ทุกคนหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินประโยคนี้ สายตาทุกคนมองหนิงมู่ฉืออย่างครุ่นคิดพิจารณา บางคนเอ่ยอย่างทอดถอนใจออกมาว่า “คุณหนูหนิงเติบโตขึ้นมาเป็หญิงงาม ไม่รู้ว่ามีชายในดวงใจแล้วหรือยัง”
“น่ากลัวว่าระหว่างบุรุษทั้งสองคนด้านข้างจะต้องมีคนหนึ่งที่เป็ชายในดวงใจของคุณหนูหนิงเป็แน่ ด้วยบุรุษทั้งสองต่างมีหน้าตาหล่อเหลาด้วยกันทั้งคู่”
ครั้นหนิงมู่ฉือได้ยินเสียงพูดคุย หน้าขึ้นสีแดงเรื่อ นางหันหน้าไปถามเฉินเหว่ย “ท่านอาเฉิน คนเหล่านี้คือ…”
เฉินเหว่ยลืมเล่าที่มาที่ไปของคนเหล่านี้ให้ฟังไปเสียสนิท เขาใช้มือตบที่ศีรษะตนไม่แรงนัก มองอย่างขอโทษขณะเอ่ยว่า “ข้าลืมไปเสียสนิท คนเหล่านี้คือทหารที่เคยร่วมสู้รบกับท่านเเม่ทัพหนิงในปีนั้น”
“แล้วเหตุใดถึงมาอยู่ในสถานที่เยี่ยงนี้ได้เล่า” หนิงมู่ฉือเอ่ยอย่างคาดไม่ถึงว่าทหารที่เคยสู้รบเพื่อประเทศชาติ สุดท้ายจะต้องมาอยู่ในสถานที่ที่สภาพแวดล้อมเลวร้ายเช่นนี้ เห็นสภาพของแต่ละคนแล้ว นางรู้สึกรับไม่ได้
เฉินเหว่ยถอนหายใจออกมา ราวกับเื่นี้ก็เป็เื่ที่เ้าตัวเองก็ปวดใจเช่นกัน “คุณหนูคงไม่รู้ ทหารเหล่านี้คือทหารที่รอดชีวิตจากาในครั้งนั้นมาได้ ครานั้นมีทหารเสียชีวิตไปไม่น้อย ตอนนั้นด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับ ทำให้ไม่รู้ว่ามีผู้ใดเสียชีวิตไปบ้าง และมีผู้ใดรอดชีวิตมาได้บ้าง ต่อมา เมื่อคนที่รอดชีวิตมาได้ฟื้นขึ้นมาก็ได้มาหาข้าที่รอทุกคนอยู่เช่นกัน”
สิ้นประโยคนี้ทุกคนมีสีหน้าเศร้าสลด
าเป็สิ่งที่น่ากลัว ทำให้ชีวิตของทหารที่ควรจะมีความสุขต้องมาตายไป แม้แต่ศพก็หาไม่พบ
หนิงมู่ฉือมองทุกคนด้วยความสงสารจับใจ “เช่นนั้นทุกคนก็คือทหารของท่านพ่อของข้าหรือ”
ทุกคนพยักหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมา มีบางคนที่ไม่รู้ว่าแม่ทัพหนิงได้จากโลกนี้ไปแล้ว เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี “คุณหนู ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพตอนนี้เป็อย่างไรบ้าง สุขสบายดีหรือไม่”
นางชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่สีหน้าจะเศร้าสร้อย “ขอโทษด้วย ท่านพ่อของข้าได้จากโลกนี้ไปแล้ว”
บางคนที่รู้เื่นี้แล้วหันไปถลึงตาใส่ผู้ที่ไม่รู้ความ ก่อนจะหันไปส่งยิ้มปลอบโยนให้หนิงมู่ฉือ “ขอคุณหนูอย่าได้ถือสา บางคนตัดขาดกับโลกภายนอกไปนานจึงไม่รู้เื่รู้ราว เื่ของท่านแม่ทัพหนิงพวกข้าเองก็ได้ยินมาเช่นกัน”
คนที่เอ่ยถามพอได้ยินว่าแม่ทัพหนิงจากโลกนี้ไปแล้วก็รับไม่ได้ หลั่งน้ำตาออกมา หนิงมู่ฉือมองคนผู้นั้นอย่างจนปัญญา
มีคนร้องไห้แค่คนเดียวยังไม่เป็ไร แต่นี่ทุกคนพากันร้องไห้ ช่างเป็ภาพที่น่าเศร้ายิ่งนัก
แม้แต่เฉินเหว่ยก็ยังเริ่มหวั่นไหว คล้อยตามคนพวกนี้ไปด้วย
“ท่านแม่ทัพหนิงเป็คนดี เหตุใด์ถึงไม่ยุติธรรมเช่นนี้!”
“ใช่ ข้ายังจำได้ ตอนนั้นเพื่อหาเสบียงมาให้พวกเรา ท่านแม่ทัพถึงกับนำที่ดินของตัวเองไปขาย”
คนที่รู้เื่บอกเล่าเื่ของแม่ทัพหนิงให้คนที่ไม่รู้เื่ฟัง ซึ่งปฏิกิริยาของทุกคนเมื่อฟังจบคือ “เป็ไปไม่ได้ ท่านแม่ทัพหนิงไม่มีทางทำเื่เช่นนั้นแน่ จะต้องมีคนใส่ร้ายท่านเเม่ทัพหนิงอย่างแน่นอน!”
ครั้นหนิงมู่ฉือได้ฟังประโยคอันน่าซาบซึ้งใจนี้ น้ำตาพลันไหลออกมา นางคิดมาตลอดว่า นางสู้เพียงลำพัง นางจึงคิดที่จะยอมแพ้ ทว่าตอนนี้คำพูดของคนเหล่านี้ได้ทำให้นางมีกำลังใจ
นางกำหมัดแน่น เอ่ยกับทุกคนว่า “ทุกคนไม่ต้องกังวล ข้าจะล้างแค้นให้บิดาของข้า ทวงคืนความยุติธรรมให้บิดาของข้าเอง!”
จบประโยคนี้ทุกคนต่างรู้สึกซาบซึ้งและปรบมือออกมา บางคนถึงขั้นะโว่า “คุณหนูไม่ต้องเป็ห่วง หากมีเื่ใดอยากให้ช่วย จำเอาไว้ว่าจะมีพวกเราทุกคนอยู่เคียงข้างท่าน!”
นางรู้สึกตราตรึงใจยิ่ง แววตาฉายความมั่นคงเด็ดเดี่ยวขณะพยักหน้า “ได้ ข้าจะเดินต่อไป และจะนำพาความหวังของทุกคนไปด้วย”
ครั้นเฉินเหว่ยได้ยินประโยคนี้ของหนิงมู่ฉือก็ยิ้มอย่างดีใจออกมา
จ้าวซีเหอไม่คาดคิดเลยว่าหนิงมู่ฉือคิดได้แล้ว ริมฝีปากจึงยกเป็รอยยิ้มอ่อนๆ ผิดกับเฉินเกอ แม้ริมฝีปากจะยกเป็รอยยิ้มบางเบา แต่เป็รอยยิ้มที่ดูเ็ปและขมขื่นเหลือคณา
เฉินเกอถอนหายใจอย่างแ่เบาออกมา เป็เช่นนี้ก็ดี
ทหารทุกคนต่างพากันดีใจ ร้องเพลงที่เคยร้องตอนอยู่ในค่ายทหารออกมา อารมณ์ของทุกคนส่งมายังหนิงมู่ฉือด้วยเช่นกัน ตัวนางในตอนนี้จึงเต็มไปด้วยความรู้สึกฮึกเหิม
แม้แต่เฉินเหว่ยก็ทนไม่ไหว เขาร่วมร้องเพลงเช่นกัน เป็เพลงที่ทรงพลังและปลุกใจได้อย่างดี เสียงเพลงก้องกังวาลอยู่ในใจ ทำให้ในใจของทุกคนเต็มไปด้วยกำลังใจและพลัง
ทหารบางคนถึงขั้นร้องเพลงไปด้วยร่ำไห้ไปด้วย
ทุกคนร้องเพลงอยู่นานจนเสียงเริ่มแหบ แต่ก็ไม่มีใครหยุดร้อง หนิงมู่ฉือเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาที่หางตา นางร้องเพลงจนเสียงแหบแห้ง ความกดดันที่เคยมีก่อนหน้านี้สลายหายไปไม่มีเหลือ ในใจนางตอนนี้ทั้งโล่งทั้งสบาย
จ้าวซีเหอลูบผมสีดำประดุจน้ำหมึกของหนิงมู่ฉือพร้อมกับก้มหน้าลงไปสูดกลิ่นหอม ในใจเขารู้สึกสงบอย่างน่าแปลก
เฉินเกอสะกิดไหล่ก่อนจะทำท่าบอกว่า ให้ออกไปข้างนอกด้วยกันสักหน่อย จ้าวซีเหอชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเดินตามออกไป
มาถึงด้านนอก เฉินเกอยืนพิงประตู จ้าวซีเหอรู้ดีว่าเฉินเกอจะพูดเื่ใด เขาตบไหล่อีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่คิดอะไรมาก แม้คนตรงหน้าจะเป็ศัตรูความรักของตนก็ตาม “เหตุใดเล่า ไม่ยินยอมหรือ”
คิ้วที่ทั้งหนาและดกดำของเฉินเกอเลิกขึ้น ยิ้มบางๆ พร้อมกับยกมือกอดอก “เหตุใดข้าต้องไม่ยินยอมด้วย ต่อไปหากข้าไม่อยู่ด้วย ท่านดูแลนางด้วยก็แล้วกัน”
จ้าวซีเหอยิ้มอย่างเบิกบาน “เกิดอันใดขึ้น จะยอมแพ้แล้วหรือ”
“ข้าไม่ได้ยอมแพ้ ข้าแค่คิดว่านางไม่สมควรใช้ชีวิตอยู่ที่ชายแดนแห่งนี้ นางมีหน้าที่และภาระที่ต้องไปทำ ถ้าอยู่ที่นี่ ข้ากลัวว่าภายหน้านางจะรู้สึกเสียใจภายหลัง” ใบหน้าสีน้ำตาลเข้มของเฉินเกอหม่นลง
จ้าวซีเหอถอนหายใจออกมา “ข้าชื่นชมคนในยุทธภพเช่นเ้ามาก บนตัวเ้ามีกลิ่นอายของอิสระ ไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลนางอย่างดี”
เฉินเกอยิ้มพร้อมกับตบไหล่จ้าวซีเหอ “เช่นนั้นพวกเราไปดื่มด้วยกันสักจอก ั้แ่ได้เจอฉือเอ๋อร์ ข้ายังไม่ได้ดื่มสุราสักจอกเลย อีกทั้งไม่กล้าดื่มต่อหน้านาง กลัวจะเสียภาพลักษณ์”
จ้าวซีเหอยิ้มพร้อมกับพยักหน้า ยื่นมือไปตบไหล่เฉินเกอทีสองที “ได้ ข้าจะไปกับเ้า”
ทั้งสองเดินเข้าไปยังโรงสุรา โรงสุราแห่งนี้ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ทั้งสองคนเดินขึ้นไปบนชั้นสอง นั่งลงยังโต๊ะที่ตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งซึ่งสามารถมองเห็นภาพวิวทิวทัศน์ทั่วทั้งเมืองเทียนหลิงได้