“อื้ม อร่อยนัก!” ปากผิงอันเอ่ยเสียงไม่ชัดเจนเพราะในปากเคี้ยวลูกชิ้นอยู่
“พอได้แล้ว ห้ามแอบทานแล้วนะ อีกสักครู่ยังต้องเอามาเสียบเข้าด้วยกันเป็แถวอีก และนำไปลวกในหม้อหม่าล่า รสชาติลูกชิ้นที่เติมลงไปในหม่าล่าจะยิ่งโดดเด่นมากขึ้น นั่นถึงจะเรียกได้ว่าเป็ช่วนช่วนเซียง” เจินจูมองน้ำแกงที่ปรุงในหม้อเคี่ยวได้ที่แล้ว ในใจตื่นเต้นจนพูดไม่ออกขึ้นมา
“ท่านพี่ เช่นนี้ก็อร่อยมากแล้ว ลวกในหม้อยังจะอร่อยมากขึ้นอีกหรือ?” ผิงอันมองหวังซื่อที่คีบลูกชิ้นขึ้นมาไม่ขาดสายด้วยสายตาหิวโหย
“อื้ม สายอีกนิดเ้าก็จะได้รู้แล้ว รอท่านย่าทอดลูกชิ้นหมดก่อน” เครื่องในไส้ใหญ่ไส้เล็กที่ซื้อมาตอนเช้าต่างก็ล้างสะอาดแล้ว รอแค่เอาลงหม้อตอนกลางวันเท่านั้น
“ผิงอัน ให้ภารกิจเ้าหนึ่งอย่าง พี่ชายยู่เซิงที่ป่วยคนนั้น เขานอนอยู่คนเดียวจะคิดฟุ้งซ่านได้ เ้าน่ะ ไปพูดคุยเป็เพื่อนเขาหน่อย เขาถามอะไรเ้าก็ตอบอันนั้นก็พอ เื่ภายนอกเอ่ยได้ตามอำเภอใจเลย ส่วนเื่ในบ้านน่ะเอ่ยน้อยหน่อย แล้วก็ เ้าอย่ามองแขนกับขาที่หักของเขาเล่า เ้าน่าจะรู้ว่าอะไรควรไม่ควรอยู่มาก อืม ไปเถอะ กลับมาแล้วจะให้เ้าทานของอร่อยๆ” ยู่เซิงคนนั้นดูจิตใจไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่า ให้ผิงอันพูดคุยเป็เพื่อนเขาหน่อยแล้วกัน
“โอ้ เช่นนั้นท่านพี่ห้ามลืมเก็บลูกชิ้นสองสามเม็ดไว้ให้ข้านะ” ผิงอันมองลูกชิ้นในถาดอยู่สองสามครั้งอย่างอาลัยอาวรณ์
“รู้แล้วล่ะ” เจินจูกลั้นยิ้มแล้วกล่าวตอบ
เที่ยงตรง ลูกชิ้นหัวไชเท้าเหลืองอร่ามก็ทอดเสร็จหนึ่งถาดเล็ก ชุ่ยจูจึงได้เริ่มทำอาหารกลางวัน ไส้ใหญ่เครื่องปรุงน้ำแดง ไส้เล็กเผ็ดหอม น้ำแกงไส้หมูผักกวางตุ้ง ขณะนี้นางทำอาหารสองสามอย่างขึ้นมาได้อย่างราบรื่นแล้ว กลิ่นที่ทำออกมาก็ไม่แพ้จากหวังซื่อนัก ทำอาหารสองสามอย่างเรียบร้อย ชุ่ยจูจึงแบ่งส่วนหนึ่งหิ้วกลับไปที่บ้านเก่า เช่นนี้อาหารกลางวันของสองครอบครัวก็ล้วนมีทานแล้ว
เจินจูกับหวังซื่อกำลังลวกปอดหมูกับลูกชิ้นในหม้อหม่าล่า น้ำแกงในหม้อร้อนปุดๆ อยู่สักครู่หนึ่ง เจินจูจึงยกแผ่นปอดหนึ่งไม้ขึ้นมาชิม กลิ่นหอมพอได้แต่รสชาติกลับจางไปนิด ระดับของหม่าล่ายังสามารถเติมอีกหน่อยได้ เจินจูใบหน้าเรียบนิ่งทานแผ่นปอดหมดหนึ่งไม้ แล้วนึกเื่ที่ตนเองสะเพร่าขึ้นมาได้ เหมือนว่าปอดหมูควรจะใส่เครื่องเทศลงไปผัดก่อนจึงจะเข้ารส
“อื้ม รสนี้ไม่แย่จริงๆ หม่าล่ารสหอมอร่อย รสชาติในปากเฉพาะตัวนัก” หวังซื่อลิ้มรสอย่างพิถีพิถัน พยักหน้าเป็ระยะๆ อาหารรสดีน้ำแกงอร่อยเช่นนี้ รสชาติเป็เอกลักษณ์น่าจะขายได้ไม่เลวเลย
“ท่านย่า รสชาตินี้ยังขาดไปหน่อย” เจินจูดึงหวังซื่อเข้ามาวิเคราะห์แยกแยะรายละเอียดปลีกย่อยในนั้นอย่างละเอียด หวังซื่อตั้งใจฟัง ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จึงเอาปอดแผ่นที่เสียบเข้าด้วยกันแล้วมารูดออกอีกครั้ง แล้วเพิ่มเครื่องเทศลงไปผัดหนึ่งรอบอย่างไม่รำคาญความยุ่งยาก
ย่าหลานสองคนศึกษาพิจารณาน้ำแกงที่ปรุงรสแล้วอยู่นาน คอยเพิ่มวัตถุดิบเล็กน้อยเป็ระยะ ...อาหารกลางวันเพียงทานเสร็จลวกๆ ด้วยความเร็ว หลี่ซื่อเห็นเจินจูทานข้าวเรียบร้อย จึงรีบดึงนางไว้ แล้ววัดขนาดรูปร่างให้ ผ้าลายดอกไม้สีอ่อนที่หวังซื่อซื้อมาใหม่ขับสีหน้าของเจินจูให้เด่นนัก หลี่ซื่อตั้งใจจะรีบทำเสื้อนวมบุฝ้ายตัวใหม่ของเจินจูออกมาก่อน
วัดรูปร่างเสร็จ หลี่ซื่อยิ้มและปล่อยนางไป เจินจูหันไปยิ้มหวานหนึ่งทีให้หลี่ซื่อแล้วจึงหมุนกายกลับไปห้องครัว
หลี่ซื่อกลับมาอยู่มุมกำแพงด้านหนึ่ง กำลังต้มยาของหลัวจิ่งอย่างระมัดระวัง พลางทำงานเย็บปักถักร้อยในมือไปด้วย หันไปมองในห้องครัวอยู่สองสามครั้งเป็ระยะ ทุกครั้งล้วนเห็นสองย่าหลานศีรษะเอียงเข้าใกล้กันเป็หนึ่งเดียว ซุบซิบไม่รู้ว่าพูดคุยอะไร ในใจหลี่ซื่อผ่อนคลายนัก ขอเพียงในบ้านสงบสุขและรักใคร่กลมเกลียว นางก็พอใจมากแล้ว
เมื่อหูฉางหลินหิ้วตะกร้าปลาเปียกโชกหนึ่งใบกลับมา ส่วนพื้นฐานสำคัญของน้ำแกงปรุงรสก็เสร็จแล้ว แม้ว่าเจินจูจะรู้สึกว่ารสชาติยังขาดอีกนิด แต่โดยรวมแล้วถือว่าดี หากตอนเคี่ยวน้ำแกงเพิ่มไก่หรือเป็ดลงไปหนึ่งตัว น้ำแกงปรุงรสน่าจะดียิ่งขึ้น แต่เวลานี้เพื่อประหยัดต้นทุนจึงทำได้เพียงง่ายๆ ไปก่อน เมื่อเสร็จแล้วจึงมาดูว่าสามารถหาชนิดของช่วนช่วนเซียงได้มากี่อย่างแล้ว
หูฉางหลินซื้อปลาเกล็ดเงินน้ำหนักห้าหกชั่งกลับมาสองตัว แล้วยังมีปลาตะเพียนหนึ่งตะกร้าเล็กขนาดแตกต่างกันไป ราคาล้วนไม่แพง ขนาดที่ว่าปลาตะเพียนซื้อครึ่งแถมครึ่งเลยทีเดียว ประเภทปลาน้ำจืดแม่น้ำต้าวันมีมากมายหลากหลายชนิด ปลาจำพวกมีก้างนี้กลิ่นคาวดินแรงนักจึงขายออกได้ยากที่สุด แม้ว่าขายราคาถูกก็มีคนซื้อไม่มาก
หวังซื่อกับชุ่ยจูกำลังจัดการปลาเหล่านี้ ผ่าท้องทำความสะอาดขอดเกล็ด หั่นหัวปลาทิ้ง หัวปลาแข็งเกินไป ไม่เหมาะทำลูกชิ้น ทำได้เพียงเก็บไว้ตุ๋นน้ำแกงซดตอนเย็นเท่านั้น
ในมือหูฉางหลินถือถ้วยข้าวกลางวันที่ตั้งใจเก็บไว้ให้เขา ทานไปพลางมองอย่างอยากรู้อยากเห็นแล้วถามไปพลาง “เจินจู พวกเ้าเอาปลามากมายเช่นนี้มาทำอันใด? ปลาเกล็ดเงินนี้กลิ่นดินทั้งตัว ก้างก็เยอะนัก ปลาตะเพียนตัวนั้นยิ่งกว่า ทั้งเล็กทั้งก้างมาก หากไม่ขายครึ่งราคาของปลานั่นให้ข้า ข้ายังไม่อยากได้เลยจริงๆ”
เจินจูมองหูฉางหลินที่ทานเสียจนคราบน้ำมันเต็มปากแวบหนึ่ง แล้วหันไปหัวเราะทางเขาทันที “ท่านลุง ไส้หมูเครื่องปรุงน้ำแดงอร่อยหรือไม่?”
“อื้ม อร่อยมากนัก หอมนุ่มและหยุ่นปากนัก มีเพียงน้ำแกงใส่ข้าวข้าก็ทานข้าวได้หนึ่งชามแล้ว” หูฉางหลินในปากเคี้ยวข้าว ส่วนมือก็ขยับคีบไส้หมูหนึ่งชิ้นขึ้นมาใส่ปากอีกครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
“ฮิ ฮิ เช่นนั้นเมื่อก่อนท่านคิดว่าเครื่องในรสชาติเช่นไร?” เจินจูมองเขาอย่างขำขันแล้วกล่าวถาม
“เมื่อก่อน เอ่อ เมื่อก่อน ก็เหม็นโฉ่…” หูฉางหลินหยุดไปพักหนึ่ง ยามนี้เขาเพิ่งรู้สึกตัวเล็กน้อยขึ้นมา “อ๋า...เ้าจะบอกว่า ปลาเหล่านี้ก็สามารถทำให้อร่อยได้?”
“ฮ่า อร่อยหรือไม่ทำออกมาท่านก็รู้เอง” เจินจูไม่กล่าวมากอีก แล้วชี้แนะหวังซื่อใช้มีดแนบไปที่กระดูกปลาแล่แผ่นปลาทั้งแผ่นออกมา
หลังแล่ปลาให้เป็แผ่นหมดแล้ว เจินจูก็หาไม้คลึงแป้งมา เลียนแบบท่าทางของมารดาคนเก่า โดยคิดจะเอาแผ่นปลามาบดให้แผ่ออก จะทำอย่างไรได้คนตัวเล็กแรงไม่พอ แท่นกดก็สูง ทั้งบดทั้งตีไม่กี่ทีหวังซื่อก็ทนดูต่อไปไม่ได้จึงรับมาทำต่อ ทำตามวิธีที่เจินจูตี “พัวะ...พัวะ” อยู่พักหนึ่ง
หลังจากเนื้อปลาคลายออกแล้ว เจินจูจึงใช้ช้อนขูดเนื้อปลาไปตามทิศทางของก้าง หวังซื่อกับชุ่ยจูทำตามวิธีของนางโดยเอาก้างใหญ่ๆ ทั้งหมดแคะออกมาอย่างรวดเร็ว เอาเนื้อปลาที่ขูดออกมากองไว้ด้วยกันแล้วเริ่มสับเนื้อปลาจนกลายเป็ปลาบด
เจินจูมีความมั่นใจในการทำลูกชิ้นปลาอย่างมาก มารดาคนเก่าของนางชอบทำอาหารเป็ที่สุด และยังชอบดึงนางไปเป็ลูกมืออยู่บ่อยๆ ด้วย เจินจูคิดว่าเหตุผลที่นางไม่มีความสนใจต่อการทำอาหาร แปดเก้าในสิบส่วน [1] เป็เพราะมารดาคนเก่ามักให้นางไปเป็ผู้ช่วยั้แ่ยังเล็ก จนกระทั่งเติบโตแล้วจึงทำให้เกิดจิตวิทยาย้อนกลับ [2] ต่อมาเมื่อตนเองอยู่คนเดียว ก็นับว่าทำกับข้าวได้ แต่ก็ยังไม่ชอบทำอาหารด้วยตัวเองเท่าไรนัก
เนื้อปลาสับเป็งานที่ใช้แรงกาย หนึ่งรอบสองรอบเข้า หวังซื่อก็เหนื่อยเสียจนทนไม่ไหว เจินจูจึงดึงหูฉางหลินที่มองด้วยความกระตือรือร้นเข้ามา ให้เขาสับเนื้อปลาต่อไปจนเหนียวข้นละเอียด
เจินจูใช้ต้นหอมและขิง เอาทั้งสองอย่างมาหั่นเป็ชิ้นละเอียดลงไปในเนื้อปลาแล้วให้หูฉางหลินรับไปสับต่อ ขณะเดียวกันยังเติมน้ำที่ต้มจนเย็นแล้วใส่ลงไปนิดหน่อยเป็ครั้งคราว เพื่อให้เนื้อสับละเอียดยิ่งขึ้น
หลังสับละเอียดจนเสร็จ ก็เริ่มคลุกให้เข้ากัน เพื่อให้ต้นทุนลูกชิ้นปลาลดต่ำลงหน่อย เจินจูเติมแป้งข้าวโพดลงไปไม่น้อย หลังจากนั้นใส่น้ำมัน เกลือ เหล้าที่ใช้ทำอาหารลงไปตามลำดับ คลุกเคล้าไปในทิศทางเดียวกัน งานนี้เปลืองแรงเป็อย่างมาก เจินจูยังคงให้หูฉางหลินมาช่วยคลุกเคล้าให้เข้ากัน คนไปในทิศทางเดียวกัน จนกระทั่งเริ่มรู้สึกคนลำบากก็พอได้ หลังจากนั้นให้เขาหยิบปลาบดขึ้นแล้วโยนลงในถาด ทำซ้ำไปมาประมาณยี่สิบครั้งในที่สุดหน้าที่ก็จบลง
หูฉางหลินขมวดคิ้วแล้วคลึงแขนที่เ็ปกล้ามเนื้อ หากไม่ใช่ว่ามีตัวอย่างเครื่องในหมูที่ทำสำเร็จ เขาต้องสงสัยว่ายัยหนูนี่กำลังหยอกล้อเขาแล้วใช่หรือไม่ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเห็นวิธีทำอาหารไหนที่คล้ายเช่นนี้มาก่อน ทั้งตีทั้งโยน เปลืองแรงกายนัก อีกทั้งเนื้อปลาที่เปื่อยยุ่ยจนกลายเป็ก้อนกลมๆ ก้อนหนึ่งต้องทานอย่างไร?
หูฉางหลินที่ยืนอยู่ข้างๆ มองหลานสาวทำขั้นตอนต่อไปอย่างเต็มไปด้วยความสงสัยในใจ
ในหม้อใหญ่ใส่น้ำเย็นลงไปครึ่งหม้อ ตั้งไฟอ่อนๆ มือซ้ายคว้าปลาบดขึ้นมาส่วนหนึ่ง กำมือบีบแล้วปั้นเป็ลูกชิ้นเล็กๆ หนึ่งลูกออกมา นี่เป็ขั้นตอนหนึ่งที่เจินจูชอบที่สุด ลูกชิ้นเล็กๆ กลมๆ ใช้ช้อนตักใส่เข้าไปในน้ำเย็นที่ตั้งรออยู่บนเตา รออยู่เช่นนั้นจนลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ ลูกชิ้นปลาก็นับว่าทำสำเร็จแล้ว
หูฉางหลินอ้าปากค้าง ตกตะลึงอยู่ที่เดิม นึกไม่ถึงเลยว่าวิธีทำจะเป็เช่นนี้
ทุกคนที่เห็นพากันดีใจ แล้วต่างคว้าปลาบดขึ้นมาส่วนหนึ่งเลียนแบบท่าทางของเจินจูบีบออกมาเป็ลูกชิ้น ลูกชิ้นเล็กๆ ใหญ่ๆ เช่นนี้ทยอยร่วงลงไปในหม้อ หูฉางหลินก็ไม่น้อยหน้าผู้อื่น ลองบีบลูกทรงกลมออกมา
“ไม่ได้ เล็กใหญ่แตกต่างกันไปเช่นนี้ไม่ได้ ท่านย่า รูปทรงต้องขนาดไม่ต่างกันมาก ขนาดไปในทางเดียวกันจึงจะดูดี ใหญ่เกินไปไม่ได้ แล้วก็เล็กเกินไปไม่ได้ ท่านลุง อันนั้นของท่านขนาดล้วนเกือบเท่าไข่ไก่แล้ว” เจินจูมองอย่างเต็มไปด้วยความสุข
“ได้ ย่ารู้แล้ว เ้าดู เช่นนี้เหมาะหรือไม่?” กล่าวแล้วก็บีบลูกชิ้นปลาขนาดเท่าไข่นกกระทาออกมาหนึ่งลูก
“อื้ม อื้ม อันนี้ดี ขนาดกำลังพอเหมาะ รูปทรงก็กลม” เจินจูชมเชย ขิงก็ยังคงเผ็ดอยู่วันยังค่ำ หวังซื่อผ่อนคลายและควบคุมฝีมือการทำลูกชิ้นปลาไว้ บีบลูกชิ้นปลาขนาดพอเหมาะออกมาทีละลูกๆ
ไม่นานนัก น้ำก็ค่อยๆ เดือด ลูกชิ้นที่ลงไปชุดแรกลอยขึ้นมาบนผิวน้ำช้าๆ เพราะไม่มีกระชอน ทำได้เพียงคีบขึ้นมาทีละอัน ผ่านไปสิบห้านาที ลูกชิ้นปลาถาดใหญ่ทั้งหมดก็ออกจากหม้อ เจินจูใส่ลูกชิ้นปลาสองสามเม็ดลงไปลวกในน้ำแกงหม่าล่าก่อนหนึ่งรอบแล้ว ทุกคนจึงทยอยกันยกตะเกียบลิ้มลองลูกชิ้นปลาร้อนๆ
“ว้าว!”
“อร่อย”
“ทั้งชาทั้งหยุ่น”
“อื้ม ทั้งหอมทั้งนุ่ม อร่อยนัก”
ทุกคนชื่นชมอย่างพร้อมเพรียงกันทำให้เจินจูที่ยุ่งอยู่ครึ่งวันสงบใจลงได้
“อื้ม รสชาติดีมาก พิเศษมากพอแล้ว เจินจู นี่ก็ทำเป็ช่วนช่วนเซียงขายหรือ?” หวังซื่อคีบลูกชิ้นปลาขึ้นมาหนึ่งเม็ดอีกครั้งด้วยความระมัดระวังและใส่เข้าไปในปากเคี้ยวอย่างละเอียด
“ท่านย่า นี่ไม่รีบ ลองดูว่าทำลูกชิ้นออกมาได้กี่อย่างก่อน บ้านเรามิใช่ว่ามีเผือกเยอะหรือ? ลองลูกชิ้นเผือกนี้ดูก่อนว่าทำได้หรือไม่” คราวนี้เจินจูกลับไม่รีบร้อนตัดสินใจ ช่วนช่วนเซียงราคาขายไม่แพง วัตถุดิบราคาถูกจึงจะหาเงินได้มากหน่อย
“ลูกชิ้นเผือก? เผือกก็สามารถทำอร่อยได้เช่นนี้?” หลังจากหูฉางหลินทานลูกชิ้นปลาไปหลายเม็ด สภาพจิตใจก็ดียิ่งนัก ปลาเกล็ดเงินและปลาตะเพียนล้วนราคาถูกมาก หากว่าลูกชิ้นนี้ขายดี น่าจะสามารถหาเงินได้ไม่น้อยเลย
“ได้สิ ฮิ ฮิ แค่ดูว่าทำได้หรือไม่ได้เท่านั้นเอง” เจินจูยิ้มเ้าเล่ห์หนึ่งที นางทานลูกชิ้นมาหลายชนิดนับสิบนิ้วยังนับไม่พอเลย กล่าวแค่ลูกชิ้นเผือกมีทั้งหวานมีทั้งเค็ม มีทั้งเผือกสดแล้วก็มีห่อยัดไส้ มีทั้งนึ่งแล้วก็มีแบบใช้น้ำมันทอด มีหลายชนิดนัก ต้องดูว่าคนจะทำได้หรือไม่ได้
หวังซื่อคิดสอดคล้องกับความเป็จริงแล้ว จึงหาเผือกหัวใหญ่ๆ ไม่กี่หัวมาเดี๋ยวนั้น ฟังการบรรยายคร่าวๆ ของเจินจูจบ ก็ปอกเปลือกหั่นเป็ชิ้นใส่ถาดนึ่งรวดเดียวจนเสร็จในทันที
เวลา่บ่ายย่าหลานสองคนทำลูกชิ้นสามชนิด เผือกสด ห่อยัดไส้ แล้วยังมีทอดน้ำมัน มองดูลูกชิ้นที่เต็มถาด บนใบหน้าเจินจูผุดยิ้มบานสะพรั่ง ความรู้สึกภูมิใจตีขึ้นมาทันทีโดยไม่รู้ตัว แม้ว่านางจะเป็แค่ผู้ช่วยก็ตาม
ลูกชิ้นทำเสร็จเป็เวลาพลบค่ำโดยประมาณ ท้องฟ้ามีเมฆมากเริ่มมีหิมะตกเล็กๆ ราวกับเม็ดข้าวลอยว่อนในอากาศ ตกลงสู่พื้นก็ละลาย เสียงของผิงอันตื่นเต้นดีใจอยู่ภายในลานบ้านดังขึ้น “หิมะตกแล้ว! หิมะตกแล้ว!”
เชิงอรรถ
[1] แปดเก้าในสิบส่วน หมายถึง มีความเป็ไปได้สูง
[2] จิตวิทยาย้อนกลับ คือ การให้คนคนหนึ่งทำหรือพูดในสิ่งที่เรา้า โดยการบอกให้เขาทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับผลลัพธ์ที่เราอยากได้ ซึ่งอาจประสบความสำเร็จมากๆ