“ดูแลหลิ่วเฟย? ”
หลินเฟิงตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น หลิ่วเฟยไม่ใช่ผู้หญิงที่จะยอมให้คนอื่นมาดูแลได้ง่ายๆ
ถ้าหากนางมีนิสัยเหมือนกับเมิ่งฉิง ที่ชอบตามเขาไปทุกๆ ที่ แม้กระทั่งตอนนอน เขาคงปวดหัวกว่าเดิมถึงสองเท่า อีกอย่างหลิ่วเฟยดูแลยากกว่าเมิ่งฉิงหลายเท่า!
เมิ่งฉิงยังสามารถใช้นิทานก่อนนอนมาหลอกล่อได้ แต่หลิ่วเฟยล่ะ? เขาสามารถใช้นิทานก่อนนอนมาหลอกล่อนางได้หรือเปล่า???
“ท่านอาหลิ่ว ทำไมท่านถึงไว้ใจข้า?”
“ในตอนที่นิกายหยุนไห่ถูกทำลาย พวกเขาต่างสละชีวิตของตนเพื่อปกป้องเ้า ถ้าหากข้าไม่เชื่อเ้า แล้วจะให้ข้าเชื่อใคร!”
หลิ่วชั่งหลันสบตาหลินเฟิงอย่างเชื่อมั่น ก่อนจะยิ้มบางๆ ออกมา “ยิ่งไปกว่านั้น ข้ารู้สึกว่าเฟยเฟยกับเ้าดูเหมาะสมกันมากๆ ถ้าเ้าอยากดูแลนางไปตลอดชีวิต ข้าจะไม่คัดค้านเลยแม้แต่น้อย”
“หา!!!”
หลินเฟิงตกตะลึงเป็อย่างมาก หลอกล่อ… นี่คือการหลอกล่ออย่างชัดเจน!!! ที่แท้หลิ่วชั่งหลันก็คิดจะฝากฝังบุตรสาวของตัวเองให้กับหลินเฟิง ด้วยความงดงามของหลิ่วเฟย ไม่มีทางเลยที่ผู้ชายธรรมดาๆ จะกล้าปฏิเสธข้อเสนอนี้!
แน่นอนว่าหลินเฟิงไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา
“ท่านอาหลิ่ว ข้าไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ในเมื่อท่านพูดถึงขนาดนี้แล้ว ข้าสาบานว่าจะดูแลนางให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้” หลินเฟิงตอบกลับอย่างหนักแน่น
หลิ่วชั่งหลันได้ยินดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกชื่นชอบหลินเฟิง “ข้ารู้ว่าเ้าไม่ใช่คนแบบนั้น หลินเฟิง ข้าขอฝากฝังเฟยเฟยให้กับเ้าด้วย”
เมื่อหลินเฟิงได้ยินคำพูดที่ดูคลุมเครือของหลิ่วชั่งหลัน เขาก็แทบอยากจะเอาหัวโขกต้นไม้ตาย คงไม่ใช่ว่าหลิ่วชั่งหลันกำลังคิดอะไรแปลกๆ อยู่นะ?!
หลินเฟิงมีทางเลือกอื่นอย่างนั้นหรือ? ถ้าเขาปฏิเสธคำขอร้องของหลิ่วชั่งหลัน เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะยิ่งสงสัยกว่าเดิม...
ในห้อง ตอนที่หลิ่วเฟยได้ยินหลิ่วชั่งหลันบอกว่า้าอยู่กับหลินเฟิงตามลำพัง ทำให้นางถลึงตามองหลินเฟิงอย่างดุร้าย นางเดินเข้ามาถามหลินเฟิงเสียงเข้มว่า “เ้าพูดอะไรกับบิดาข้า?”
นางจำได้ว่าหลินเฟิงเคยบอกว่าเขาเป็คนรักของนาง ซึ่งทำให้หลิ่วชั่งหลันเข้าใจผิด ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทั้งสองคนแอบไปคุยอะไรกันก็ไม่รู้ พอหลังจากกลับมาบิดาก็ให้นางติดตามหลินเฟิงไป เื่นี้ทำให้หลิ่วเฟยอดไม่ได้ที่จะคิดมาก
แต่หลินเฟิงผู้น่าสงสารกลับไม่ปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว นอกจากส่งยิ้มอย่างขมขื่น
“ท่านพ่อ ข้าไม่ไป” หลิ่วเฟยหันมามองหลิ่วชั่งหลัน พลางส่ายหน้า
“อย่าทำให้เื่มันยุ่งยาก เฟยเฟย! ข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว ข้าจะให้เสี่ยวเฟิงพักที่เมืองต้วนเริ่น 3 วัน หลังจากนั้นพวกเ้าก็ออกเดินทางไปด้วยกัน”
สีหน้าของหลิ่วชั่งหลันดูจริงจังมาก ดวงตาของเขาฉายแววเคร่งขรึม เพื่อปกป้องหลิ่วเฟย เขาจำเป็จะต้องทำใจั์ ส่งลูกสาวออกห่างจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
“ท่านพ่อ!” หลิ่วเฟยอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกหลิ่วชั่งหลันกล่าวตัดบทว่า
“ไม่ต้องพูดแล้ว! เ้ายังเห็นข้าเป็พ่ออยู่หรือไม่!!!”
หลิ่วเฟยตัวสั่นเล็กน้อย ขณะมองหลิ่วชั่งหลันด้วยแววตาเสียใจ ทำให้ดวงตาของหลิ่วชั่งหลันสั่นไหวขึ้นมา เขารู้ดีว่าสุดท้ายแล้วหลิ่วเฟยก็ต้องเชื่อฟังเขา
“เป็ ท่านเป็บิดาของข้า”
แม้เวลาจะผ่านไปไม่กี่วินาที แต่มันกลับเหมือนผ่านไปเป็ปีๆ หลิ่วเฟยพยักหน้า ดวงตาของนางแดงก่ำ ก่อนจะหมุนตัววิ่งออกไปจากห้อง
เมื่อเห็นหลิ่วเฟยวิ่งจากไป ดวงตาของหลิ่วชั่งหลันก็เผยร่องรอยความโศกเศร้าและทำอะไรไม่ถูกออกมา
หลินเฟิงก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ตลอดชีวิตที่ผ่านมาหลิ่วชั่งหลันอุทิศตัวให้กับอาณาจักร แต่กลับถูกคนที่อยู่เื้ัพยายามปองร้าย มิหนำซ้ำยังต้องคอยรับมือกับข้าศึกที่อยู่ด้านนอกอีก รอบตัวของเขาไม่มีที่ไหนปลอดภัยเลยสักนิด
“ก็อย่างที่เขาพูดกัน คนที่โเี้ที่สุดก็คือจักรพรรดิ” หลินเฟิงคิดในใจเงียบๆ
…
สามวันต่อมา บนถนนอันกว้างขวางเต็มไปด้วยฝุ่นควันที่ลอยตลบอบอวลไปทั่วถนน พร้อมทั้งเสียงเกือกม้าที่ดังะเืแผ่นดิน
กองกำลังทหารม้าโลหิตจำนวนกว่าร้อยคน ห้อม้าตะบึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านอา มาส่งข้าแค่นี้ก็พอ”
หลินเฟิงหันมากล่าวกับหลิ่วชั่งหลันที่ควบม้าอยู่ข้างๆ
ม้าของพวกเขาค่อยๆ ชะลอความเร็วลงก่อนจะหยุดอยู่กับที่ หลิ่วชั่งหลันมองไปที่หลิ่วเฟยอย่างกังวล เขารู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก เพราะไม่รู้ว่าหลังจากที่แยกกันคราวนี้ จะได้พบกันอีกทีเมื่อไร
“ท่านพ่อ ตอนนี้ท่านกลับไปได้แล้ว”
หลิ่วเฟยเองก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน แต่ยังกัดฟันพูดแบบนี้ออกไป
“เฟยเฟยฟังพ่อนะ เชื่อฟังหลินเฟิงให้มากๆ” หลิ่วชั่งหลันกล่าวอย่างเข้มงวด ขณะจ้องมองหลิ่วเฟย
แม้ว่าหลิ่วชั่งหลันจะรู้จักหลินเฟิงได้ไม่นานนัก แต่เขารู้ว่าหลินเฟิงแข็งแกร่งและมั่นใจว่าหลินเฟิงจะดูแลนางได้
หลิ่วเฟยเหลือบมองหลินเฟิง นางพยักหน้าและกล่าว “ข้าเข้าใจแล้วท่านพ่อ”
“ดูแลตัวเองด้วย” หลิ่วชั่งหลันกล่าวขณะหันม้ากลับและวิ่งจากไป
“หลินเฟิงได้โปรดดูแลนางด้วย”
“ขอให้คุณหนูเดินทางปลอดภัย”
“ขอให้คุณชายเดินทางปลอดภัย”
ทหารม้าโลหิตะโออกมาพร้อมทั้งหันม้ากลับ เพื่อไล่ตามหลิ่วชั่งหลันไป
ในขณะนั้น หลิ่วเฟยจ้องมองพวกเขาไม่ไหวติง
หลินเฟิงผู้ที่อยู่ใกล้ๆ นาง ก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่
“เมื่อวานนี้ท่านพ่อของข้าได้บอกกับข้าว่า ในอดีตเขาเคยละทิ้งนิกายหยุนไห่ ที่เป็ผู้อบรมสั่งสอนเขามาตลอด แล้วตอนนี้เขากลับเป็ตัวการที่ทำให้นิกายหยุนไห่ต้องล่มสลาย เขาได้แต่กล่าวคำว่าขอโทษด้วยความเสียใจ”
“นอกจากนี้ท่านพ่อยังบอกข้าว่า ระหว่างการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ที่ชายแดนต้วนเริ่น ท่านแม่ของข้าถูกข้าศึกสังหารอย่างเหี้ยมโหด ทำได้เพียงต้องจากกันโดยไม่มีคำลาแม้แต่คำเดียว ท่านพ่อก็ได้แต่ขอโทษท่านแม่อย่างเ็ป”
“ท่านพ่อยังบอกข้าว่าเพราะปัญหาที่ชายแดนต้วนเริ่น ทำให้เขาไม่มีเวลาดูแลข้า นั่นคือเหตุผลที่เขาส่งข้าไปที่นิกายหยุนไห่ เพราะเขาไม่มีความรับผิดชอบในฐานะที่เป็พ่อ เขายังกล่าวขอโทษลูกสาวอย่างข้าด้วย”
“ท่านพ่อยังบอกข้าว่าระหว่างาชายแดนต้วนเริ่นทำให้เขาสูญเสียทหารไปจำนวนมาก นับแสนนายหรือมากกว่า… พวกเขาถูกฝังอยู่ด้านนอกเมืองต้วนเริ่นและ เขา… ยังคงมีชีวิตอยู่ ในใจเขารู้สึกเสียใจเป็อย่างมากที่ไม่สามารถช่วยพวกเขาได้”
หลินเฟิงตั้งใจฟังสิ่งที่หลิ่วเฟยกล่าว
“ข้ารู้ว่าทำไมท่านพ่อ้าให้ข้าจากไป เพราะเขากลัวว่าสักวันหนึ่งข้าอาจจะถูกคนชั่วทำร้ายเอาได้ ความจริงแล้วเขาไม่ควรขอโทษใคร แต่เป็อาณาจักรเสวี่ยเยว่ต่างหากที่ต้องขอโทษเขา!!!”
หลินเฟิงเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปที่ท้องฟ้าขณะที่ฟังหลิ่วเฟย
ถึงแม้ว่าอาณาเสวี่ยเยว่จะกล่าวขอโทษเขา แต่คำว่าขอโทษมันยังน้อยเกินไป!
ถ้าหลินเฟิงแข็งแกร่งมากกว่านี้ เขาจะบุกไปที่วังหลวงแล้วถามจักรพรรดิตรงๆ ว่า เขายังมีหัวใจอยู่หรือไม่? หรือว่ามันด้านชาไปแล้ว!!!
มีเพียงพลังเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาชีวิตได้ มีเพียงแค่ความแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะดลบันดาลทุกอย่างให้เป็ไปตามใจ มีเพียงผู้ที่ทรงพลังเท่านั้นที่จะบดขยี้อาณาจักรห่วยๆ ให้ล่มสลายไป!!!
หลินเฟิงไม่เคยลืมว่าความแข็งแกร่งมันสำคัญมากแค่ไหน ในอนาคตถ้าเขาแข็งแกร่งมากกว่านี้ เขาจะเดินทางไปทั่วทวีปเก้า์!!!
“ถ้าเ้าอยากร้องก็ร้องออกมาเถอะ”
หลินเฟิงกล่าวกับหลิ่วเฟยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เทพลูกศรหลิ่วชั่งหลันคือแรงกดดันที่กำลังกดทับนางอยู่ สาวน้อยคนนี้เพิ่งจะอายุแค่ 16 ปีเท่านั้น
เมื่อหลิ่วเฟยได้ยินคำพูดของหลินเฟิง ทำให้น้ำตาของนางไหลอาบแก้มนวลเป็สาย
ทันใดนั้นเสียงสะอื้นก็ดังขึ้นมาเป็ระยะๆ
ร่างของหลิ่วเฟยเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย ราวกับว่าไม่อยากให้ใครเห็นว่านางกำลังร้องไห้อยู่
หลินเฟิงถอนหายใจออกมาเบาๆ ผู้หญิงอย่างไรก็คือผู้หญิง ยิ่งเป็สาวน้อยอายุแค่ 16 ปี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแรงกดดันที่มหาศาลเช่นนี้ มันเกินกว่าที่นางจะแบกรับเอาไว้ได้
หลินเฟิงกระตุ้นม้าให้วิ่งตีคู่ ก่อนจะะโขึ้นไปนั่งบนหลังม้าของหลิ่วเฟย “ข้าให้เ้ายืมไหล่ข้าได้นะ”
หลิ่วเฟยหันหน้ากลับไปมอง ดวงตาหางหงส์ของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา เมื่อเห็นหลินเฟิงนั่งที่ด้านหลัง ก็โถมตัวเข้าไปกอดแล้วร้องไห้ออกมาอย่างลืมตัว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่ในที่สุดหลิ่วเฟยก็ค่อยๆ สงบลง
นางเงยหน้าขึ้นมอง แล้วผลักหลินเฟิงเบาๆ พลางพูดว่า “เ้ามันคนชั่วช้าที่น่ารังเกียจ ถึงกับฉวยโอกาสจากสถานการณ์เช่นนี้”
“ฮะ!”
ดวงตาของหลินเฟิงฉายแววมึนงงออกมา ผู้หญิงนี่อะไรกันนะ? ไม่ว่าจะโลกนี้หรือโลกไหน ก็เปลี่ยนอารมณ์เร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือเสียอีก!!!
“ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนชอบพุ่งเข้ามากอดข้าอยู่เรื่อยเลย”
หลินเฟิงพึมพำกับตัวเองเบาๆ ทำให้หลิ่วเฟยปรายตามองเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “หลงตัวเอง!!!”
“หลงตัวเอง? เอาเถอะๆ หลงตัวเองก็หลงตัวเอง แต่ก่อนอื่น เ้าเช็ดรอยเปื้อนบนหน้าเ้าให้สะอาดเสียก่อนเถอะ”
หลินเฟิงหัวเราะออกมา ก่อนจะะโกลับขึ้นไปบนหลังม้าของตัวเอง
หลิ่วเฟยเช็ดคราบน้ำตาที่หางตาทั้งใบหน้าที่แดงระเรื่อ นางก้มหน้าลงไม่กล้าเงยหน้าให้หลินเฟิงเห็น
“ไปกันได้แล้ว”
หลิ่วเฟยพูดขึ้นมาขณะที่ดึงบังเหียนในมือ อาชาตัวนี้ก็ดูเหมือนจะรู้ใจเ้านายของมัน มันรีบพุ่งทะยานไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
หลินเฟิงยิ้มน้อยๆ ก่อนจะกระทุ้งม้าให้วิ่งตามไป ขณะที่ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า
การทำให้หลิ่วเฟยฟังเขา มันช่างยากเย็นแสนเข็ญอะไรเช่นนี้!
บนถนนอันกว้างขวาง มีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังควบม้าโลดแล่นอยู่กลางถนน คนหนึ่งเป็ชายหนุ่มผู้สง่างาม ส่วนอีกคนก็เป็สาวงาม ยามที่พวกเขาควบม้าตีคู่กันช่างดูงดงามประหนึ่งภาพวาดก็ไม่ปาน!