การสนทนาภายในห้องโถงระหว่างทั้งสองดึงดูดความสนใจของยอดฝีมือจื๋อซิวคนอื่นๆ
ยอดฝีมือจากสำนักวั่นจื๋อผู้สวมเสื้อเกราะหวายในวัยสามสิบเศษๆ มองหนิงเทียนแล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ศิษย์น้องหนิงดูเหมือนไม่คุ้นเคยกับเชื้อสายจื๋อซิวมากนัก”
หนิงเทียนมีชื่อเสียงในเชื้อสายจื๋อซิวมานาน ความแข็งแกร่งของเยี่ยหลิงหลานทำให้ทั้งโลกตกตะลึง เื่นี้มีใครบ้างที่ไม่ทราบ?
ด้วยเหตุผลหลายประการจึงทำให้ซิงซิวและหยวนซิวอาจรู้เกี่ยวกับหนิงเทียนเพียงเล็กน้อย อย่างไรในสำนักของจื๋อซิวก็มีการจำกัดจำนวน ยอดฝีมือทุกคนที่เข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนผ่าน สามารถเข้าร่วมได้เพียงสำนักกายา สำนัก์ และสำนักวั่นจื๋อ นั่นก็เพื่อรวมพลังเพื่อต่อสู้กับหยวนซิว
“ศิษย์พี่ท่านนี้คือ?”
“หยางวั่นอวิ๋นศิษย์จากสำนักวั่นจื๋อ เขาเคยเป็ลูกศิษย์ของสำนักทะยานเวหา”
“ที่แท้ก็ศิษย์พี่หยาง ข้าเพิ่งเข้าสู่สำนักร้อยบุปผาได้ไม่นานนัก ทั้งยังเรียนรู้ทักษะจากอาจารย์เพียงระยะเวลาสั้นๆ แล้วยังรู้เื่ราวแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามของจื๋อซิวน้อยมาก”
หยางวั่นอวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าศิษย์น้องหนิงจะเพิ่งเข้าร่วมเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ชื่อเสียงไม่น้อยเลย ครั้งก่อนในเมืองร้างของแดนลับที่ยอดเขาหมื่นอสูร การสังหารของเ้าทำให้กลุ่มต่างๆ ของหยวนซิวต้องร้องไห้โหยหวน นับเป็เกียรติอย่างยิ่งสำหรับจื๋อซิวเช่นข้า”
“ศิษย์พี่ชมเกินไปแล้ว หาได้ยากที่เราจะมีโอกาสได้พบเจอกันเช่นนี้ ท่านช่วยเล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับการก่อตั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามของจื๋อซิวหน่อยได้หรือไม่?”
ชิวอีเซี่ยนถามด้วยความประหลาดใจ “เ้าไม่รู้แม้แต่สถานการณ์พื้นฐานที่สุดเช่นนั้นหรือ?”
“ข้าไม่ค่อยรู้อะไรมาก"”
หยางวั่นอวิ๋นกล่าวว่า “ในบรรดาแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามของจื๋อซิว สำนักกายามีจำนวนคนน้อยที่สุด จากบนลงล่างยอดรวมไม่ถึงพันคน แต่อันดับของสำนักกายานั้นสูงกว่าของสำนัก์และสำนักว่านจือ”
ชิวอีเซี่ยนหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “การควบแน่นเป็แก่นแท้ ห้องโถงร้อยทหารของเรามีศิษย์ทั้งหมดน้อยกว่าสามร้อยคน และจำนวนคนในสำนักอาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็มีจำนวนใกล้เคียงกับเรา และพวกเขาเ่าั้ล้วนเป็ศิษย์หลักของสำนักกายา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือน้อยกว่าร้อยคนในขอบเขตเปลี่ยนผ่าน และมีปรมาจารย์เหนือเมฆาไม่ถึงสิบคน”
หนิงเทียนยิ้มและพูดว่า “นี่กระชับแล้วจริงหรือ!”
หยางวั่นอวิ๋นกล่าวว่า “สำนัก์สอดคล้องกับเชื้อสายรากอสูร ขณะที่สำนักวั่นจื๋อสอดคล้องกับเชื้อสายรากพฤกษา อาจกล่าวได้ว่ามีผู้คนจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในขอบเขตรวบรวมและขอบเขตจิตหยั่งลึก เมื่อพวกเขาไปถึงขอบเขตผนึกดารา จำนวนคนจะเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว จำนวนที่เข้าถึงขอบเขตเปลี่ยนผ่านยิ่งมีจำนวนน้อยลง”
หนิงเทียนถาม “มีกี่คน?”
หยางวั่นอวิ๋นพึมพำ “บนดินแดนหยวนซิง มีจำนวนศิษย์หยวนซิวอยู่มากที่สุด จำนวนศิษย์จื๋อซิวมากเป็อันดับสอง และศิษย์ซิงซิวมีจำนวนน้อยที่สุด แต่ในขอบเขตผนึกดารา หยวนซิวยังคงเป็อันดับหนึ่ง ขณะที่ซิงซิวและจื๋อซิวมีจำนวนใกล้เคียงกัน และเมื่อไปถึงขอบเขตเปลี่ยนผ่าน หยวนซิวยังคงมาเป็อันดับหนึ่ง ซิงซิวเป็อันดับสอง และจื๋อซิวเป็อันดับสาม เช่นเดียวกันกับขอบเขตเหนือเมฆา”
“มียอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนผ่านกี่คนในสำนักวั่นจื๋อ?”
“ด้วยคนน้อยกว่าพันคน สำนักเทียนจือก็ประมาณเดียวกัน”
“แล้วหยวนซิวล่ะ?”
หยางวั่นอวิ๋นกล่าวว่า “มีความแตกต่างที่ชัดเจนมากระหว่างหยวนซิวและจื๋อซิว นั่นคือนอกเหนือจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่แห่งแล้ว หยวนซิวยังมีสำนักชั้นสองและสำนักชั้นสามอีกมากมาย ทั่วทั้งดินแดนหยวนซิงมีสำนักชั้นหนึ่งเพียงสำนักเท่านั้น นั่นคือสิบแดนศักดิ์สิทธิ์จากทั้งสามฝ่าย สำนักชั้นสองส่วนใหญ่เป็หยวนซิว จื๋อซิวมีน้อยกว่าหนึ่งส่วน มีทั้งหมดไม่ถึงสองร้อย ส่วนสำนักชั้นสามมีอย่างน้อยหลายพันสำนัก นี่เป็การสรุปสถิติคร่าวๆ ขณะที่ยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนผ่านของหยวนซิวรวมกันน่าจะเกือบแสนคน”
“ให้ตายเถอะ ช่องว่างมันใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ?”
หนิงเทียนอุทาน แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามของจือซิ่วมีจำนวนยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนผ่านเพียงสองพันเท่านั้น แต่จำนวนของหยวนซิวนั้นเกือบหนึ่งแสน นี่เป็ช่องว่างหลายสิบเท่า
ยิ่งไปกว่านั้น มีสำนักอันดับสองมากกว่าสองร้อยในดินแดนหยวนซิง ซึ่งหมายความว่ามีปรมาจารย์เหนือเมฆาหลายร้อยคนในสำนักชั้นสอง ซึ่งจำนวนนี้เพียงอย่างเดียวก็เกินกว่าจำนวนปรมาจารย์ทั้งหมดในสามแดนศักดิ์สิทธิ์ของจื๋อซิวแล้ว ไม่แปลกเลยที่หยวนซิวและซิงซิวจะดูถูกพวกเขาชาวจื๋อซิว
ในยามนี้ประตูห้องโถงหลักเปิดออกอีกครั้ง ยอดฝีมือจื๋อซิวคนใหม่เข้ามา ซึ่งบางคนรู้จักกับหนิงเทียน
ตี๋เยี่ยนจวินจากสำนักทะยานเวหา หลี่ตู๋อีจากสำนักั์พฤกษา ตู๋กูหู่จากสำนักหมื่นอสูร เฮ่ออีเซียนจากสำนักวิหคเหิน เจี่ยิจากลัทธิพันแมลง และเฉิงเยี่ยจากสำนักเชียนเฉ่า ทั้งหมดล้วนแต่เป็ผู้รอดชีวิตทั้งหมดที่จากเมืองร้างในแดนลับสูงสุดของยอดเขาหมื่นอสูร ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเก่งที่สุดในบรรดาลูกศิษย์จื๋อซิว
นอกจากนี้ยังมียอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนผ่านอีกสามคน พวกเขามาจากสำนักกายา สำนัก์ และสำนักวั่นจื๋อ
คนเหล่านี้ล้วนได้รับการยอมรับจากอาวุธิญญา และแต่ละคนต่างร่อนลงบนเสาหินที่แตกต่างกัน
“หนิงเทียน เ้าอยู่ที่นี่ด้วยหรือ?”
ตี๋เยี่ยนจวินประหลาดใจ เท่าที่เขารู้ คราวก่อนั้แ่ที่เมืองร้างในแดนลับยังไม่ทราบเบาะแสของหนิงเทียน ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาปรากฏตัวที่นี่
“เฮ้ ถึงเวลาแล้ว”
อยู่ดีๆ โดยรอบก็มีชีวิตชีวามากขึ้น เมื่อจำนวนผู้คนในห้องโถงใหญ่เพิ่มขึ้นเป็ยี่สิบหกคนอย่างกะทันหัน
สำนักกายามียอดฝีมือน้อยที่สุด หนิงเทียนสอบถามเกี่ยวกับเื่นี้ และพบว่ามีเพียงหกคนเท่านั้น สี่คนอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนผ่าน และอีกสองคนอยู่ที่ขอบเขตผนึกดารา
“สำนักกายามีจำนวนคนน้อยที่สุด เหตุใดจึงได้รับการจัดอันดับเหนือสำนัก์และวั่นจื๋อ?”
หยางวั่นอวิ๋นกล่าวว่า “วิธีฝึกฝนของสำนักกายานั้นต่างจากของเราเล็กน้อย พวกเขาใช้ร่างกายเป็เมล็ดพันธุ์เพื่อปลูกฝังทหาริญญาและอาวุธิญญาไว้ภายในร่างกาย ซึ่งทำให้รากบ่มเพาะ ทหาริญญาและอาวุธิญญาเข้ากันได้มากขึ้น ซึ่งเป็การเพิ่มความเสี่ยงในกระบวนการฝึก และมันจะยากขึ้นเมื่อผู้ที่อยู่ในขอบเขตเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ขอบเขตเหนือเมฆา แต่เมื่อเ้าประสบความสำเร็จ ความสำเร็จจะสูงขึ้น ดังนั้นแม้ในสำนักกายาจะมีปรมาจารย์ไม่มากนัก ทว่าพวกเขาล้วนเป็ปรมาจารย์ที่มีพลังการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาเลย”
“ท่านกำลังบอกว่า ในการต่อสู้กับขอบเขตเดียวกัน โดยทั่วไปแล้วปรมาจารย์ของสำนัก์และสำนักวั่นจื๋อจะไม่สามารถเอาชนะปรมาจารย์ของสำนักกายาได้เช่นนั้นหรือ?”
“โดยทั่วไปแล้วมันก็จริง แต่ก็ไม่ทั้งหมด”
หนิงเทียนมองชิวอีเซี่ยนแล้วถามว่า “เ้าอ้วน ความสามารถในการต่อสู้ของเ้าเป็อย่างไร?”
“สามารถเอาชนะศิษย์จื๋อซิวคนอื่นๆ ที่อยู่ขั้นเก้าในขอบเขตเดียวกันได้”
“อืม นั่นไม่ใช่คำพูดคุยโว เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วประสิทธิภาพการต่อสู้ของศิษย์จากสำนักกายานั้นอยู่ในระดับสูง แล้วทำไมไม่ส่งเสริมอย่างจริงจังล่ะ?”
หยางวั่นอวิ๋นกล่าวว่า “มันมีข้อจำกัดตามธรรมชาติ จึงเป็การยากที่จะส่งเสริม เนื่องจากเวลาในการสร้างอาวุธิญญาจื๋อซิวนานเกินไป ทั้งยังมีปริมาณน้อยเกินไป”
หยวนซิวมียอดฝีมือด้านการกลั่นอาวุธโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถขัดเกลาทหาริญญาและอาวุธิญญาได้อย่างต่อเนื่องในระยะเวลาสั้นๆ ทั้งยังมีในปริมาณมาก
แต่จื๋อซิวไม่มีความสามารถนี้ การกลั่นตามธรรมชาติของอาวุธิญญาจื๋อซิวใช้เวลานาน ทั้งยังมีคุณภาพด้อยกว่าหยวนซิวมากในแง่ของประสิทธิภาพและปริมาณ
จากคำพูดของหยวนซิว จื๋อซิวไม่ต่างจากของเหลือเดน
แม้ว่าคำนี้จะเต็มไปด้วยการประชด แต่ก็ไม่ได้ไร้เหตุผล
ประตูวังเปิดออกอีกครั้ง มียอดฝีมือจื๋อซิวเข้ามาในสถานที่นี้มากขึ้น ครั้งละสองหรือสามคน จำนวนจึงเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
ทุกคนต่างสับสน มีความลับอะไรซ่อนอยู่ในห้องโถงนี้กันแน่ ทำไมไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย หรือเป็เพราะจำนวนคนยังไม่มากพอ หรือยังมีเหตุผลอื่นซ่อนอยู่อีก?
ทันใดนั้นกลิ่นที่คุ้นเคยก็ดึงดูดความสนใจของหนิงเทียน ก่อนซิ่งอวี่เจวียนและเสิ่นซินจู๋จะร่อนกายเข้ามาในห้องโถง
“หนิงเทียน...”
ผู้หญิงทั้งสองตื่นเต้นมาก พวกนางร่อนลงบนเสาหินที่แตกต่างกัน ก่อนจะโบกมือให้หนิงเทียน
“มาแล้วก็ดี”
หลู่หยูคำนวณว่าขณะนี้มีคนสามสิบสี่คน แต่ห้องโถงยังคงเงียบและไม่มีอะไรพิเศษเลย
ทุกคนเริ่มกังวลเล็กน้อย โดยเฉพาะคนที่เข้ามาก่อนและรอมานานหลายชั่วยามแล้ว จะต้องใช้เวลานานเพียงใดกันแน่?
ทุกคนยังคงรอในขณะที่พูดคุยกันต่อไป
หนิงเทียนพบว่าศิษย์พี่หลายคนของสำนักวั่นจื๋อค่อนข้างเป็มิตรกับเขา ยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนผ่านของสำนัก์และสำนักกายาเห็นได้ชัดว่าไม่แยแสซึ่งกันและกัน นั่นเพราะท้ายที่สุดหนิงเทียนก็ได้รับการพิจารณาให้เป็สมาชิกของสำนักวั่นจื๋อนั่นเอง
แม้จื๋อซิวจะเป็หนึ่งเดียวกัน แต่ก็ยังมีการเปรียบเทียบเป็การส่วนตัว
ครึ่งชั่วยามต่อมา ประตูวังเปิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มียอดฝีมือจื๋อซิวอีกสองคนเข้ามา จำนวนพวกเขาถึงหนึ่งในสามของจำนวนเสาหินแล้ว
คราวนี้มีขอบเขตเปลี่ยนผ่านเข้ามาในห้องโถงหลัก เสาใต้เท้าของจื๋อซิวสามสิบหกคนเริ่มสั่นเล็กน้อย ลวดลาย้าเริ่มเรืองแสง ทำให้เกิดเสียงพูดคุยและการถกเถียงกันอย่างดุเดือด
แสงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาล้อมรอบยอดฝีมือจื๋อซิวทั้งสามสิบหกคน ก่อนจะยึดติดกับพวกเขาอย่างแ่า
จากนั้นเสาหินทั้งหมดในห้องโถงก็เริ่มเรืองแสงและเคลื่อนไหวช้าๆ ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังจะเปิดออก
เสาหินเคลื่อนตัวจากช้าไปเร็ว บางครั้งก็ขึ้นและลง ซึ่งคาดเดาไม่ได้จนน่างงงวย
ในบรรดาเสาหินหนึ่งร้อยแปดต้นมีคนเพียงสามสิบหกคน ลวดลายบนยอดเสาหินอีกเจ็ดสิบสองต้นล้วนเป็สีเทาทั้งหมด
การก่อตัวของเสาหินที่เคลื่อนไหวนั้นลึกลับและคาดเดาไม่ได้ พวกมันเร่งความเร็วผ่านห้องโถง เสาแสงโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน ขึ้นสู่ความสูงระดับหนึ่งแล้วม้วนกลับลงมา พร้อมสร้างโล่แสงออกมาล้อมรอบ
หนิงเทียนมองไปโดยรอบอย่างสงสัย ในไม่ช้าก็รู้สึกว่าลวดลายใต้ฝ่าเท้าเปลี่ยนไป มันกลายเป็รูปสามเหลี่ยม โดยมีวงกลมในแต่ละจุดซึ่งมีลวดลายต่างกันอยู่ข้างใน
เมื่อมองให้ดีจะเห็นว่าจุดในวงกลมแสดงถึง ‘ไปข้างหน้า’ ‘ถอย’ และ ‘ร่อน’ ตามลำดับ
มันหมายถึงอะไร?
หลายคนมองว่าน่าสงสัย และถามคนอื่นเสียงดัง
หนิงเทียนครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง แต่กลับได้ยินใครบางคนเตือนให้ทุกคนมองขึ้นไปเหนือหัว
ข้อความปรากฏบนผนังด้านในแสงสว่าง ซึ่งเป็การอธิบายความหมายของทั้งสามรูปแบบ
ถอยหมายถึงการออกไป และจะถูกเคลื่อนย้ายไปทันที แต่สามารถเก็บอาวุธิญญาจื๋อซิวที่มีไว้ในมือได้
ร่อนหมายถึงการออกจากห้องโถงนี้ และถูกเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่ที่กำหนดตามโชคลาภ ทุกคนมีโอกาสเพียงครั้งเดียว แต่หลังจากได้รับโชคลาภแล้ว พวกเขาจะนำอาวุธิญญาจื๋อซิวในมือกลับคืนก่อนที่จะถูกเคลื่อนย้ายออกไป กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีหลายวิธีในการเคลื่อนย้าย มีตัวเลือก แต่เป็ทางเลือกระหว่างสองทาง
ส่วนไปข้างหน้าหมายถึงการพยายามคว้ากำไร เ้าจะถูกส่งไปยังห้องโถงใหญ่และต้องแข่งขันกับหยวนซิวและซิงซิวในการคว้าโอกาสและโชคลาภ ซึ่งเสี่ยงเป็อย่างมาก เ้าอาจตายที่นั่น หรืออาจได้รับบางสิ่งมากขึ้น
หากสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ทุกสิ่งที่ได้รับจะเป็ของเ้า
ขณะนี้มียอดฝีมือจื๋อซิวสามสิบหกคนที่กำลังเผชิญกับทางเลือก พวกเขาควรออกไปโดยตรงแล้วกลับไปพร้อมกับอาวุธิญญาจื๋อซิว หรือควรเปลี่ยนสถานที่และลองเสาะหาโอกาสต่อไปดี?
เสิ่นซินจู๋กำลังปรึกษาลู่อวี่ นางอยากได้ยินคำแนะนำของเขา
“อาวุธิญญาจื๋อซิวในมือของศิษย์พี่คือระดับใด?”
“อาวุธิญญาระดับกลาง บุปผาหมอกเร้นลับ...”
เสิ่นซินจู๋บอกเขาว่าสมบัตินี้มีพลังแห่งการล่องหน
“ด้วยระดับการฝึกฝนของศิษย์พี่ ท่านไม่เหมาะที่จะเลือกก้าวไปข้างหน้า สำหรับโอกาสที่สามารถรับได้จากขอบเขตเปลี่ยนผ่านนั้นยังไม่แน่นอน ท่านควรเลือกออกไปจากที่นี่”
“ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน และข้าเชื่อเ้า”
เสิ่นซินจู๋เลือกถอย ในขณะที่ซิ่งอวี่เจวียนกำลังคุยกับหนิงเทียน
อาวุธิญญาจื๋อซิวที่นางได้รับนั้นเป็อาวุธิญญาระดับกลาง ซึ่งเป็ดอกไม้ประหลาดที่มีผลลัพธ์เพิ่มความหลงใหล นางรู้สึกว่ามันมีประโยชน์เพียงน้อยนิด
หนิงเทียนยิ้มและพูดว่า “ในเมื่อท่านไม่ชอบมัน เช่นนั้นก็ลองวิธีอื่นดูสิ”
ซิ่งอวี่เจวียนจึงเลือกร่อน นางอยากลองเสี่ยงโชคดูว่าตนจะได้รับสิ่งใด
ส่วนหนิงเทียนเลือกที่จะก้าวไปข้างหน้า เขาทะเยอทะยาน และ้าแข่งขันกับผู้แข็งแกร่งของทั้งสามสายบำเพ็ญ
เมื่อทุกคนตัดสินใจเลือกแล้ว ค่ายกลในห้องโถงก็เริ่มเร็วขึ้น ลำแสงเปิดแผงเคลื่อนย้ายมวลสาร สิบสองคนแรกถูกส่งออกไป และพวกเขาคือผู้ที่เลือกถอย
ถัดไปมีอีกสิบสองคนที่เลือกร่อน รวมถึงตี๋เยี่ยนจวิน ซิ่งอวี่เจวียน เฉิงเยี่ย และหลี่ตู้อีรวมอยู่ด้วย
สิบสองคนที่ก้าวไปข้างหน้าถูกเคลื่อนย้ายออกไปในลำดับสุดท้าย ในจำนวนนี้มีศิษย์หลักสี่คน ได้แก่ หนิงเทียน ชิวอีเซี่ยน ตู๋กูหู่ และเฮ่ออีเซียน ส่วนคนที่เหลือล้วนอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนผ่าน
