หลี่หรูอี้จ้องมองไปทางชวีหงพักใหญ่ ตัดสินใจปล่อยนางไปชั่วคราว รอให้ผ่านไปอีกหลายวันค่อยมาจัดการ
เฟิงซื่อเดินกะเผลกออกมาจากห้องโถง เมื่อเห็นบุตรสาวและหลี่หรูอี้ยืนอยู่เคียงกัน พลันให้นึกไปว่าหลี่หรูอี้ช่วยชีวิตบุตรสาวของนางไว้ ตอนนี้ก็ยังคงยืนอยู่ใกล้ๆ นับเป็ผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของตระกูลหวังจริงๆ จะปล่อยให้ผู้มีพระคุณได้รับความไม่เป็ธรรมได้อย่างไร คิดได้ดังนี้จึงหันไปกล่าวกับผู้าุโทั้งหลายว่า “ข้าเห็นด้วย ส่งคนในตระกูลไปตามหานังซานนิวที่สมควรตายนั่นกลับมาเถิด”
ผู้าุโทั้งหลายของตระกูลหวังสนทนากันครู่หนึ่ง ตัดสินใจให้คนในตระกูลแยกย้ายกันออกไปตามหาหวังซานนิว
“เหตุใดท่านหัวหน้าตระกูลยังไม่กลับมาอีก?”
“ท่านหัวหน้าตระกูลพาคนไปก่อเตียงเตาที่บ้านตระกูลใหญ่หลายบ้านในอำเภอ เดิมทีวันนี้คงไม่ได้กลับ พรุ่งนี้จึงจะกลับ”
“ซานนิวก่อเื่เลวร้ายเช่นนี้จะส่งผลกับกิจการก่อเตียงเตาของพวกเราหรือไม่”
“เื่นี้ก็ยังไม่แน่”
ผู้าุโหลายคนของตระกูลหวังได้ยินคนในตระกูลถกเถียงกันเช่นนี้แววตาพลันหมองหม่น โบราณว่าเื่ดีไม่ออกจากประตูบ้าน แต่เื่ร้ายมักแพร่ไปไกลนับพันลี้ หากเื่นี้แพร่ออกไปแล้ว คนข้างนอกคิดว่าคนตระกูลหวังเป็พวกหัวขโมยฆ่าคนจะทำอย่างไรเล่า!?
ชั่วขณะนั้นเอง จู่ๆ ชวีหงก็เกิดความคิดฉลาดแกมโกงขึ้นมาทันใด นางะโลั่นว่า “ซานนิวของข้าไม่ได้ขโมยของ แต่หยิบของไปต่างหาก ท่านพ่อของข้าเป็ปู่ของซานนิว ซานนิวหยิบเงินปู่ตนเองไปจะเรียกว่าขโมยได้อย่างไร”
ตระกูลหวังมีนิสัยซื่อตรงมาตลอด คนส่วนใหญ่ในตระกูลต่างก็เป็พวกซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของชวีหงพลันมีคนเอ่ยค้านขึ้นว่า “พวกเ้าแยกบ้านกับหัวหน้าตระกูลแล้ว นับว่าเป็คนละบ้านกัน แต่ละบ้านก็มีเงินเป็ของตนเอง ซานนิวทำเช่นนี้ก็คือ ขโมยเงิน”
“ใช่แล้ว แยกบ้านกันแล้วก็ต่างคนต่างอยู่”
“ขโมยเงินไปแล้วยังคิดจะฆ่าคนปิดปากอีก ซานนิวทำความผิดใหญ่หลวงเช่นนี้ คำพูดที่ออกจากปากเ้ากลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ช่างหน้าด้านจริงๆ!”
หวังชุนเฟินผู้ที่ไม่เป็โล้เป็พายยืนอยู่หน้าประตูตัวสั่นไปทั้งร่าง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย กล่าวด้วยท่าทีโง่งมว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ตามที่ท่านพูดสามีของท่านก็คือพี่ชายของข้า หากข้าหยิบเงินของพี่ชายไปก็ไม่นับว่าขโมย แต่เรียกว่าหยิบไป เช่นนั้นข้าจะไปหยิบเงิน”
ชวีหงได้ยินก็รีบพูดขู่ “หากเ้ากล้าหยิบเงินของบ้านข้าไป เ้าได้เจอดีแน่!” เมื่อเห็นหวังชุนเฟิงออกไปนางก็ใจนรีบวิ่งตามไป “เ้าอยากตายจริงๆ สินะ เช่นนั้นก็เอาเงินบ้านข้าไปซื้อโลงศพให้ตนเองเถิด!”
“ข้าจะไปตามหาซานนิวต่างหาก เ้าซึ่งเป็แม่กลับไม่ร้อนใจ แต่ข้าเป็อากลับร้อนใจเสียมากกว่า ข้ากลัวว่าซานนิวจะไปเป็นางคณิกาในหอนางโลม ประเดี๋ยวจะทำให้พวกเราขายหน้ากันทั้งตระกูล” เสียงของหวังชุนเฟิงดังแว่วมาจากด้านนอก น้ำเสียงฟังดูมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
“หวังชุนเฟิง วันนี้เ้าตกส้วมไปกินขี้มาหรือ ปากถึงได้เหม็นเน่าเช่นนี้!” ชวีหงอับอายจนหน้าแดงก่ำ พริบตรานั้นเอง ไม่ทราบว่าใครยื่นเท้าออกมาขวางจนนางสะดุดล้มตึง แถมยังล้มใส่กองขี้หมาอีก มือทั้งสองถลอกปอกเปิก นางทั้งเจ็บทั้งโกรธ “ใคร ใครขัดขาข้า!”
หลี่หรูอี้ยืนอยู่ที่มุมด้านหนึ่งย่อมเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้ที่ยื่นขาออกมาขัดขาของชวีหงก็คือ ต้าจู้จื่อ เด็กชายอายุสิบขวบที่เคยมาทำงานกับบ้านหลี่ ต้าจู้จื่อทำเช่นนั้นก็เพราะอยากแก้แค้นและระบายโทสะแทนกระมัง
ที่ผ่านมา ต้าจู้จื่อมีนิสัยซื่อสัตย์ และเป็เด็กดีของหมู่บ้านมาโดยตลอด ต่อให้ชวีหงคิดจนปวดหัวนางก็คงจะนึกไม่ถึงว่าเป็ขาของเขา
การที่ชวีหงด่าหลี่หรูอี้เมื่อครู่นี้ ทำให้เด็กที่ซื่อตรงอย่างต้าจู้จื่อทนดูไม่ได้ และโมโหจนคิดจะสั่งสอนนาง
เมื่อหลี่หรูอี้กลับมาถึงบ้านแล้ว ด้วยกลัวว่าจ้าวซื่อจะเป็ห่วงจึงไม่พูดถึงเื่ที่ชวีหงด่านาง กล่าวเพียงว่า ตระกูลหวังส่งคนออกไปตามหาหวังซานนิวแล้ว ส่วนหวังชุนเฟิงก็ฉวยโอกาสทำให้เื่ยุ่งยากขึ้น
จ้าวซื่อแสดงสีหน้าดูแคลนออกมา “หวังชุนเฟิงคงคิดว่า หวังซานนิวทำเื่เช่นนี้ หวังลี่ตงคงจะไม่ได้เป็หัวหน้าตระกูลอีก ต่อไปตำแหน่งนี้คงเป็ของบุตรชายคนรองเช่นเขา”
“ทั้งหวังลี่ตงและหวังชุนเฟิงต่างก็ไม่ใช่คนดีอะไร คนตระกูลหวังคงไม่ให้สองคนนี้เป็หัวหน้าตระกูลแน่”
“หากพวกเขาคนใดคนหนึ่งได้เป็หัวหน้าตระกูล คงจะทำให้ตระกูลหวังพลิกผันจากฟ้ากลายเป็ขี้ดิน ไม่มีทางอยู่สงบแน่”
“ท่านอารองของข้าเล่า”
“ออกไปตัดฟืนทีู่เาแล้ว เจาไฉก็ตามไปด้วย”
“ท่านอารองของข้าคงไม่บังเอิญไปเจอหวังซานนิวหรอกกระมัง?” หลี่หรูอี้รู้ดีว่าหวังซานนิวมีใจคอโเี้อำมหิต คนเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับงูพิษ
“ไม่หรอก หากเจอก็ไม่เป็ไร” จ้าวซื่อชะงักไปครู่หนึ่ง “ชวีหงเคยทะเลาะกับเ้าและพี่รองของเ้า อารองของเ้ารู้เื่นี้แล้ว เขาเห็นคนบ้านชวีหงเป็ศัตรูคู่แค้น ไม่คิดสนใจหวังซานนิวหรอก”
หลี่หรูอี้ยิ้มออกมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่ซานก็ขับเกวียนกลับมาถึงบ้าน เช้านี้เขาไปขายแป้งย่างที่ตำบลจินจีจนหมดเกลี้ยง จากนั้นก็ทำตามที่บุตรีสุดที่รักบอกไปคือ รับถั่วเหลืองมาจากหมู่บ้านใกล้เคียงเป็จำนวนหนึ่งคันรถ
จิ้นเป่าสุนัขตัวน้อยวิ่งตามหลี่ซานมาประหนึ่งไม่ได้พบหน้ากันแปดชาติ ดูสนิทสนมกันเป็อย่างยิ่ง
“เมื่อครู่ตอนที่ข้าเพิ่งเข้าหมู่บ้านมาเจอชาวบ้านหลายคน พวกเขาถามข้าว่า เห็นหวังซานนิวหรือไม่ ข้าบอกว่าไม่เห็น” หลี่ซานรับชาเก๊กฮวยอุ่นๆ มาจากบุตรสาว ดื่มเอื๊อกๆ อย่างกระหายไปหลายคำ เมื่อเห็นภรรยาสุดที่รักและบุตรสาวของตนมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังจึงถามว่า “หวังซานนิวเป็อะไรหรือ”
สองแม่ลูกเล่าเื่หวังซานนิวให้หลี่ซานฟัง เมื่อเขาฟังจบก็พลันมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น และกล่าวว่า “หวังซานนิวทั้งอำมหิตทั้งโหดร้ายจริงๆ หรูอี้ต่อไปหากเ้าเจอนางก็ต้องระวังตัวให้ดี”
หลี่สือเพิ่งแบกฟืนมัดหนึ่งกลับมา ส่ายหน้ากล่าวว่า “คนในหมู่บ้านขึ้นเขาไปตามหาหวังซานนิว พวกเขาถามข้าด้วยว่าเห็นนางหรือไม่ ข้าบอกไม่เห็น ไม่เห็น”
เมื่อทั้งสี่กินอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้วก็แยกย้ายกันไปนอนกลางวัน นอนได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มีคนมาหา ซึ่งก็คือช่างตีเหล็กหลิวและบุตรชาย
พวกเขานำเครื่องโม่หินมาส่งที่บ้านหลี่ เร็วกว่ากำหนดสามวัน
เครื่องโม่หินขนาดใหญ่สองเครื่อง แต่ละเครื่องหนักสองร้อยกว่าชั่ง ช่างตีเหล็กหลิวและบุตรชายใช้เกวียนบรรทุกเครื่องโม่หินมา พวกเขาใช้หญ้าฟางมัดไว้ เพราะกลัวว่าจะทำหล่น
“ข้ายกเอง” หลี่สือรีบเดินเข้ามาใช้แขนทั้งสองข้างโอบเครื่องโม่หิน เพียงพริบตาเดียวเครื่องโม่หินก็ถูกยกออกจากเกวียน
เขามีพละกำลังมากเรียกได้ว่าเป็อันดับต้นๆ ในระยะร้อยลี้นี้เลยทีเดียว ก่อนหน้านี้ตอนที่ไปสร้างกำแพงเมืองที่เมืองเยี่ยน เขาคนเดียวก็แบกหินได้มากกว่าคนสองคนเสียอีก
ช่างตีเหล็กหลิวเบิกตากว้างมองตรงไปที่เขา พักใหญ่จึงค่อยชี้ไปยังหลี่สือแล้วพูดกับหลี่ซานว่า “น้องชายท่านมีแรงมาก ควรไปเรียนเป็ช่างตีเหล็ก”
ก่อนหน้านี้หลี่ซานเคยพาหลี่สือไปทำงานที่ร้านตีเหล็กในตำบลและร้านตีเหล็กในอำเภอมาแล้ว สุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จ
จ้าวซื่อก้มหน้าทอดถอนใจเบาๆ นางกับสามีอายุมากกว่าหลี่สือสิบกว่าปี เท่ากับว่าเลี้ยงหลี่สือเหมือนเป็บุตร เฝ้าดูแลเขาจนกระทั่งเติบใหญ่ หวังให้หลี่สือเรียนทักษะบางอย่างเพื่อหาเลี้ยงตนเองให้ได้ หลายปีมานี้พวกเขาลองอยู่หลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลวทั้งหมด
ช่างตีเหล็กหลิวมีสีหน้าเสียดาย ก่อนไปยังอดที่จะถามหลี่สือไม่ได้ว่า “ข้าว่านะเ้าหนุ่ม เ้ามีแรงมากเช่นนี้เหตุใดไม่ไปเรียนตีเหล็กเล่า?”
“ตีเหล็กยาก ข้าเรียนไม่ไหว เสื้อผ้าถูกไหม้จนเสียหายแล้วยังเกือบจะทำบ้านไหม้อีกด้วย” หลี่สือเป็เช่นนี้จริงๆ นำประสบการณ์แย่ๆ เื่การเรียนตีเหล็กของตนมาบอกเล่าให้ผู้อื่นฟังหมด
บุตรชายของช่างตีเหล็กหลิวเคยได้ยินคนในหมู่บ้านหลี่บอกว่า หลี่สือเป็คนด้อยสติปัญญา เขากลัวว่าคนบ้านหลี่จะรู้สึกกระอักกระอ่วน จึงรีบกะพริบตาเตือนช่างตีเหล็กหลิวแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ ตีเหล็กทั้งเหนื่อยทั้งลำบาก งานเช่นนี้ข้าก็ไม่อยากทำ”
“เ้าเด็กคนนี้นี่ มิน่าเล่าเ้าจึงไม่ยอมหาเวลามาตีเหล็กให้ดี ที่แท้เ้าก็รังเกียจที่มันเป็งานเหนื่อยงานลำบาก” ช่างตีเหล็กหลิวบ่นบุตรชายไปหลายประโยค จากนั้นจึงกล่าวขอบคุณคนบ้านหลี่แล้วขับเกวียนจากไป
หลี่สือยืนอยู่ตรงประตูรั้ว มองดูเกวียนของช่างตีเหล็กหลิวที่แล่นออกไปไกลแล้วพึมพำว่า “ข้าโง่เกินไป เรียนตีเหล็กไม่ไหว”
“ท่านอารองเรียนตีเหล็กไม่ไหวก็ไม่เป็ไร ท่านเรียนทำอาหารให้ดีก็พอ ไปเถิด พวกเราไปลองเครื่องโม่หินกัน” หลี่หรูอี้จูงหลี่สือไปที่ลานหลังบ้านอย่างกระตือรือร้น
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้