เพราะเจิ้งหยวนไม่ไป เลยไม่รู้ว่าสองสามีภรรยาเฉินชุ่ยอวิ๋นกับเจิ้งเฉวียนกังโกรธลมแทบจับที่บ้านคนขาพิการแซ่หลิว สินเดิมของเจิ้งสยาโหรงเหรงจนไม่มีแม้กระทั่งหีบสินเดิม ผ้าขาดเก่าที่ใช้ห่อเสื้อผ้าโทรมๆ ก่อนหน้านี้ของเจิ้งสยา ก็คือสินเดิมของเธอเอง แม้คนขาพิการแซ่หลิวไม่มีคุณพ่อคุณแม่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีญาติสนิท เมื่อญาติเข้ามาดูห้องหอ เหอะ ขายขี้หน้าชาวบ้านสุดๆ เลยละ
แถมเจิ้งเฉวียนกังยังเป็ถึงหัวหน้ากอง ส่งผลให้คนอื่นเหน็บแนมเขาต่อหน้าต่อตาว่าหัวหน้ากองอย่างเขาไม่รู้จักช่วยเหลือพี่ชายบ้าง จนครอบครัวพี่ชายอัตคัดไม่มีกระทั่งสินเดิมจะยกให้ลูกสาว มิหนำซ้ำ เงินสินสอดร้อยหยวนของคนขาพิการแซ่หลิวนั้นถูกนำไปใช้จ่ายตรงไหนหมดก็ไม่รู้ นี่มันไม่ต่างอะไรกับการซื้อสะใภ้ขายลูกสาวเลย ยิ่งไปกว่านั้นสกุลเจิ้งยังถูกชาวบ้านชาวช่องในกองตราหน้าว่าตระหนี่ ไม่ควรคบค้าสมาคมด้วย
เจิ้งเฉวียนกังจะพูดอันใดได้? ทำได้เพียงเงียบปากให้คนพูดฉีกหน้าอย่างนั้น
หากเป็หัวหน้ากองที่แข็งกร้าว คนอื่นๆ คงไม่มีใครกล้าพูดอะไรแบบนี้
ด้วยกลัวโดนหาเื่ลับหลัง
แต่ใครใช้ให้คนทั้งกองรู้เล่าว่าเจิ้งเฉวียนกังเป็คนซื่อสัตย์เล่า?
ทางเฉินชุ่ยอวิ๋นยังพอพูดแก้ตัวได้ บอกว่าเจิ้งเฉวียนกังเป็น้องชาย พี่ชายพี่สะใภ้เขาแต่งลูกสาวอย่างไร เขาในฐานะน้องชายจะตัดสินใจอะไรได้
สรุปแล้วเจิ้งเฉวียนกังโกรธจนกินข้าวได้เพียงไม่กี่คำ เฉินชุ่ยอวิ๋นที่เห็นสามีเป็เช่นนี้ก็นึกโมโหไม่น้อย
หลังประสบเหตุการณ์เช่นนี้ เฉินชุ่ยอวิ๋นลอบสาบานกับตัวเองในใจว่าจะต้องให้เจิ้งหยวนแต่งออกอย่างยิ่งใหญ่ เตรียมสินเดิมเยอะๆ ให้คนทั้งกองรู้ว่าเธอ... เฉินชุ่ยอวิ๋นไม่เหมือนกับซ่งจินฮวา!
โดยทั่วไปแล้วสินเดิมของคนในชนบทก็คือผ้าห่ม ตอนแรกเฉินชุ่ยอวิ๋นตั้งใจจะเตรียมผ้าห่มชุดใหม่ให้เจิ้งหยวนสักสี่ผืน แต่ทว่าหลังกลับจากบ้านคนขาพิการแซ่หลิว เธอจึงตัดสินใจยกให้ลูกสาวถึงหกผืน!
เจิ้งเอ๋อตามสองสามีภรรยาเฒ่ากลับมาด้วย เจิ้งหยวนเห็นสีหน้าพวกเขาไม่ค่อยดี จึงบุ้ยปากถาม “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
เจิ้งเอ๋อเล่าคำพูดถากถางแดกดันที่สองสามีภรรยาได้ยินที่บ้านคนขาพิการแซ่หลิวก่อนหน้าคร่าวๆ แล้วเปลี่ยนเื่ถาม “แกล่ะ เกิดอะไรขึ้นระหว่างแกกับเจิ้งสยา?”
“พวกพี่คงกินไม่อิ่มใช่ไหม?” เจิ้งหยวนยกชามตะเกียบที่เพิ่งล้างเสร็จขึ้นมา
“ฉันจะไปต้มมันเทศฝานมาให้พวกพี่…” ระหว่างนั้นเธอเองก็เดินไปพูดไปว่า
“ฉันไม่มีเื่อะไรกับพี่เสี่ยวสยาหรอก
พี่รู้ไหมป้าสะใภ้ใหญ่เคยมาคุยกับคุณแม่ให้ฉันปล่อยงานแต่งสกุลเฝิงไปด้วยซ้ำ…”
เธอเล่าเื่ก่อนหน้านี้ให้เจิ้งเอ๋อฟังสั้นๆ คาดไม่ถึงว่าเจิ้งเอ๋อจะอุทานว่า “หา! หยวนหยวน เสี่ยวสยาเป็ลูกพี่ลูกน้องแกนะ แกพูดแบบนั้นกับเธอข้างนอกได้ยังไง!”
ครั้นได้ยินเสียงอุทานของผู้เป็พี่สาว เจิ้งหยวนจึงค่อยๆ เทน้ำลงในหม้อพลางเอ่ยอย่างใจเย็น “หากเธอไม่พูดว่าฉันหาคนรักในอำเภอเมืองต่อหน้าคนอื่น ฉันก็ไม่สาดโคลนใส่หัวเธอหรอก ฉันไม่ได้คิดจะหาเื่เธอั้แ่แรกสักหน่อย เป็เธอที่ร้ายใส่ฉันก่อนเองนะ”
“แต่... แกก็ไม่ควรว่าเธอแบบนั้น เธอเป็ญาติผู้พี่แกนะ!” เจิ้งเอ๋อว่าพลางกระทืบเท้าอย่างขัดใจ
ทั้งยังไม่เข้าใจการกระทำของน้องสาวเธออีกด้วย
เจิ้งหยวนหันมองเธอแวบหนึ่ง เจิ้งเอ๋อดูโกรธมากจริงๆ ดวงตาจ้องเธอเขม็ง โกรธจนหน้าซีดหน้าเซียวไปหมด เธอถึงเพิ่งนึกออกว่าเจิ้งเอ๋อกับเจิ้งสยาเกิดปีเดียวกัน ทั้งสองโตมาด้วยกัน และสนิทสนมกันมากที่สุด เธอจำได้ว่าสมัยเจิ้งหยวนยังเล็กอยากเล่นกับพี่สาว แต่เจิ้งเอ๋อกลับไม่ชอบพาเธอไปด้วย เพราะพี่สาวเธอชอบเล่นกับเจิ้งสยามากกว่า
หลังหากล่องไม้ขีดไฟพบก็ดึงไม้ขีดออกมาก้านหนึ่ง พอจุดไฟจนติดแล้วก็โยนลงในเตา เจิ้งหยวนค่อยๆ เหลือบหางตาขึ้นพลางพูดกับเจิ้งเอ๋อ “พี่ไม่คิดบ้างเล่าว่าหากชื่อเสียงฉันถูกเธอทำลายจะเป็ยังไง? พี่เป็พี่สาวแท้ๆ ของฉันนะ
สรุปแล้วพี่เข้าข้างใครอยู่กันแน่?”
เจิ้งเอ๋อสะอึก คำพูดทั้งหมดจุกอยู่ในลำคอ เธอจึงไม่พูดอันใดต่อ ครั้นผ่านไปไม่กี่วินาทีเธอก็ขยับมานั่งข้างๆ เจิ้งหยวนแล้วถามว่า “งั้นคนรักในอำเภอเมืองนั่นเป็มายังไง? สรุปแล้วแกหาจริงๆ เหรอ?”
ท่ามกลางความกังวลของพี่สาว แต่เจิ้งหยวนกลับดึงฟืนออกมาจากกองฟืนข้างหลัง แล้วเติมเข้าไปอย่างใจเย็น ก่อนจะขานรับเสียงเบา
“แก แก…” เจิ้งเอ๋ออดบ่นเธอไม่ได้ “แกทำเื่พรรค์นั้นได้ยังไง? งานแต่งของสกุลเฝิงดีแค่ไหน
แกยังไม่รู้จักพออีกหรือไง? แกรู้ไหมหากคนอื่นรู้เื่ที่แกทำขึ้นมา
คนเขาจะด่าแกมั่ว…”
เจิ้งหยวนโดนตำหนิจนหัวโตไปหมดแล้ว จึงร้องตัดบทว่า “เอาละๆ พี่สาวของฉัน เื่มันผ่านไปแล้ว พี่อย่าพูดถึงมันอีกเลยดีกว่าไหม” เธอว่าพลางใส่แป้งข้าวโพดลงในหม้อ ขั้นตอนนี้เหลือเพียงแค่รอน้ำเดือด มันเทศฝานก็สุกแล้ว
“แกรำคาญฉันเหรอ ฉันพูดแบบนี้ไม่ใช่หวังดีกับแกหรือไง? แกดูเื่ที่แกก่อสิ เดือดร้อนเสี่ยวสยาไปด้วยแล้ว
ฉันรู้ดีว่าเสี่ยวสยาคงรู้เท่าไม่ถึงการหรอกก็เลยเผลอล่วงเกินแกเข้า
แต่ถ้าแกไม่ทำผิดก่อน เธอจะเกิดความคิดเลอะเลือนแบบนี้ไหม?”
ดูสิ ความคิดความอ่านของพี่สาวเธอเหมือนกับเจิ้งเฉวียนกังเปี๊ยบเลยจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็เป็คนผิดทุกประตูอยู่ดี เจิ้งหยวนคร้านจะพูดอีก จึงหาชามมาตักโจ๊กมันเทศจนเต็มแล้วยื่นให้เจิ้งเอ๋อ
ยื่นให้ถึงมือขนาดนี้แล้ว เจิ้งเอ๋อที่กำลังจะพูดปฏิเสธก็โดนเจิ้งหยวนขัดจังหวะเสียก่อน “ฉันทำเยอะ พี่กินรองท้องเถอะ ” ว่าแล้วก็ตักเพิ่มอีกสองชาม ก่อนยกไปให้เจิ้งเฉวียนกังกับเฉินชุ่ยอวิ๋นด้านใน
ครั้นเจิ้งหยวนเข้าไปในห้อง เฉินชุ่ยอวิ๋นกำลังวุ่นวายอยู่พอดี เธอลุกขึ้นเหยียบบนเก้าอี้เพื่อเอื้อมหยิบห่อผ้าขนาดใหญ่ ทำเจิ้งหยวนสะดุ้งใ รีบวางชามลงบนโต๊ะเข้าไปพยุงเฉินชุ่ยอวิ๋นทันที “แม่ แม่จะหยิบอะไรน่ะ?” ว่าแล้วก็หันมองหาเจิ้งเฉวียนกังต่อ “พ่อ ทำอะไรอยู่น่ะ? ไม่เห็นมาช่วยแม่บ้างเลย!” เฉินชุ่ยอวิ๋นเดิมทีเท้าเล็กเพราะเคยผ่านพิธีมัดเท้ามาก่อน
ย่อมยืนไม่มั่นคงอยู่แล้ว แต่ก็ยังดื้อดึงจะเหยียบบนเก้าอี้อีก
เจิ้งเฉวียนกังกำลังสูบบุหรี่อยู่ ดีร้ายอย่างไรเขาก็เป็หัวหน้ากอง ไม่ได้สูบยาเส้นเหมือนที่ผู้เฒ่าคนอื่นๆ ในหมู่บ้านสูบกัน เจิ้งเฉวียนกังสูบบุหรี่ของจินอวี๋ [1] ราคากล่องละ 1.5 เหมา แต่เขาก็ไม่ได้สูบบ่อย มันเปลืองเงิน วันนี้ดูท่าจะอารมณ์ไม่ดีจริงๆ ถึงสูบมัน ครั้นได้ยินเสียงบุตรสาวร้องเรียก เขาก็ปรายตามองมา ก่อนหัวเราะในลำคอเสียงต่ำอย่างไม่พอใจน้ำเสียงของเจิ้งหยวน
เฉินชุ่ยอวิ๋นจึงบอกเมื่อเห็นทีท่าของสามี “ไม่เป็ไร ฉันเอื้อมถึง” พูดแล้วก็หยิบห่อผ้าใบใหญ่ใบนั้นลงมา เจิ้งหยวนยื่นมือรับมาวางลงบนเตียง มันค่อนข้างหนักมากเลยทีเดียว
ห่อผ้าปริศนาถูกห่ออย่างแ่า ทว่าของข้างในเยอะผิดคาด ขนสีขาวๆ บางส่วนเลยทะลุออกมา ซึ่งมันก็คือปุยฝ้ายนั่นเอง
เฉินชุ่ยอวิ๋นนั่งตรงริมตั่ง เธอวางขาข้างหนึ่งไว้บนขอบเตียงแล้วแกะห่อผ้า ทันใดนั้นเอง ปุยฝ้ายนุ่มนิ่มพลันขยายตัวจนกลายเป็ก้อนใหญ่
“ว้าว ปุยฝ้ายเยอะแยะเลย!”
เฉินชุ่ยอวิ๋นทำหน้าภาคภูมิใจ “ฉันรวบรวมพวกนี้มาหลายปีไว้ทำผ้าห่มตอนแกแต่งงานน่ะ” หลังจากนั้นเธอก็พูดแผนของตนเองต่อ “ฉันอยากให้ผ้าห่มหกผืนเป็สินเดิมแก แต่ปุยฝ้ายพวกนี้ยังไม่พอ รอ่ฤดูใบไม้ร่วงก่อน ถ้าแบ่งปุยฝ้ายกันแล้ว ฉันจะเอามาทำผ้าห่มให้แกทั้งหมด”
ครอบครัวที่ให้ผ้าห่มลูกสาวหลายผืนขนาดนี้มีไม่มากนักในหมู่บ้าน คราวนี้เฉินชุ่ยอวิ๋นตั้งใจจะทุ่มหมดหน้าตักด้วยคิดว่าคนที่ลูกสาวแต่งด้วยเป็ถึงทหาร เงินเดือนเดือนหนึ่งค่อนข้างมาก เขาต้องให้สินสอดไม่น้อยแน่ หากไม่เตรียมสินเดิมเยอะๆ แต่งออกไปจะโดนคนดูแคลนเอา นอกจากนี้ ครอบครัวเฝิงเจี้ยนเหวินยังตั้งใจจะให้พวกเขาสองสามีภรรยาแยกบ้านทันทีที่แต่งงาน ลองนึกดูแล้ว บ้านใหม่คงไม่มีข้าวของเครื่องใช้อะไรเลย ฤดูหนาวที่นี่อากาศหนาวจัด กลางคืนต้องห่มผ้าสองผืน ปูผ้าห่มคลุมเตียงอีกสองผืน ที่เหลืออีกสองผืนค่อยให้เจิ้งหยวนใช้หลังคลอดลูกต่อได้ เพราะฉะนั้น เฉินชุ่ยอวิ๋นจึงมั่นใจว่าหกผืนกำลังดีแล้ว
เฉินชุ่ยอวิ๋นวางแผนอย่างดี แต่ทว่าอยู่ดีๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็หุบลงทันใด เธอมองไปข้างหลังเจิ้งหยวน แล้วค่อยกวักมือเรียก “เสี่ยวเอ๋อ รีบมานี่เร็ว ฉันกำลังคุยเื่สินเดิมของน้องแกน่ะ”
“แม่ แม่วางแผนจะให้ผ้าห่มหกผืนเป็สินเดิมกับเจิ้งหยวนเหรอ?” เจิ้งเอ๋อเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่ไม่เป็ธรรมชาตินัก
เชิงอรรถ
[1] จินอวี๋ หมายถึง ฉลากบุหรี่ปลาทองที่ผลิตโดยโรงงานยาสูบเสฉวนในปี 1970
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้