหลาดใจให้เขาอย่างมาก
“ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7!” เวิ่นอ้าวเสวี่ยพึมพำ “กริชเมื่อครู่นี้ มันมาจากไหนกัน?”
หลินเฟิงเพียงโยนดาบยาวทิ้ง และไม่มีใครเห็นกริชที่ปรากฏอยู่ในมือของเขา ทุกคนล้วนตระหนักถึงตอนที่ชายชราถึงแก่ความตาย แต่กลับไม่มีใครสามารถอธิบายถึงกริชที่คมปลาบเล่มนั้นได้
“พี่หลิน!”
ขณะนั้นม่านตาของหานหมานข้างหนึ่งเป็สีเื และอีกข้างหนึ่งเป็สีเหลืองราวกับสีของดินทราย ช่างดูแปลกประหลาดอย่างมาก
“วางใจเถอะ ข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก” หลินเฟิงที่รู้สึกกังวลพอได้ยินหานหมานพูดเช่นนี้จึงรู้สึกผ่อนคลายลง แล้วลุกขึ้นยืนมองหานหมาน พลันปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
หานหมานครุ่นคิดสักครู่ แล้วส่งเสียงคำรามดังกังวานออกมา
ทันใดนั้น ฝุ่นทรายคละคลุ้งไปทั่วและผืนดินสั่นไหว
จากนั้นร่างกายของหานหมานก็หมุนไปเรื่อยๆ ราวกับลูกข่าง แค่ชั่วพริบตาร่างกายของหานหมานทั้งร่างกลับกลายเป็เม็ดทราย
“เกิดอะไรขึ้น?”
สายตาของทุกคนในบริเวณนั้นเบิกกว้างอีกครั้ง ฉากที่เห็นก่อนหน้านี้มันช่างน่าแปลกเป็ที่สุด
เมื่อครู่นี้หานหมานไม่ได้เป็ที่สนใจมาก เพราะการต่อสู้ของหลินเฟิงดึงดูดสายตาของผู้คนไป แต่ในตอนนี้เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับหานหมาน ฝูงชนทั้งหลายกลายเป็แข็งทื่อ และไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับหานหมาน
ฝุ่นทรายบินว่อนไปในอากาศ เม็ดทรายที่เปล่งประกายช่างดูสวยงามอย่างยิ่ง กลุ่มทรายได้ห่อหุ้มร่างของหานหมานมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็กลุ่มทรายขนาดใหญ่ และหานหมานก็อยู่ข้างในนั้น
จากนั้นสักครู่ เม็ดทรายที่ล่องลอยไปมาก็สงบลง ส่วนหานหมานได้กลายเป็ก้อนทรายทรงกลมขนาดใหญ่
เมื่อเห็นฉากนี้ หลินเฟิงจึงขมวดคิ้วมุ่น เพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับหานหมาน
“แคร๊ก!”
ทันใดนั้นได้เกิดเสียงปริแตกขึ้น ก้อนทรายขนาดใหญ่ปรากฏรอยแตกราวกับดอกบัวบาน และหานหมานก็ปรากฏตัวอีกครั้ง
ปฏิกิริยาของผู้คนโดยรอบต่างนั่งนิ่งอย่างตกตะลึง ในสีหน้าตื่นตระหนกของทุกคน รูม่านตาหดลงอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นหานหมานในเวลานี้ ผมสีดำยาวของเขาได้เปลี่ยนเป็สีเหลือง หานหมานมีพละกำลังแข็งแกร่งมากกว่าเดิม จึงทำให้หัวใจของผู้คนจำนวนมากล้วนสั่นไหว
หานหมานในตอนนี้ทั้งทรงพลังและน่าเกรงขามราวกับเทพา แต่สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนไปคือตราทาสที่อยู่บนใบหน้าของเขาที่ยังคงเด่นชัด
หานหมานลืมตาขั้น แววตาของเขาราวกับไฟฟ้าสถิต มันส่องแสงอย่างน่าทึ่ง
“ช่างดูสว่างไสวยิ่งนัก”
หานหมานยกฝ่ามือขึ้นดู เขารู้สึกถึงร่างกายที่เต็มไปด้วยพละกำลังอันทรงพลังอย่างชัดเจน
หานหมานหันไปจ้องชายวัยกลางคนเขม็ง ด้วยม่านตาสีเหลืองคู่แปลกประหลาดทำให้ชายวัยกลางคนผู้นั้นสั่นเทาไปด้วยความกลัว
“ตาย!”
หานหมานคำรามออกมาแล้วเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่สองก้าวก็มาอยู่ด้านหน้าของชายวัยกลางคนแล้ว และปล่อยหมัดออกไปพร้อมกับทรายสีเหลืองที่ส่องแสง
ชายวัยกลางคนมองอย่างตกตะลึงและไม่หลบหนีแต่อย่างใด เขาปล่อยหมัดตอบโต้ออกไปอย่างบ้าคลั่ง
“ตูม!”
ทั้งสองหมัดปะทะกันจนผืนดินสั่นไหว มันสร้างความประหลาดใจให้แก่ฝูงชน ชายชราถูกโจมตีด้วยทราย จนแขนของเขาถูกปกคลุมไปด้วยชั้นทรายหนาแน่น เพียงแค่ชั่วพริบตาร่างกายของชายชราก็ได้ถูกฝังอยู่ในกลุ่มทราย
“ว๊าก!!!”
หานหมานคำรามออกมาราวกับระบายโทสะ และนี่เป็อีกหนึ่งหมัดที่ปล่อยออกไปอย่างแข็งแกร่ง เพียงชั่วพริบตาก้อนทรายนั่นก็ะเิกระจัดกระจาย นั่นหมายถึงว่าร่างของชายชราได้แตกเป็เสี่ยงๆ อย่างไรก็ตามกลับไม่มีเืสักหยดที่หยดลงบนพื้น มีเพียงแค่เม็ดทรายเท่านั้น
“เปรี้ยง เปรี้ยง....” หัวใจของฝูงชนเต้นระรัวไม่หยุดหย่อน สายตายังคงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น การโจมตีนี้ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว
การโจมตีของหานหมานทำให้ทุกคนตื่นตระหนก เพราะเขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าหลินเฟิงเลย
“นี่คือจิติญญาทางสายเื มันได้ตื่นขึ้นมาแล้ว!”
เวิ่นอ้าวเสวี่ยพึมพำขณะยืนอยู่ข้างๆ ประตูกรง แล้วมองไปหานหมาน
ใช่แล้ว นี่คือจิติญญาทางสายเืที่ตื่นขึ้นมา จึงทำให้การไหลเวียนของโลหิตแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามเชื้อสายของผู้ที่มีจิติญญาทางสายเืจะแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป หากมีเหตุบังเอิญ ชีพจรโลหิตจะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ทว่าสถานการณ์มันได้ไปกระตุ้นหานหมาน ความแข็งแกร่งจึงเพิ่มขึ้นในชั่วพริบตา ในกรณีของหานหมานหาได้ยากมาก แม้กระทั่งเวิ่นอ้าวเสวี่ยก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน
จิติญญาทางสายเืถูกปลุกแล้วอย่างแน่นอน และไม่มีคำอธิบายใดๆ สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับหานหมาน
หลินเฟิงก็ใมาก หานหมานในตอนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว และยังบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเขาเสียอีก
ขณะนั้นด้านนอกกรง ผู้คนต่างตกตะลึง หลินเฟิงเองก็เช่นกัน
“พี่หลิน ฆ่าเด็กนั่นซะ กรงนี้มันจะเป็ที่ตายของมัน”
หานหมานจ้องไปที่ไป๋เจ๋ออย่างเ็า เนื่องจากก่อนหน้านี้เขา้าให้หลินเฟิงไปเป็ทาส
ไป๋เจ๋อจะต้องตายอย่างแน่นอน!
หานหมานเดินตรงไปที่ไป๋เจ๋อ และปล่อยหมัดทรายอันบ้าคลั่งออกไป ทำให้อีกฝ่ายต้องถอยร่น
หลินเฟิงค่อยๆ หันมองไป๋เจ๋อ จนร่างกายของไป๋เจ๋อในตอนนี้ต้องสั่นเทาไปด้วยความกลัว เพียงแค่สบตากับหลินเฟิงก็ทำให้ไป๋เจ๋อถึงกับถอยห่างออกไป
เป็ไปได้อย่างไรว่าเขาจะเป็คู่ต่อสู้ของหลินเฟิง เขาถึงกับสังหารชายชราที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 ลงอย่างง่ายดาย
“เมื่อครู่นี้เ้าบอกว่าจะให้ข้าไปเป็ทาส และจะกลายเป็ทาสที่โดดเด่น?”
หลินเฟิงกล่าวด้วยโทนเสียงต่ำ ขณะก้าวไปหาไป๋เจ๋อช้าๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเฟิง ร่างกายของไป๋เจ๋อจึงสั่นเทาขึ้นเรื่อยๆ และส่ายหน้าไม่หยุดหย่อน
“ช่วยด้วย รีบมาช่วยข้าเร็วๆ!”
ไป๋เจ๋อะโเสียงดัง จะเป็ไปได้อย่างไร ที่นี่เป็อาณาเขตตระกูลไป๋ของเขา เขาคิดจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ แต่ตอนนี้ตัวเขาเองกลับถูถขังอยู่ในกรงซึ่งไร้หนทางหลบหนี
เมื่อฝูงชนได้ยินเสียงร้องของไป๋เจ๋อ ในใจต่างก็โกรธเกรี้ยว มีผู้คนจำนวนมากมาถึงตัวเวิ่นอ้าวเสวี่ยที่ยืนอยู่ปากทางเข้า
เวิ่นอ้าวเสวี่ยไม่ได้ขยับไปไหน มุมปากได้เผยรอยยิ้มเหยียดหยาม เมื่อร่างเงานั่นมาถึงก็เห็นเขาขัดขวางไม่ให้ผ่าน จึงกล่าวด้วยโทนเสียงต่ำว่า “เวิ่นอ้าวเสวี่ย!!!”
ตอนนี้พวกเขาต่างด่าทออยู่ในใจ ไม่รู้ว่านายน้อยจะเป็ตายร้ายดีอย่างไร แล้วเวิ่นอ้าวเสวี่ยกล้าดีอย่างไรถึงกล้ายั่วยุนายน้อยของพวกเขา