หลี่ลั่วมองรอยยิ้มมุมปากของเขา ยังคงไม่เข้าใจความหมายอยู่ดี กู้จวิ้นเฉิน...ยิ้มเสียแล้ว
“อนุญาตให้เ้าม๊วบบบ” กู้จวิ้นเฉินกล่าว น้ำเสียงนั้นค่อนข้างเบา หน้าเขาเองก็แดงด้วยเช่นกัน
หา? หลี่ลั่วกะพริบตาปริบๆ จากนั้นโอบรอบลำคอกู้จวิ้นเฉินด้วยความลิงโลดแล้วจุมพิตลงไปบนแก้มของเขาฟอดหนึ่ง คนผู้นี้...ช่างน่ารักยิ่งนัก
“เช็ดน้ำลายให้แห้งด้วย” กู้จวิ้นเฉินรังเกียจนิดๆ และงอนหน่อยๆ พลางเช็ดหน้าของตน
ที่จริงแล้ว เขาเพียงแต่้ากลบเกลื่อนความขัดเขินของตนเองก็เท่านั้น
หลี่ลั่วยิ้มร่า เอนกายลงในอ้อมกอดของกู้จวิ้นเฉิน กู้จวิ้นเฉินหลุบตาลงมองเขา มีรอยยิ้มแฝงอยู่ในแววตาหลุบต่ำคู่นั้น มือที่โอบกอดหลี่ลั่วไว้ค่อยๆ กระชับแน่นขึ้น
ลูกค้าของหอชมจันทร์เข้าๆ ออกๆ ทั้งวัน เมื่อมาถึงหน้าประตูของหอชมจันทร์ จวิ้นอีและหลี่ฉางเฉิงลงจากรถม้าก่อน จากนั้นจึงนำแท่นเหยียบออกมาวางไว้ ประตูรถม้าถูกเปิดออก กู้จวิ้นเฉินเดินลงมาก่อน จากนั้นจึงอุ้มหลี่ลั่วลงจากรถม้า
หลี่ลั่วมีสีหน้าเคร่งขรึม ถูกอุ้มต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้...ไม่เหมาะกับภาพลักษณ์ของเขาเอาเสียเลย
“เชิญทั้งสองท่านด้านในขอรับ ไม่ทราบว่า้าที่นั่งแบบไหนดีขอรับ?” เสี่ยวเอ้อร์ถาม
“ห้องพิเศษ ชั้นห้า ตัวอักษรเทียน” กู้จวิ้นเฉินกล่าว “แจ้งชื่อในนามท่านชายสาม” องค์ชายสามเป็แขกประจำของที่นี่ ห้องพิเศษนี้เป็ห้องที่เขาเหมาเช่ามาเป็เวลานาน
“เช่นนั้นท่านคือ?” เสี่ยวเอ้อร์ถามอย่างระมัดระวัง
“โอ๊ะ ท่านนี้มิใช่นายท่านสี่หรอกหรือ?” หัวหน้าของหอชมจันทร์เดินเข้ามา “เชิญนายท่านสี่ด้านในขอรับ วันนี้นายท่านสามไม่ได้มาด้วยหรือขอรับ?”
“คาดว่าพี่สามคงจะอยู่ที่หอสดับหิมะ” กู้จวิ้นเฉินกล่าว “อีกสักครู่ยกของว่างขึ้นโต๊ะก่อนเถิด”
“ได้เลยขอรับ”
ในยุคสมัยโบราณอาคารที่สูงถึงห้าชั้นนั้นมีไม่มาก นอกจากจะเป็สถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียง และหาก้าจะสร้างไว้ในเมืองหลวงนั้นยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ไม่ว่าจะเป็แรงงานคน วัสดุ และเงินทองล้วนขาดไปไม่ได้สักอย่าง หลี่ลั่วมาถึงระเบียงด้วยความประหลาดใจ “ที่นี่ก็มีกล้องส่องทางไกลด้วยหรือ?” คิดไม่ถึงเลยว่าในยุคสมัยโบราณจะมีกล้องส่องทางไกลด้วย
“ชอบเ้าสิ่งนี้หรือ?” กู้จวิ้นเฉินเดินตามออกมา
ทิวทัศน์ด้านนอกของห้องพิเศษนั้นงดงามยิ่งนัก สายลมพัดผ่าน เย็นสบายเป็อย่างยิ่ง
“ชอบขอรับ” หลี่ลั่วตอบ ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ชอบ ในยุคสมัยปัจจุบันไม่ได้เป็สิ่งแปลกใหม่อันใด แต่เมื่ออยู่ในยุคสมัยโบราณนั้นเป็สิ่งที่แปลกใหม่ยิ่งนัก “ข้างนอกมีขายเ้าสิ่งนี้หรือไม่ขอรับ?”
“ไม่มี” กู้จวิ้นเฉินตอบ “ของพวกนี้เป็เหล่าพ่อค้าที่เดินทางผ่านต่างประเทศนำมา หาได้ยากเป็อย่างยิ่ง”
“เ้าของหอชมจันทร์ต้องเป็คนเก่งกาจมากๆ เป็แน่ อาคารแห่งนี้ในพื้นที่เช่นนี้มีมูลค่าสูงยิ่งนัก” หลี่ลั่วกล่าว
“เ้ากลับให้ความสนใจกับเื่เล็กน้อยเหล่านี้” กู้จวิ้นเฉินไม่ให้ความสนใจกับเื่ของผู้อื่น กับสิ่งเหล่านี้เขาจึงไม่สนใจ
หลี่ลั่วทำปากคว่ำ หากมีคนสามารถพูดคุยกับฉีอ๋องได้จึงจะเป็เื่ประหลาดน่ะสิ แต่วิวทิวทัศน์ที่มองจากระเบียงนี้ดียิ่งนัก สามารถมองเมืองหลวงได้ถึงครึ่งหนึ่ง โดยเฉพาะวังหลวงที่ตั้งตระหง่านอย่างสง่างามอยู่ที่นั่น น่าเกรงขามและเคร่งขรึมยิ่ง
“โหวเหฺยขอรับ” เสียงของหลี่ฉางเฉิงดังขึ้น ขอเข้าพบอยู่หน้าประตู
“เข้ามาได้” หลี่ลั่วหันกลับไป เห็นข้างกายของหลี่ฉางเฉิงมีองครักษ์ผู้หนึ่ง นั่นไม่ใช่องครักษ์ที่เขาสั่งให้ไปสะกดรอยตามขันทีของกรมวังหรอกหรือ? ไฉนถึงได้มาที่นี่? “เกิดเื่อันใดขึ้น?”
“คารวะโหวเหฺย” องครักษ์คำนับตามธรรมเนียม จากนั้นจึงมองกู้จวิ้นเฉินแวบหนึ่ง
“ไม่เป็ไร พูดได้เลย”
“ขอรับ บ่าวปฏิบัติตามคำสั่งให้สะกดรอยตามคนของคฤหาสน์จนมาถึงในเมืองขอรับ จากนั้นเห็นพวกเขาเข้าไปในเรือนสองห้อง ต่อมาได้ตามพวกเขามาถึงหอชมจันทร์ บ่าวมาถึงก่อนโหวเหฺย เห็นโหวเหฺยแล้วจึงรีบมารายงานตัวขอรับ” ตอนนี้ยังมีองครักษ์อีกคนหนึ่งสะกดรอยตามอยู่
“ไปเรือนสองห้องหรือ?” หลี่ลั่วตกตะลึง “เรือนแห่งนั้นอยู่ที่ใดกัน?”
“บ่าวจำสถานที่ได้ขอรับ อยู่ถนนเหนือตรอกตะวันออก เลขที่หนึ่งแปดศูนย์ขอรับ”
ถนนในเมืองหลวงแบ่งเป็สี่สายใหญ่ๆ คือ ตะวันออก ใต้ ตะวันตก และเหนือ ถนนทุกสายยื่นออกไปทั้งสี่ทิศ ถนนเหนือตรอกตะวันออกตำแหน่งนี้เป็ที่อยู่ของชาวบ้านธรรมดาสามัญ คนของกรมวังไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับชาวบ้านธรรมดาสามัญได้อย่างไรกัน?
“จวิ้นอี” กู้จวิ้นเฉยเอ่ยปากขึ้น “ไปตรวจสอบดูเรือนเลขที่หนึ่งแปดศูนย์ ถนนเหนือตรอกตะวันออก ว่าอยู่ที่ใดกัน?”
“พ่ะย่ะค่ะ” จวิ้นอีรับคำสั่งแล้วหันกายไปสั่งการกับหนึ่งในห้าองครักษ์ ‘อั้นสุ่ย’ ไปทำการตรวจสอบ
“เ้าออกไปเถิด ตามดูต่อไป” หลี่ลั่วกล่าว
“ขอรับ”
หลังจากที่องครักษ์ออกไป กู้จวิ้นเฉินมองไปที่หลี่ลั่ว “เ้ากำลังทำอันใดอีก?” ไม่อยู่ในสายตาเพียงครู่เดียว ก็วางใจไม่ลงเสียแล้ว
“เื่ที่นาพระราชทานขอรับ” หลี่ลั่วกล่าว “เมื่อวานข้าไปที่นาพระราชทานเพื่อไปแจ้งแก่ขันทีที่ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบที่นาพระราชทาน ต่อไปที่นาพระราชทานของจวนโหวไม่้าให้พวกเขาดูแลรับผิดชอบอีกแล้ว จวนโหวและกรมวังยังมีบัญชีของข้าวในฤดูใบไม้ร่วงที่ยังไม่ได้ชำระ ด้วยเหตุที่ข้าวในฤดูใบไม้ร่วงนั้นต้องรอจนถึงเดือนเก้าจึงจะเก็บเกี่ยว ดังนั้นข้าคิดว่าควรจะชำระเงินค่าแรงก่อนหน้านี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน เื่การเก็บเกี่ยวข้าจะจัดการเอง อวี๋กงกงของกรมวังบอกว่าแจ้งหัวหน้าคนงานเพื่อชำระบัญชีต้องใช้เวลา นัดไว้เป็วันพรุ่งนี้ขอรับ”
“ดังนั้นก่อนที่เ้าจะออกมาเ้าจึงสั่งให้องครักษ์สะกดรอยตามพวกเขาใช่หรือไม่?” กู้จวิ้นเฉินเพียงคิดก็คิดออก
“ขอรับ ข้ารู้สึกว่าผิดปกติยิ่งนัก เงินที่เหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายของข้าวสารในเดือนห้าได้กำไรมาเพียงสองร้อยตำลึง เมื่อวานยามที่ข้าไปถึงนั้นยังมีหัวหน้าคนงานอีกสามคนมาทวงเงินอีก อวี๋กงกงบอกว่าผู้ค้าขายยังไม่ได้ชำระเงินให้กับเขา ดังนั้นเขาจึงยังไม่ได้จ่ายเงินค่าแรงให้กับหัวหน้าคนงาน แต่ข้าบอกว่า...” หลี่ลั่วหน้าแดงนิดหน่อย “หลังจากข้าบอกว่าข้าเป็ว่าที่ภรรยาของท่าน เขาจึงออกไปข้างนอกครู่หนึ่ง ยามที่กลับเข้ามาอีกทีกลับแจ้งว่าขันทีปอบอกว่าผู้ค้าข้าวเอาเงินมาชำระแล้ว ด้วยว่าขันทีปองานยุ่งเกินไปจึงลืมไป”
“หัวหน้าขันทีปอหรือ?” กู้จวิ้นเฉินใคร่ครวญ “ข้าจำได้ว่าหกปีก่อนในวังหลวงมีขันทีแซ่ปออยู่คนหนึ่ง ด้วยเหตุที่สกุลนี้พิเศษนักจึงยังจำได้ ในปีนั้นคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็ฤดูหนาว ดูเหมือนเขาจะทำความผิดจนโดนให้คุกเข่าอยู่บนพื้นหิมะ”
แต่ว่า กู้จวิ้นเฉินหรี่ตา “ตำแหน่งว่าที่พระชายาฉีอ๋อง เ้าใช้ได้อย่างคล่องมือนัก”
หลี่ลั่วยิ้มอย่างภาคภูมิใจนัก “นี่มิใช่ด้วยชื่อของท่านพี่อ๋องฉีใช้ได้ดีนักหรอกหรือ...เมื่ออวี๋กงกงจากไปนั้น ข้าได้ถามหัวหน้าคนงานแล้ว พวกเขาพูดแล้วก็หยุดนิ่งไป ข้าสงสัยว่าเงินเดือนที่อวี๋กงกงให้พวกเขากับเงินเดือนในสมุดบัญชีมีข้อแตกต่าง ถ้าหากว่าพรุ่งนี้ข้า้าจ่ายเงินเดือนหัวหน้าคนงานด้วยตนเอง หากว่าเงินเดือนนั้นมีปัญหาจริงๆ แล้วละก็ อวี๋กงกงจะต้องคุยกับหัวหน้าคนงานให้เรียบร้อย”
“หัวหน้าคนงานเหล่านี้อาศัยทำงานอยู่ในที่นาพระราชทาน ขันทีเ่าั้ของกรมวังเปรียบเสมือนนายจ้างของพวกเขา พวกเขาไม่กล้าล่วงเกินหรอก” กู้จวิ้นเฉินพูดอย่างมั่นใจ และหลี่ลั่วเป็เพียงเด็กน้อยอายุห้าขวบเพียงคนหนึ่ง ต่อให้ฉลาดกว่านี้ หัวหน้าคนงานย่อมไม่ยืนอยู่ข้างเขา “เช่นนั้นพรุ่งนี้เ้าคิดว่าจะทำเช่นใด? จะเอาเงินที่เหล่าขันทีกลืนลงไปคายออกมาหรือไม่?” หากทำเช่นนี้ เกรงว่าปัญหาจะบานปลายออกไปอีก
หลี่ลั่วยังไม่ทันได้ตอบอาหารก็มาเสียก่อน ที่ถูกยกขึ้นมาก่อนคือแกงจืดหัวปลาเต้าหู้เพื่อเป็การอุ่นกระเพาะ หลี่ลั่วรีบหยิบช้อนเตรียมจะดื่มน้ำแกง ทว่ามือกลับถูกกู้จวิ้นเฉินขวางเอาไว้ “อย่าใจร้อน น้ำแกงร้อน”
หลี่ลั่ววางช้อนลง มองกู้จวิ้นเฉินด้วยสีหน้าน่าสงสาร
“มือเ้าสั้นเกินไป ทั้งยังเล็ก มาข้าทำให้” ทั้งๆ ที่อยากจะเอ่ยวาจารังเกียจ แต่กลับเปลี่ยนเป็วาจาเอาใจใส่ กู้จวิ้นเฉินตักแกงจืดหัวปลาเต้าหู้ลงในถ้วยใบเล็ก จากนั้นเป่าให้ แล้วจึงมาวางเบื้องหน้าหลี่ลั่ว จึงพบว่าดวงตาของหลี่ลั่วมองมาที่ตนและกะพริบตาปริบๆ กู้จวิ้นเฉินอ้าปากอยากจะกล่าวอันใดสักหน่อย สุดท้ายจึงกล่าวว่า “กินข้าวกับเ้าช่างยุ่งยากนัก ไม่ว่าสิ่งใดล้วนทำไม่เป็”
อื้อหือ ถ้าหากไม่ใช่ว่าหลี่ลั่วเข้าใจในนิสัยของเขาแล้วละก็ หากหลี่ลั่วเป็เด็กผู้หญิง ย่อมต้องได้รับาเ็แน่นอน แต่เขากลับยิ้มอย่างดีอกดีใจ “ข้าทำไม่เป็แล้วจะเป็ไรไปเล่า มี่ท่านพี่ฉีอ๋องอยู่” หลี่ลั่วเองยังรู้สึกเหงื่อตก การประจบสอพลอนี้ช่าง...แต่ว่ามีคนชมชอบนี่
“อืม”
ดูสิยังตอบอืมกลับมาเลย
หลี่ลั่วหยิบช้อนขึ้นมา ปากเล็กๆ นั้นยู่ลงแล้วค่อยๆ เป่า จากนั้นจึงดื่มลงไปอึกหนึ่ง สดมากๆ เขาแลบลิ้นเล็กๆ ออกมาเลียริมฝีปาก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่ากู้จวิ้นเฉินมองตนอยู่ “มีอันใดหรือขอรับ?”
“ไม่มี” กู้จวิ้นเฉินทำทีเป็เริ่มดื่มน้ำแกงเช่นกัน แต่ในสมองกลับลบภาพลิ้นเล็กๆ สีชมพูของหลี่ลั่วออกไปไม่ได้ “พรุ่งนี้ไปชำระบัญชีที่ที่นาพระราชทาน ข้าจะไปเป็เพื่อนเ้าด้วย”
“หา? ท่านไม่มีธุระอันใดหรือ?” หลี่ลั่วถามไปเช่นนั้นเอง
“ข้าจะวางเื่อื่นลงก่อนแล้วไปเป็เพื่อนเ้าไม่ได้หรือไร?” กู้จวิ้นเฉินย้อนถาม
“...ท่านพี่ฉีอ๋องไปเพื่อนข้า ข้าย่อมต้องดีใจอยู่แล้วขอรับ” หลี่ลั่วรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็ปลาบปลื้มทันที ความคิดและตรรกะของคนผู้นี้ไม่เหมือนคนอื่น
“ขันทีของกรมวังไม่กล้าโกงเงินของที่นาพระราชทาน ที่นาพระราชทานของครอบครัวขุนนางนั้นไม่เหมือนที่นาธรรมดาทั่วไป หากขันทีกล้าโกงแสดงว่าเื้ัต้องมีคนคอยหนุนหลัง ครั้งนี้เ้าชนสะเปะสะปะ เกรงว่าจะทำให้เื่ดีๆ ของผู้อื่นเสียหาย” กู้จวิ้นเฉินพูดความคิดเห็นในใจของตนออกมา “แต่เกี่ยวกับการดูแลรับผิดชอบที่นาพระราชทานของขันทีนั้นไม่มีกฎหมายควบคุม ครอบครัวขุนนางไม่อยากจะล่วงเกินกรมวัง เพราะเกรงว่าเื้ัขันทีจะเกี่ยวข้องกับคนในวังหลวง ซึ่งก็คือฝ่าา”
“แต่ความเป็จริงแล้วไม่ใช่ ฝ่าาไหนเลยจะสนับสนุนให้ขันทีโกงเงินขุนนางเล่า” หลี่ลั่วแน่ใจยิ่งนัก
“ฉลาด” กู้จวิ้นเฉินกล่าวชมเขาอย่างหาได้ยากยิ่ง “ดังนั้นเ้าจึงพุ่งเข้าชนอย่างสะเปะสะปะ”
“พวกเขาจะหันมาเป็ปฏิปักษ์ต่อข้าหรือ?” หลี่ลั่วถาม
“ไม่มีความกล้าถึงเพียงนี้เชียว” น้ำเสียงกู้จวิ้นเฉินดูิ่ “ทำไมเล่า? กลัวแล้วรึ?”
“ไม่กลัวขอรับ” หลี่ลั่วส่ายหน้า “ข้ามีขุนเขาให้พึ่งพิง” ดวงตาทั้งคู่ทอประกายวิบวับมองกู้จวิ้นเฉิน ประกาศโต้งๆ ว่าขุนเขาที่พึ่งพิงก็คือเขานั่นเอง
กู้จวิ้นเฉินส่งเสียงฮึขึ้นหนึ่งครั้ง “ดื้อนัก”
หืม...ดื้อตรงไหน หลี่ลั่วหน้าแดง เด็กหนุ่มผู้นี้เกี้ยวคนเก่งนัก ที่ร้ายกาจที่สุดก็คือ เ้าตัวไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังเกี้ยวผู้อื่นเนี่ยสิ
“มีอันใดหรือ?” มองหลี่ลั่วที่แทบจะฝังใบหน้าลงไปในถ้วยแล้ว กู้จวิ้นเฉินจึงเอ่ยปาก “กินข้าวดีๆ อย่าดื้อ”
ดื้อมารดาท่านน่ะสิ “เมื่อวานข้าไปคฤหาสน์ของกรมวัง พบว่าขันทีปอยังมีบุตรชายอยู่คนหนึ่ง ขันทีไม่มีสิ่งนั้นแล้ว...ไฉนยังมีบุตรชายได้เล่าขอรับ” ที่จริงคือเขาอยากจะบอกว่าการเป็อยู่ของขันทีที่คฤหาสน์นั้นราวกับเป็เศรษฐีใหญ่
ทว่า กู้จวิ้นเฉินตวัดสายตามองเขาแวบหนึ่ง คำพูดไร้สาระเช่นนี้เขาไม่อยากจะตอบ
เมื่อกินข้าวเสร็จ กู้จวิ้นเฉินมาส่งหลี่ลั่วกลับจวน เด็กน้อยกำลังเจริญเติบโต จะเหนื่อยเกินไปไม่ได้ “มีเื่อันใดเขียนจดหมายให้ข้า มิใช่ว่าเื่อันใดก็แบกรับเอาไว้ด้วยตนเอง เ้า...ยังเล็กอยู่ หากว่ามันยุ่งยากนัก บ้านหลังนี้ก็ไม่ต้องเอาแล้ว ย้ายมาอยู่จวนฉีอ๋องเลยก็แล้วกัน”
หลี่ลังได้ฟังแล้ว อยากพูดจากใจจริงว่า นี่เป็คำพูดของคนใช่หรือไม่?
“อื้ม” หลี่ลั่วพยักหน้า เตรียมตัวลงจากรถม้า แต่ว่า...มือของเขาถูกกู้จวิ้นเฉินยึดเอาไว้ เ้าหนุ่มนี่ไม่ยอมปล่อยจริงๆ หลี่ลั่วมองเขาอย่างไม่เข้าใจ “ท่านพี่ฉีอ๋อง ข้าจะลงจากรถม้าแล้วขอรับ”
“อืม” กู้จวิ้นเฉินส่งเสียงทว่ากลับไม่ปล่อยมือ