ป๋ายเข่อเหยียนลุกขึ้นยืน สายตาของเธออยู่ในระดับเดียวกับเด็กหนุ่ม ภายใต้แสงไฟสลัวในบ้านหลังนี้ ใบหน้าของเด็กหนุ่มดูน่ากลัวเป็อย่างยิ่ง
“เธอพูดออกมาเพราะใช้อารมณ์เป็ที่ตั้งทั้งนั้น เธอสู้ฮั่วต้าซานได้หรือ? ใจเธอก็รู้ดีว่าหากเขาอยากพาฮั่วเสี่ยวเหวินกลับไปก็ย่อมทำได้ง่ายๆ อีกอย่าง เธอจะรั้งให้ฮั่วเสี่ยวเหวินอยู่กับเธอต่อในสถานะอะไร?”
ป๋ายเข่อเหยียนเพียงแค่พูดความจริงออกมา ทว่ามันกลับบาดหูของจางเจียิยิ่ง ดวงตาของเขาหรี่ลงด้วยความโมโห ทำให้หน้าตายิ่งน่ากลัวทบเท่าทวีคูณ
ป๋ายเข่อเหยียนเหยียดยิ้ม เธอหันไปมองฮั่วเสี่ยวเหวินที่ยังอยู่บนเตียงอิฐ
“ทั้งที่รู้ว่าอยู่ที่นี่ไปก็มีแต่จะถูกคุณย่ากับคุณพ่อตามมารังควาน แต่หลานก็ยังไม่ยอมที่จะตามคุณลุงกับป้าสะใภ้เข้าเมืองอีก?”
ป๋ายเข่อเหยียนเอ่ยพร้อมสบสายตาเธอ ฮั่วเสี่ยวเหวินที่รูปร่างยังเป็เด็กวัยห้าหกขวบพยักหน้าน้อยๆ
ภายในบ้านซอมซ่อหลังนี้พลันถูกบรรยากาศแปลกประหลาดปกคลุม ป๋ายเข่อเหยียนรู้สึกอับจนหนทาง
แต่หลานสาวร่างผอมบางกลับมีดวงตาเป็ประกาย
“หลานไม่อยากแยกจากกับพี่ชายคนนี้ใช่ไหม? แต่คุณลุงเป็ห่วงหลานมากนะจ๊ะ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณป้าสะใภ้ช่วยบอกคุณลุงให้หน่อยได้ไหมคะว่าไม่ต้องเป็ห่วงฮั่วเสี่ยวเหวิน”
ป๋ายเข่อเหยียนรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ตอนที่พูดกับสามีก่อนหน้านี้ เธอมีความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยม แต่ต้องกลับไปทั้งอย่างนี้ แม้แต่เด็กสิบขวบก็ยังจัดการไม่ได้
“ต่อให้ป้าสะใภ้บอก คุณลุงก็ยังคงเป็ห่วงหลานอยู่ดี เอาแบบนี้ดีไหมจ๊ะ? หลานอยากอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน?”
ฮั่วเสี่ยวเหวินกะพริบตาปริบๆ
ป๋ายเข่อเหยียนถือโอกาสตีเหล็กในตอนที่ยังร้อน “พี่ชายของหลานไม่อาจอยู่ข้างกายหลานได้ตลอดเวลา แต่อีกไม่กี่ปีเขาก็จะบรรลุนิติภาวะแล้ว ทั้งเขายังต้องทำงาน เมื่อถึงเวลานั้นหลานควรที่จะไปอยู่กับคุณลุงในเมือง”
“แค่พี่เจียิทำงานก็อยู่กับหนูไม่ได้แล้วงั้นเหรอคะ?”
ฮั่วเสี่ยวเหวินทวนคำพูดของป๋ายเข่อเหยียน
“ก็ใช่น่ะสิ เด็กโง่ สักวันพี่ชายของเธอก็ต้องแต่งงาน ดังนั้นจะอยู่กับหลานไม่ได้อีกแล้ว งั้นเอาแบบนี้ดีไหมจ๊ะ? ในเมื่อเธออยากจะอยู่ที่นี่ เช่นนั้นก็อยู่ไปก่อนสามปี เมื่อครบกำหนดแล้ว ถ้าเธออยากที่จะเข้าไปอยู่ในเมือง ป้าสะใภ้ก็จะมารับ เช่นนี้ดีหรือไม่?”
สามปีหรือ ดีไม่ดีแค่ปีเดียวเด็กน้อยก็ทนไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็ต้องตามป้าสะใภ้คนนี้กลับเข้าไปในเมืองด้วย
แต่นึกไม่ถึงว่าฮั่วเสี่ยวเหวินจะพยักหน้าเห็นด้วยกับป๋ายเข่อเหยียน
“ตกลงค่ะ เช่นนั้นอีกสามปีคุณลุงค่อยมารับหนู หนูจะยอมกลับไปแต่โดยดี แต่มีข้อแม้ว่าคุณลุงจะต้องพาพี่เจียิไปด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วหนูจะไม่ยอมกลับไป”
เธอเอ่ยพร้อมกับทำท่าชูสามนิ้ว
ป๋ายเข่อเหยียนรู้สึกลำบากใจขึ้นมาอีกรอบ นี่ยังจะให้เธอพาคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรเลยกลับไปด้วยอีกเหรอ
แต่เมื่อลองคิดดูดีๆ เวลาสามปีก็เป็เวลาที่ค่อนข้างนาน ตอนนี้ยังเป็แค่เด็กสองคนที่อยู่ด้วยกัน แต่วันหน้าพวกเขาอาจจะทะเลาะจนแยกทางกันก็เป็ไปได้ไม่ใช่เหรอ?
“ได้จ้ะ ป้าสะใภ้รับปาก หลังจากสามปี ป้าสะใภ้จะมาพาหลานกับพี่ชายไปจากที่นี่ด้วยกัน”
นี่น่าจะเป็ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้แล้ว ป๋ายเข่อเหยียนคิดในใจว่าอย่างน้อยก็สามารถกลับไปอธิบายเื่ราวให้สามีฟังได้
เธอหยิบธนบัตรปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วยื่นใส่มือให้กับฮั่วเสี่ยวเหวิน
“ในบ้านหลังนี้ไม่มีอะไรเลย ป้าสะใภ้จะให้เงินหลานไว้ อยากกินอะไรก็ไปซื้อเอานะจ๊ะ”
ธนบัตรปึกนี้ที่ป๋ายเข่อเหยียนให้มามีมูลค่าสูงสุดอยู่ที่หนึ่งร้อยหยวน ซึ่งในยุค 90 ธนบัตรร้อยหยวนฉบับเก่านี้มีมูลค่าสูงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ฮั่วเสี่ยวเหวินคิดในใจว่าหากสามารถนำกลับไปอนาคตได้คงจะร่ำรวยไม่น้อย
จากนั้นป๋ายเข่อเหยียนก็ถือโอกาสเดินไปดูที่ห้องข้างนอก หล่อนพบโถข้าวสารที่ว่างเปล่า ซ้ำยังมีหนูตัวใหญ่นอนอยู่ก้นโถ มันวิ่งไปมาเมื่อได้ยินเสียงแต่กลับหนีออกมาไม่ได้เพราะโถมีขนาดสูงเกินไป ทำได้แต่ส่งเสียงจี๊ดๆ อยู่ข้างใน
เธอถอนหายใจ เดินกลับเข้ามาในห้องเดิมอีกครั้ง “ฉันจะไปซื้อข้าวสารให้พวกเธอสองคนที่ตลาด จากนั้นจะย้ายทะเบียนบ้านของฮั่วเสี่ยวเหวินไปอยู่กับหัวหน้าหมู่บ้าน”
……
ณ บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน เ้าอ้วนจับมือฮั่วเสี่ยวเหวินด้วยความดีใจ เขายิ้มจนเนื้อบนหน้าจับกันเป็ก้อน
ตอนที่ฮั่วต้าซานกับยายแก่ฮั่วมาหาฮั่วเสี่ยวเหวินก่อนหน้านี้ เ้าอ้วนคอยปกป้องเธออยู่ตลอด แม้กระทั่งยอมถูกทุบตีแทนเธอ เธอจึงเริ่มรู้สึกชอบเ้าอ้วนคนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว
“เยี่ยมไปเลย วันหน้าฉันจะได้เจอเธอทุกวันแล้ว วางใจได้เลย พ่อกับย่าของเธอไม่กล้ามารังแกเธออีกแล้ว ฉันจะเป็คนปกป้องเธอเอง”
เ้าอ้วนตบหน้าอกตัวเองเสียงดัง ลืมไปเสียสนิทว่าก่อนหน้านี้ตัวเองก็ถูกฮั่วต้าซานตีเช่นกัน
จางเจียิยืนหน้านิ่งอยู่ด้านข้าง
ฮั่วเสี่ยวเหวินยิ้มกว้างให้เ้าอ้วน เผยให้เห็นฟันขาวสวย
“ดีสิๆ ต่อไปฉันจะให้นายปกป้องนะ”
เ้าอ้วนรีบยืดอก
หัวหน้าหมู่บ้านมองหลานชายของตัวเองแล้วเลื่อนสายตามองไปทางเฉินเทียนเหลยในชุดเครื่องแบบทหารกับผู้ช่วยของเขา
“คุณจะย้ายทะเบียนบ้านของฮั่วเสี่ยวเหวินมาที่บ้านของผม?”
หัวหน้าหมู่บ้านตื่นเต้นจนพูดตะกุกตะกัก หลังจากเกิดเหตุความวุ่นวายก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งรู้ว่าแท้จริงแล้วฮั่วเสี่ยวเหวินเป็หลานสาวของเ้าหน้าที่คนนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าภรรยาของฮั่วต้าซานจะมีภูมิหลังใหญ่โตเช่นนี้
“คุณฟังไม่ผิด ผมหมายความตามนั้น”
เฉินเทียนเหลยกล่าวทวนซ้ำด้วยท่าทางจริงจัง
หัวหน้าหมู่บ้านรีบตอบตกลง “ผมจะจัดการทันที จะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้”
เมื่อพวกเขากลับมายังบ้านของจางเจียิอีกครั้ง เฉินเทียนเหลยก็รู้สึกไม่อาจหักใจทิ้งเธอลง
“หากมีปัญหาอะไรให้ไปหาหัวหน้าหมู่บ้านได้เลย เขาจะเป็คนดูแลหลานเอง และฉันซื้อข้าวสารกับเสบียงสำหรับสองเดือนมาให้แล้ว หากเจอปัญหาก็โทรศัพท์มาที่หมายเลขนี้ได้”
เขาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา เขียนชุดตัวเลขลงไปอย่างรวดเร็ว แล้วยื่นให้ฮั่วเสี่ยวเหวิน
ฮั่วเสี่ยวเหวินปรายตามองเพียงครั้งเดียวก็จำหมายเลขได้ เธอเก็บกระดาษแผ่นนั้นลงในกระเป๋าเสื้อตัวเองอย่างดี
“ไม่ต้องห่วงค่ะ คุณลุง หากคิดถึงหนูก็มาเยี่ยมบ่อยๆ ได้ค่ะ”
เฉินเทียนเหลยพยักหน้า
ในที่สุดพวกเฉินเทียนเหลยกับป๋ายเข่อเหยียนก็จากไป ฮั่วเสี่ยวเหวินเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ลำคอของเธอแห้งผากไปหมด
“ดื่มน้ำสักหน่อยเถอะ”
จางเจียิยกชามกระเบื้องปากบิ่นใบหนึ่งเข้ามา แค่มองก็รู้ว่าในชามคือน้ำบ่อ
แต่ในยุค 80 น้ำจากใต้ดินน่าจะมีการปนเปื้อนไม่เยอะมากนัก สามารถดื่มได้
เธอจึงรับชามปากบิ่นมาดื่มจนเกลี้ยง
“น้ำนี้หวานมาก”
ในที่สุดสีหน้าไร้อารมณ์ของจางเจียิก็เริ่มมีความรู้สึกขึ้นมาบ้างแล้ว
“ฉันไปต้มโจ๊กให้เธอกินดีกว่า”
“เยี่ยมไปเลย ในที่สุดก็จะได้กินโจ๊กขาว”
เ้าของร่างเดิมโตมาขนาดนี้ อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโจ๊กขาวคืออะไร
แต่ก็ไม่ถูกไปเสียหมด ่เวลาที่เ้าของร่างเดิมได้กินดีเพียงไม่กี่ครั้งนั้นล้วนมาจากจางเจียิหรือไม่ก็เ้าอ้วนแอบเอามาให้
โจ๊กขาวในความทรงจำส่งกลิ่นหอมกรุ่นโชยออกมา ช่างยั่วยวนใจเหลือเกิน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้