เว่ยจิ้งซินในยามนี้ อายุล่วงเข้าสู่ยี่สิบปีเต็มวัยแห่งความงามที่เปล่งประกายดั่งดอกเหมยเบ่งบานท่ามกลางหิมะปลายฤดูผู้คนทั้งเมืองหลวงต่างขนานนามนางว่า ดอกไม้งามแห่งเมืองหลวง
แต่หากใครคิดว่านางมีดีเพียงรูปโฉมย่อมเป็การดูแคลนเพราะสิ่งที่ทำให้นางโดดเด่นท่ามกลางวงศ์ตระกูลที่ชิงดีชิงเด่นหาใช่เพียงหน้าตาแต่คือจิตใจที่อ่อนโยน นางใช้ชีวิตเรียบง่ายสวมเพียงผ้าฝ้ายธรรมดา มิได้เครื่องประดับฟุ่มเฟือยในวันที่ไม่มีพิธีหรือหน้าที่ใดผูกมัดนางมักออกเดินไปตามตรอกแคบ ๆ ที่เหล่าขุนนางไม่คิดแม้จะมองเพื่อแจกจ่ายอาหาร ยาสมุนไพร หรือเพียงรอยยิ้มที่จริงใจให้กับผู้ยากไร้
ชื่อของ “เว่ย” อาจเต็มไปด้วยคราบเืและคำครหา แต่ชื่อของ “จิ้งซิน” คือแสงเพียงดวงเดียวในเงามืด วันหนึ่งลมหนาวเริ่มต้นพัดมากระทบผิวบางของผู้คนริมถนนสาวใช้ที่ติดตามนางประจำ กล่าวขึ้นด้วยความเป็ห่วง“คุณหนูเ้าคะ กลับเข้าเรือนเถิด ลมหนาวมาแล้ว” เว่ยจิ้งซินหันกลับมา มุมปากของนางมีรอยยิ้มละมุนนางยื่นถุงข้าวถุงสุดท้ายให้หญิงชรา แล้วกล่าวเบา ๆ“อืม… ที่เหลือข้าฝากเ้าด้วยนะ” ถ้อยคำเรียบง่าย ไม่ถือตัว ไม่ยึดยศสำหรับนางความสูงศักดิ์ที่ผู้คนไขว่คว้าก็ไม่ต่างอะไรกับหมอกจางที่สลายหายเมื่อแสงตะวันสาดส่อง
ทันทีที่เว่ยจิ้งซินเหยียบย่างเข้าสู่จวน เสียงฝีเท้าหนักแน่นของใครบางคนก็ดังขึ้นจากทางเดินฝั่งตะวันตกนางเงยหน้าขึ้น และพบว่าไม่ใช่ใครอื่นเว่ยซ่างเทียน บิดาของนาง กำลังเดินตรวจตราความเรียบร้อยภายในจวนอย่างเคร่งขรึมเกราะบนบ่าของเขาแวววาว สะท้อนแสงตะวันยามเย็นดังเปลวเพลิงแห่งอำนาจ
เมื่อเห็นบุตรสาว ท่านแม่ทัพหยุดฝีเท้าสายตาคมกร้าวเหลือบมองมือของนางที่เปื้อนฝุ่นข้างถุงข้าวแล้วเสียงห้าวทรงอำนาจก็ดังขึ้นทันที
"เ้าไปให้อาหารเ้าพวกหนูสกปรกพวกนั้นอีกแล้วรึ? หากเ้าล้มป่วยขึ้นมา พ่อจะทำเช่นไร?" น้ำเสียงที่เอ่ยถึงผู้ยากไร้ เต็มไปด้วยความรังเกียจอย่างไม่ปิดบังทว่าทันทีที่เปลี่ยนมาเอ่ยถึงสุขภาพของบุตรสาวน้ำเสียงกลับอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเป็คนละคนเว่ยจิ้งซินถอนหายใจแ่เบาเพราะนางคุ้นชินกับความย้อนแย้งในคำพูดและอารมณ์ของบิดา
"ลูกก็แค่ทำในสิ่งที่ลูกอยากทำ... แค่นั้นเองเ้าค่ะ" เสียงของนางนุ่มนวลเว่ยซ่างเทียนมองดูใบหน้าของบุตรสาวในแววตานั้น แม้จะซ่อนอำนาจไว้อย่างแเีแต่ก็มีประกายบางอย่างที่คนเป็พ่อเท่านั้นจึงจะมีได้
"ลูกพ่อ..." เขาเอ่ยช้า ๆ"เ้าต้องหมั่นดูแลตัวเองไว้ให้ดี อีกไม่นาน วันมงคลของเ้าก็จะมาถึง" ประโยคนั้นทำให้เว่ยจิ้งซินชะงักเพียงครู่นางเงยหน้าขึ้นมองบิดาแม้ไม่เอ่ยถาม แต่ั์ตาก็ฉายคำว่า “หมายความว่าอย่างไร?”
เว่ยซ่างเทียนกลับคลี่ยิ้มบาง ๆ ที่หาได้ยากยิ่งในฐานะขุนศึกผู้อยู่ใต้เงาอำนาจมาทั้งชีวิต เขารู้ดีว่า การแต่งงานคือกลยุทธ์อีกหนึ่งข้อบนกระดาน
"เ้าหมั้นไว้กับบุตรชายของแม่ทัพใหญ่มาั้แ่ยังเด็ก เ้ายังจำได้หรือไม่?"เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความพึงใจ"เด็กหนุ่มผู้นั้น… บัดนี้เติบใหญ่ เขาคู่ควรกับเ้า และเหมาะจะยืนเคียงข้างตระกูลเราในอนาคต" เว่ยจิ้งซินนิ่งงันนางจำเื่หมั้นหมายได้ลางเลือนเหมือนเงาบนผิวน้ำแต่มันเคยเป็เพียงคำพูดของผู้ใหญ่ในวันที่เธอยังไม่เข้าใจความหมายของ การแต่งงานนางหลุบตาลง ไม่ตอบคำเพราะแม้จะเป็ ดอกไม้งามแห่งเมืองหลวง นางก็รู้ดีว่าในดินแดนแห่งอำนาจ... ดอกไม้เช่นนาง ไม่เคยมีสิทธิ์เลือกแจกันของตัวเอง
เว่ยจิ้งซิน หากมองด้วยสายตาคนนอก... นางก็เป็เพียงหญิงสาวผู้อ่อนแอร่างบาง ผิวซีดราวดอกเหมยในฤดูหิมะเดินทางใดต้องมีสาวใช้คอยประคอง มือหนึ่งถือยาสมุนไพร อีกมือคอยพัดร่างนางไม่ให้อ่อนแรงลง
แต่ไม่มีใครล่วงรู้เลยแม้แต่พี่ชายของนางว่าเื้ัความเงียบงันนั้นคือความรู้ลึกซึ้งและความเฉียบแหลมเกินกว่าหญิงใดในตระกูลเว่ยภายในเรือนเล็กที่เงียบสงบของนางไม่มีของหรูหรา ไม่มีผ้าไหมทอง ไม่มีมุกมณีแต่สิ่งที่มีคือชั้นวางตำราที่สูงจนแตะเพดานนางอ่านทุกสิ่งที่คนอื่นไม่สนใจจะอ่านจากตำราพิชัยา ไปจนถึง กลยุทธ์สามสิบหกข้อนางจำได้แม่นยิ่งกว่าขุนนางชายหลายคนที่อยู่ในราชสำนักเสียอีก
นางรู้จักวิธีจัดทัพ รู้หลักการเจรจา รู้ว่าเมื่อใดควรตี เมื่อใดควรถอยนางคือ นักยุทธศาสตร์ ที่โลกไม่รู้จักชื่อเพียงเพราะ... นางอยู่ในร่างของหญิงงามผู้อ่อนแรงข้อด้อยเพียงหนึ่งเดียวของนางคือนางไม่อาจฝึกวิชาลมปราณได้ร่างกายของนางไม่สามารถรองรับพลังปราณได้แม้แต่น้อยไม่ว่าจะใช้ยากลั่น หรือฝึกฝนสมาธิเท่าใดปราณก็ไม่อาจไหลเวียนในเส้นชีพจรของนางได้เลยแพทย์หลวงยังกล่าวว่า“หากฝืนฝึกต่อไป มีแต่ทางตาย”
แต่แม้นไม่มีพลังนางกลับมี มันสมอง ที่แหลมคมยิ่งกว่าคมดาบเพราะนางเชื่อว่าในโลกของศึกาไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่รอดแต่คือผู้ที่มองเห็นกระดานหมากล่วงหน้ามากที่สุด
บุรุษผู้หัวใจของเว่ยจิ้งซินหากเขารู้คุณค่าแท้จริงของนาง...เขาย่อมไม่ต่างอะไรจากผู้ที่ได้เพชรเม็ดงามที่สุดในแผ่นดิน
นางมิได้ขัดขืนชะตากรรมเว่ยจิ้งซินเลือกที่จะยินยอมเพราะหากการแต่งงานนี้จะสามารถทำให้บิดาของนางยิ้มได้แม้เพียงวันเดียวหากมันคือหมากตาหนึ่งที่ทำให้ตระกูลเว่ยไม่พังทลายนางก็พร้อมจะเป็ผู้เสียสละ... อย่างเงียบงัน
นางเตรียมใจสำหรับคืนเข้าเรือนหอด้วยใจสงบนิ่งไม่ตื่นเต้น ไม่ต่อต้าน ไม่โหยหาเพียงแค่หวัง… ว่าชายผู้นั้นจะมีดวงตาที่ลึกพอจะมองเห็นว่าเื้ัดอกไม้บอบบางนั้นมีคุณค่าเพียงใด“ลูกพ่อ… พ่อเพียงแค่อยากให้เ้ารู้ ว่าพ่อภูมิใจในตัวเ้ามาก” น้ำเสียงของเว่ยซ่างเทียนอ่อนลงอย่างหาได้ยากมันคล้าย น้ำผึ้งผสมยาพิษ ที่กลั่นกรองมาจากความทะเยอทะยานของผู้เป็บิดา
ในนามของความภูมิใจ... เขาเลือกที่จะส่งบุตรสาวเข้าสู่เรือนหอไม่ใช่ด้วยหัวใจของนางแต่เพื่อเสริมสร้างฐานอำนาจของตนเองเว่ยจิ้งซิน เงยหน้าขึ้นเพียงครู่แววตาของนางไม่ฉายแววต้านทานแต่ก็ไม่ปรากฏความยินดีใด ๆ
“อือ…” เพียงถ้อยคำสั้น ๆ ที่นางเอื้อนเอ่ยออกมาเบากว่าลมหายใจ แต่หนักเท่าหัวใจเพราะในโลกของสตรี…การเลือกเส้นทางชีวิตนั้น มักเป็สิทธิที่อยู่ห่างไกลเกินเอื้อมคู่หมั้นของนางคือม่ออวิ๋นเฉินชายหนุ่มผู้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็ดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดแห่งราชสำนักรูปลักษณ์ของเขาเรียกได้ว่างามล้ำเกินชายทั่วไปใบหน้าคมเข้มแฝงรอยยิ้มพรายอย่างผู้มีชั้นเชิงดวงตาล้ำลึกดั่งหลุมดำที่ยากคาดเดาอารมณ์ไม่ว่าจะยืนอยู่ในที่ใด ผู้คนก็มักหันมองเขาก่อนทุกคนเสมอ
ว่ากันว่า เขาฉายแววอนาคตสว่างไสวมาแต่เยาว์วัยไม่ว่าจะด้วยความสามารถของเขาเอง หรือด้วยอำนาจบารมีจากผู้เป็บิดาซึ่งดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่อันทรงอิทธิพลม่ออวิ๋นเฉินจึงกลายเป็ชื่อที่ไม่มีใครกล้าเพิกเฉย
ทว่า... ในหมู่ชนชั้นสูงกลับซุบซิบกันเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงระคนยำเกรงเพราะม่ออวิ๋นเฉินผู้นี้ มีอีกด้านหนึ่งที่เปื้อนเงาเขาคือชายที่มากรัก รู้จักใช้รอยยิ้มและคำหวานยิ่งกว่าคมดาบหญิงสาวมากมายเคยตกอยู่ใต้มนตร์เสน่ห์ของเขาแล้วก็ถูกทอดทิ้งราวกับเป็เพียงเงาในยามค่ำคืน แต่ไม่ว่าจะมีข่าวลือมากมายเพียงใดเว่ยซ่างเทียน ก็ยังเลือกที่จะยกเว่ยจิ้งซินให้กับเขาด้วยเหตุผลที่ชัดเจนยิ่งกว่าคำว่าความรักนั่นคือเพื่อรักษาอำนาจของตนให้มั่นคงในสายตาของบิดาเว่ยจิ้งซินเปรียบเสมือนสะพานไม้ที่ทอดไปยังปราสาทแห่งอำนาจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้