เมิ่งอู่ก้าวลงจากบันไดหน้าร้าน สาวเท้าตรงไปตามถนน ท่ามกลางผู้คนพลุกพล่านที่สัญจรไปมา
นางมิได้คาดคิดว่าซวี่เฉินฟางจะเดินตามนางมาตลอดทาง เขาลูบพัดคลี่ในมือ ฝ่ามือเขาขาวผ่องราวกับหิมะ เอ่ยว่า “เจอกันแบบตั้งใจไม่ดีเท่าเจอกันโดยบังเอิญ ข้าเลี้ยงอาหารเ้าสักมื้อเป็อย่างไร?”
เมิ่งอู่กล่าว “เ้าเดินตามข้ามาสองถนนแล้ว บังเอิญตรงไหน?”
ซวี่เฉินฟางผลิยิ้มก่อนกล่าว “ถนนเส้นนี้กว้างขวางเช่นนี้ ใครๆ ก็เดินได้ เ้ากับข้าเพียงบังเอิญเดินมาทางเดียวกันเท่านั้น”
สุดท้ายซวี่เฉินฟางก็เดินตามเมิ่งอู่ไปทั่วเมืองเกือบครึ่งรอบใหญ่ ประเด็นสำคัญคือเมิ่งอู่สลัดเขาไม่หลุด
เมิ่งอู่หันกลับไปกล่าว “คุณชายรองซวี่ หากเ้าว่างนักและทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ก็ไปหาความสำราญที่หอคณิกา ฟังเพลงขับกล่อมโอบกอดสาวงามไม่ดีกว่าหรือ เดินตากแดดไปรอบๆ เช่นนี้มิใช่ทุกข์ทรมานหรอกหรือ?”
ซวี่เฉินฟางตอบ “ข้าเพิ่งฟังเพลงขับกล่อมจากสาวงามเสร็จแล้วออกมาก็พบเ้าเข้าพอดี ดูเหมือนเ้าจะรู้จักข้าดีนะ”
เมิ่งอู่กล่าว “คนทั้งเมืองล้วนพูดถึงเ้า ข้าไม่อยากรู้จักก็ยังยาก”
ครั้งก่อนที่นางไปเรือนสกุลซวี่และเจอเขาครั้งแรก เห็นท่วงท่าสง่างาม คล่องแคล่วฉับไวนั้น ไม่รู้ว่าสะกดจิตสะกดใจโฉมงามไปได้สักกี่มากน้อย เมิ่งอู่รู้ว่าถ้าไม่ใช่แปดคนเก้าคนก็ใกล้เคียงนี้
ดูคล้ายตระกูลซวี่มีเพียงคุณชายรองผู้นี้เท่านั้นที่มีรูปโฉมและสีหน้าท่าทางเช่นนี้ คงมีเพียงเขาที่ยังคงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไร้กังวล ในขณะที่คนอื่นๆ ในตระกูลซวี่ต่างแก่งแย่งชิงดีกันอย่างเปิดเผยและในทางลับเพื่อผลประโยชน์
ซวี่เฉินฟางเอ่ยถามอย่างสนใจ “พวกเขาพูดถึงข้าอย่างไรบ้าง?”
พวกเขานินทาเสียๆ หายๆ ทั้งเื่สำรวยเสเพลและสุรุ่ยสุร่าย แต่เื่ชาติกำเนิดของเขาน่าจะเป็คำวิจารณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา ผู้คนต่างกล่าวว่าเขาเป็เด็กสารเลวที่เกิดจากหญิงคณิกา
หากชาติกำเนิดของคนคนหนึ่งสามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเองก็คงจะดี แต่ใครเล่าจะตัดสินใจเื่เช่นนี้ได้ มิอาจแสดงความคับข้องใจ หรือเสียใจไปก็ไร้ประโยชน์
ตราบใดที่ผู้อื่นไม่ยั่วยุเมิ่งอู่ นางย่อมไม่ริเริ่มทำร้ายต่อผู้อื่นก่อนโดยธรรมชาติ
ดังนั้นนางจึงกล่าวเพียง “ในใจของเ้าไม่รู้ตนเองหรือ?”
ซวี่เฉินฟางหรี่ตาพลางยิ้ม เอ่ยว่า “ข้าอยากฟังเ้าพูดถึงข้า” ดูคล้ายเขาจะไม่ได้รับผลกระทบจากเื่นี้เลย ราวกับเป็เื่ราวของผู้อื่น
เมิ่งอู่เดินต่อไปข้างหน้า “หากเ้ายังเดินตามข้าอีก ข้าจะทุบตีเ้าแล้วนะ”
ซวี่เฉินฟางกล่าวอย่างสบายๆ “เฮ้อ เ้าก็เห็นแล้วว่ายามนี้ข้าเป็เพียงสุนัขจรจัดไร้หนทางไร้เรือนให้กลับ ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เดินเล่นบนถนนอีก”
หากสามารถพูดถึงประสบการณ์น่าเศร้าของตนเองได้อย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ มองผาดเดียวก็รู้ว่าเป็คนหน้าด้านหน้าทนไร้ยางอาย มิเช่นนั้นจะมีคนมากมายในเมืองรอดูเขาจบสิ้นหรือ
แต่นอกจากหน้าด้านหน้าทนแล้ว ดูเหมือนว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีก
เขามิอาจแสดงท่าทางชวนให้เวทนาสงสารและตกต่ำ ยิ่งมิอาจอ่อนแอและท้อแท้ มิเช่นนั้นคนที่ยืนพูดจาเหน็บแนมแดกดันอยู่ข้างๆ คงกระตือรือร้นที่จะก้าวขึ้นหน้ามาเหยียบย่ำเขาให้จมดิน
แม้แต่ในหมู่บ้านของเมิ่งอู่ก็ยังเป็เช่นนี้ แล้วในเมืองจะไม่เหมือนกันได้อย่างไร
เมื่อเห็นว่ากำลังจะเดินไปถึงประตูเมือง นางกำลังจะหันกลับไปพูดกับซวี่เฉินฟางว่า “ข้ากำลังจะออกจากเมือง เ้ายังอยากไปเดินเล่นนอกเมืองหรือไม่?” แต่เมื่อหันกลับไป พบว่าซวี่เฉินฟางหายไปแล้ว
ดูท่าว่าเขาคงออกมาเดินเล่นจริงๆ
เมิ่งอู่ไปหาลุงหลิวที่ประตูเมือง แล้ววางของไว้บนเกวียนวัว ลุงหลิวซื้อสินค้าที่้าซื้อเรียบร้อยแล้ว รอเพียงให้นางกลับมา
บัดนี้เป็เวลาเที่ยงวัน รอกลับถึงหมู่บ้าน ดวงตะวันน่าจะตกดินแล้ว เมิ่งอู่กล่าว “ท่านลุงหลิวรอสักครู่ ข้าจะไปซื้อของกินระหว่างทาง”
ลุงหลิวไม่ได้รีบร้อน จึงรออยู่ใต้ร่มไม้สักพัก
เมิ่งอู่กลับเข้าเมืองอีกครั้ง นางไม่ลืมซื้อขนมให้นางเซี่ยและอินเหิง นางยังซื้อไก่ขอทานตัวหนึ่งเพื่อนำกลับไปกินเป็มื้อเย็นที่เรือน นอกจากนั้นยังซื้อสุราหนึ่งกาและไก่ย่างให้ลุงหลิวด้วย
ทว่าพอเมิ่งอู่ถือของกลับมา เงยหน้าก็เห็นบุรุษชุดแดงยืนอยู่ใต้ร่มไม้อย่างไม่คาดคิด
ลมกระโชกแรง เงาไม้เหนือศีรษะของเขาส่ายไหวเอน เขาหรี่ตาดั่งถูกแต่งแต้มด้วยหมึก เสื้อผ้าและเรือนผมพลิ้วไหวตามแรงลม ลุงหลิวที่อยู่ข้างๆ เขากำลังสนทนากับเขาท่าทางรื่นรมย์ยิ่งยวด
ซวี่เฉินฟางเห็นนางเช่นกัน เขาผลิยิ้มให้นาง
พลันนั้นเมิ่งอู่รู้สึกว่าหน้าผากแข็งเกร็ง นางประมาทเกินไป จึงลืมเตือนลุงหลิวให้ระวังบุรุษผู้นี้ คาดไม่ถึงเลยว่าเพียงชั่วครู่ที่นางไม่อยู่ เขาก็เอาชนะใจลุงหลิวได้แล้ว…
เมิ่งอู่เดินเข้าไป ลุงหลิวรีบเอ่ยทักทาย “เมิ่งอู่ มาเร็วเข้า ญาติผู้พี่ฝั่งมารดาที่เป็ญาติห่างๆ ของบ้านเ้ารออยู่นานแล้ว”
เมิ่งอู่หน้ามืดครึ้ม ญาติห่างๆ? ญาติผู้พี่ฝั่งมารดา?
เห็นชัดว่าซวี่เฉินฟางเลี้ยงอาหารและเครื่องดื่มเลิศรสลุงหลิว เวลานี้ลุงหลิวกำลังดื่มจนหน้าแดงก่ำ ข้างๆ วางใบบัวไว้หนึ่งใบ บนใบบัวมีไก่ย่างเหลืออยู่ครึ่งตัว…
ซวี่เฉินฟางผลิยิ้ม หรี่ตาก่อนเอ่ย “ที่แท้เ้าชื่อเมิ่งอู่ ญาติผู้น้องตัวน้อยของข้า พวกเรารอเ้านานแล้ว”
เมิ่งอู่เหลือบมองเขาผาดหนึ่ง ก่อนกล่าวกับลุงหลิว “ท่านลุงหลิว ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่มีญาติผู้พี่ผู้ชายที่เป็ญาติห่างๆ หรอกเ้าค่ะ”
ลุงหลิวกล่าว “ยามที่ผู้าุโเซี่ยพาท่านแม่เ้ามาที่หมู่บ้านของพวกเราครั้งแรก เ้ายังไม่เกิดเลย ดังนั้นจึงเป็เื่ปกติที่เ้าจะไม่รู้ ยามที่ผู้าุโเซี่ยเพิ่งมาถึงที่นี่ เขาไม่เคยเอ่ยถึงญาติสนิทมิตรสหาย แต่คนเราจะไม่มีญาติมิตรได้อย่างไร คงไม่ใช่ผุดขึ้นมาจากซอกหินกระมัง?”
ซวี่เฉินฟางกล่าวเสริม “ใช่”
เมิ่งอู่ “…”
ลุงหลิวกล่าวต่อ “อย่ามัวเสียเวลาเลย ขึ้นเกวียนเถิด พอกลับไปถึงหมู่บ้านแล้วก็ไปถามท่านแม่เ้า ทุกอย่างก็จะชัดเจนเอง”
เมิ่งอู่ยังไม่ทันโต้ตอบ ซวี่เฉินฟางก็ปีนขึ้นไปเกวียนวัวโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
เมิ่งอู่กล่าวเสียงเ็า “คนสกุลซวี่ เ้าลงมาประเดี๋ยวนี้!”
ซวี่เฉินฟางหันมองลุงหลิวแล้วฟ้อง “ท่านลุงหลิว ท่านดูสิ เมิ่งอู่ไล่ข้า”
ลุงหลิวหันมองเมิ่งอู่อย่างไม่เห็นด้วย “เมิ่งอู่ เ้าทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ญาติผู้พี่ของเ้าตั้งใจกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมโดยเฉพาะ เหตุใดเ้าถึงขับไล่เขาไปเล่า? มีญาติอยู่ที่บ้านย่อมดีกว่า จะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน พวกเ้าแม่ลูกจะได้ไม่ถูกผู้อื่นรังแก”
เมิ่งอู่อธิบาย “เขาไม่ใช่ญาติผู้พี่ของข้าจริงๆ…”
ลุงหลิวกล่าว “ถึงเขาไม่ใช่จริงๆ แต่เขาจ่ายค่าโดยสารให้ข้าแล้ว ระหว่างทางข้าก็ต้องไปส่งเขาอยู่ดี เมิ่งอู่ รีบขึ้นมาเร็วเข้า พวกเราจะกลับกันแล้ว”
สุดท้ายเมิ่งอู่จึงได้แต่ปีนขึ้นไปบนเกวียนวัว แล้วนั่งอยู่ด้านหลังกับซวี่เฉินฟาง
นางประเมินศัตรูต่ำเกินไป ความงามนี่ช่างอันตรายจริงๆ!
เห็นว่าเขาเป็ถึงบุรุษหนุ่มที่กำลังรุ่งโรจน์ แต่กลับมีเื่ให้สนทนากับลุงหลิวที่เป็ชาวบ้านในหมู่บ้านอายุสี่สิบห้าสิบปี ทั้งยังคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ลุงหลิวถึงกับเสียใจที่ไม่ได้พบเขาเร็วกว่านี้ ด้วยอยากจะสาบานเป็พี่น้องกับเขา เมิ่งอู่คิดในใจ เขาทำได้อย่างไร?
นางเดินจากไปเพียงระยะเวลาสั้นๆ เขาก็ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้ หนำซ้ำยังสืบเื่ราวของนางกับนางเซี่ยจากปากลุงหลิวจนหมดเปลือก
บุรุษผู้นี้กลายเป็ปีศาจในตำนานกระมัง?
ซวี่เฉินฟางเป็คนเกียจคร้าน หากนอนได้ก็จะไม่ยอมนั่ง ดังนั้นไม่นานเขาก็ทิ้งตัวลงนอนบนเกวียนวัวโดยหนุนแขนตนเองไว้ เหนือศีรษะมีใบบัวกลมสีเขียวมรกตสองใบที่ไม่รู้ว่าเขาไปเก็บมาจากที่ใดช่วยบังแดดให้เขาพอดิบพอดี
เขาตะแคงหน้ามองเมิ่งอู่ เมื่อสบกับสายตาเ็าและพินิจพิเคราะห์ของนาง เขาก็ยิ้มประเดี๋ยวหนึ่งแล้วกล่าว “ก่อนหน้านี้ยามที่ข้าให้เ้ามองข้าดีๆ เ้าก็ปฏิเสธที่จะมอง ยามนี้กลับมองอย่างตั้งอกตั้งใจเชียว”