เจียงเฉิงเยว่รู้ว่าอีกฝ่ายอาจเป็ผู้ที่ทรงพลังยิ่ง เกรงว่าตนเองจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ ดังนั้นจึงพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อใช้พลังทั้งหมดเมื่อเริ่มการต่อสู้ โดยต่อให้ตายต้องถลกหนังของอีกฝ่ายบ้างให้จงได้ ในความเป็จริงแล้ววันนี้ ภายใต้ความรู้สึกละอายใจอย่างสุดขีด หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังตนเอง เพราะอย่างนั้นจึงไม่ได้เตรียมที่จะล่าถอยอย่างสิ้นเชิง
“เ้าหนู...” เสียงทุ้มต่ำนั้นกล่าวลงมาจากบนอากาศ “เ้าคงไม่ใช่แค่ภูตผีในปรโลกกระมัง?”
เจียงเฉิงเยว่ทำเป็ไม่ได้ยิน
ด้วยการโจมตีแบบพลีชีพ แม้แต่เทียนจื่อเจินจวินเองจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเคลื่อนไหว ถึงกับถูกเจียงเฉิงเยว่โจมตีประชิดตัวหลายครั้ง เซียนจวินหลายสิบคนที่อยู่ด้านหลังอดไม่ได้ที่จะตะลึง เทียนจื่อเจินจวินไม่ไหวติง มุมปากอมยิ้มน้อยๆ ด้วยความสมเพช เขาถอนหายใจอย่างแ่เบาเล็กน้อย หลังจากขยับร่างหลบการโจมตีอีกครั้งจากเจียงเฉิงเยว่ ในที่สุดเขาที่ดูเหมือนจะเล่นสนุกพอแล้วจึงพึมพำเสียงเบา “น่าเสียดาย”
ถึงอย่างไรฉิงชางจวินเองก็เป็บุคคลอันดับต้นๆ ในปรโลก ถูกผู้อื่นสบประมาทเช่นนี้ไม่ต้องกล่าวถึงความขุ่นเคือง หลังจากเห็นว่าเทียนจื่อเจินจวินเริ่มตอบโต้ในที่สุด เขาถึงได้รู้ว่ายามนี้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวอย่างแท้จริงแล้ว จึงเตรียมพร้อมที่จะปะทะด้วยเช่นกัน ทันใดนั้นกลับมีลมกระโชกแรงพัดมาจากด้านข้างอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบโต้ กลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยะโมาจากระยะไกล “ฉิงชางจวิน!”
‘ปัง’ ฉิงชางจวินถูกโจมตีจากด้านข้างลอยไปทางหอปราสาทเมืองยง ชนเข้ากับกำแพงเมืองหนาสองชั้นอย่างจัง จนกระทั่งเกือบชนหอปราสาทหลัก เขาพยายามยั้งร่างเอาไว้
หลังจากเสียงอิฐกับกระเบื้องแตกดังขึ้น เจียงเฉิงเยว่นอนอยู่บนพื้นอย่างมึนงงชั่วขณะ แม้ว่าเขาจะเป็ะ แต่ร่างกายเกือบแตกเป็เสี่ยงๆ จากการโจมตีที่รุนแรง จมูกได้กลิ่นเพียงลมปราณที่ทำให้หายใจไม่คล่องเท่านั้น ไม่รู้ว่าเป็คาวเืในที่แห่งนี้หรือฝุ่นที่คละคลุ้ง สมองของเจียงเฉิงเยว่เต็มไปด้วยความเ็ปเริ่มวิงเวียน ทว่าจิตสำนึกกลับรับรู้ถึงอันตรายได้โดยสัญชาตญาณ โม่หลงปิดกั้นพลังิญญาที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วในทันที เหลือเพียงหมอกสีดำที่พวยพุ่งในอากาศ เสียงกรีดร้องที่ไม่สามารถเปล่งออกมาได้หายวับ เขายังไม่ทันปกป้องตนเองกลับถูกอีกฝ่ามือผลักให้ลอยออกไป แต่ครั้งนี้เขานับว่าเรียนรู้จึงคลายสภาพร่างแท้จริงของตนเอง กลายร่างเป็ิญญาทะลุผ่านกำแพงเมืองเื้ั จากนั้นลอยขึ้นบนอากาศ จนกระทั่งออกจากซากกำแพงปรักหักพังแล้วจึงค่อยควบแน่นเป็ร่างที่แท้จริง ตกลงบนสนามในลานใต้หอปราสาทอย่างหมดแรง
จนถึงตอนนี้ ฉิงชางจวินแทบหมดสิ้นพลังิญญาไปกับการต่อสู้ที่ดุเดือด
อีกฝ่ายไม่ยอมให้เขาได้หายใจ เจียงเฉิงเยว่รับรู้ถึงพลังิญญาที่จู่โจมเข้ามาอีกครั้ง เขา้าจะใช้พลังิญญาเฮือกสุดท้ายเพื่อคลายร่างที่แท้จริงของตนเองสำหรับหลบเลี่ยงอีกที ่เวลาเดียวกันกลับได้ยินเสียงอุทานด้วยความตกตะลึงดังแว่วมาไม่ไกลนัก
“จับให้แน่น!”
ที่แท้ ยามเขาพุ่งชนกำแพงเมืองทั้งสองชั้น กลุ่มคนที่แออัดอยู่บนมุมของหอปราสาทเพื่อดูการต่อสู้ได้รับผลกระทบจากการกระแทกอย่างรุนแรง ถึงกับมีคนกลิ้งลงมาจากบนหอปราสาทที่สูงห้าจั้ง คว้าขอบเอาไว้แล้วส่ายไปส่ายมาแทบจะตก
“อา...” เมื่อเห็นว่าคนผู้นั้นหมดเรี่ยวแรงแล้วตกลงไปท่ามกลางเสียงอุทานของทุกคน เดิมทีหลับตาเพราะคิดว่าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะถูกพลังที่มองไม่เห็นลากไปกลางอากาศอย่างกะทันหัน ค่อยๆ ตกลงไป
ทุกคนตกตะลึงจนอ้าปากค้างในทันที
ฝ่ามือทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยเืและฝุ่นของฉิงชางจวินยังคงสั่นสะท้านอยู่กลางอากาศ ก่อนที่พลังิญญาเฮือกสุดท้ายจะหมดลง
เจียงเฉิงเยว่หอบหายใจแล้วค่อยๆ วางคนผู้นั้นลง เขาได้ยินเสียงโห่ร้องจากทางด้านนั้นหลังจากพ้นเคราะห์มาได้ จึงค่อยพบว่ามีเงาร่างเพิ่มขึ้นโดยรอบั้แ่เมื่อไรไม่อาจรู้
ตี้จวินยกมือขึ้นสูง แสงรัศมีเย็นะเืบนฝ่ามือค่อยๆ จางลง
เจียงเฉิงเยว่หันศีรษะไปมอง บนใบหน้าที่สง่างามและโกรธเกรี้ยวของตี้จวินเต็มไปด้วยความผิดหวัง ทั้งสับสนและลังเล เจียงเฉิงเยว่จึงรับรู้ว่าอีกฝ่ายมีความคิดจะสังหารตนจริง
ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้าอย่างเงียบงัน ในที่สุดเจียงเฉิงเยว่ถึงรู้ว่าตนเองทำเกินไปในวันนี้ ริมฝีปากของเขาสั่น เขามองไปยังผู้ที่เคยคาดหวังในตัวเขาอย่างเต็มเปี่ยมด้วยความละอายใจ จากนั้นค่อยๆ คุกเข่า ยืดตัวตรง แล้วก้มคำนับอย่างคลุกฝุ่น “ตี้จวิน...”
เวลานี้ หลิวเฟิงกับเสวียนชิงลงไปคุกเข่าในลานขนาบข้างซ้ายกับขวาเช่นเดียวกัน พวกเขาทิ้งร่างบนลานจนเกิดเสียง ‘ฟุบ’ แล้วเอ่ยขอร้อง “ตี้จวิน ตี้จวินโปรดระงับโทสะ!”
“ตี้จวินอย่าได้…”
.............................
หลี่อวิ๋นหังวางถ้วยในมือลง ปัดผมยาวราวกับแพรต่วนสีดำที่ห้อยลงมาที่อกของตนเองไปที่ไหล่ด้านหลัง หลังจากเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมเล่าถึง ‘สหายเก่า’ ที่เคยมอบกำไลเงินหยกขาวให้ จึงรู้ว่านี่เป็ข้อห้าม เดิมทีเขาเองก็ไม่ใช่ผู้ชอบซักถาม จึงจงใจทำเป็ไม่รู้ไม่ถามต่อไป “ดังนั้น...เครื่องหมายที่เ้าเคยรับรองทั้งหมด มีเพียงเครื่องหมายบนตัวของชาวเมืองยงสองร้อยกว่าคนใน่เวลานั้นหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้าตอบรับ “อืม...่เวลาต่อมาไม่ทราบว่าข่าวลือบิดเบือนได้อย่างไร ความสัมพันธ์ในเหตุกับผลผิดพลาด ต่างก็คิดว่าเพียงวาดเครื่องหมายบนร่างกาย...จะเท่ากับประกาศว่าได้รับการคุ้มครองจากข้าและกลายเป็คนของข้า...”
หลี่อวิ๋นหังถาม “เครื่องหมายบนร่างของผู้คนสองร้อยกว่าคนนั้นเป็เ้าที่ประทับตราด้วยตนเอง...แต่ในเวลานั้นเ้ากลับไม่มีกำไลวงนั้นอยู่ในมือ...”
“แม้ว่าจะไม่มีกำไลอยู่ในมือ...แต่เครื่องหมายนั้นข้าลอกมาจากบนศพของอิ๋งเอ๋อร์ มันควรจะเหมือนกับเครื่องหมายที่กำไลทิ้งไว้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน...” ขณะที่พูดเจียงเฉิงเยว่ยื่นมือออกไปกลางอากาศ เครื่องหมายลึกลับดูเรียบง่ายนั้นเปล่งแสงสีแดงระยิบระยับเล็กน้อยในมือ เจียงเฉิงเยว่กล่าวต่อ “ณ ตอนนั้นข้ารู้สึกถึงความแปลกประหลาดจึงจงใจรักษาเครื่องหมายนี้ไว้ หลายปีนี้แม้ว่าจะมีผู้คนปลอมแปลง แต่เพียงเปรียบเทียบสักเล็กน้อยจะสามารถรู้ได้ว่าจริงหรือปลอม เวลานั้นข้าอยู่ในโซ่วหลิง อัครเสนาบดีหลิวเคยใช้มันคุมขังผู้ที่แอบอ้างเป็ลูกน้องของข้าในสวนฟางชิ่น ข้าเคยเห็นเครื่องหมายบนร่างของภูตผีเ่าั้ มันเหมือนกับสิ่งที่อยู่ในมือของข้าไม่มีผิดเพี้ยน และเห็นได้ชัดว่ากำไลเงินหยกขาววงนั้น...เป็ของจริง”
หลี่อวิ๋นหังขมวดคิ้ว เขาหยุดนิ่งไปชั่วคราว “ตามที่เ้าพูด กำไลวงนั้นเป็สิ่งเดียวที่เคยทิ้งเครื่องหมายบนข้อมือของผู้มีพระคุณที่ล่วงลับไปแล้วของเ้า เครื่องหมายนั้นต่างเป็การคัดลอกมา เช่นนั้นเหตุใดเครื่องหมายบนร่างของภูตผีเ่าั้ในสวนฟางชิ่นไม่อาจคัดลอกได้?”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังครุ่นคิดเป็เวลานานแล้วจึงตอบ “จะเป็ไปได้อย่างไรเล่า? ยามที่ข้าลอกเครื่องหมายนี้จากบนร่างอิ๋งเอ๋อร์ นางเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนชาวเมืองยงสองร้อยกว่าคนนั้น…” เขาหยุดชะงัก “สรุปแล้ว ภายหลังไม่อาจถูกลอกไปจากร่างกายของพวกเขาได้”
หลี่อวิ๋นหังหันศีรษะไปมองหมู่บ้านที่มืดมิดภายใต้แสงจันทร์ โดยมีดาวจำนวนหนึ่งหรือสองดวงกะพริบเป็ระยะแล้วถามขึ้นทันที “ชาวเมืองยงสองร้อยกว่าคนนั้นเมื่อปีนั้น...ภายหลังพวกเขาคงอยู่กันอย่างสันโดษในที่แห่งนี้สินะ?”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงไปชั่วครู่ “ถูกต้อง เซียนจวิน...ทราบได้อย่างไร?”
“ข้าเดาเอา ในเมื่อเ้ารับปากกับผู้อื่นว่าจะปกป้องพวกเขา จึงคิดว่าคงไม่ผิดสัญญา”
หัวใจของเจียงเฉิงเยว่พลุ่งพล่านด้วยกระแสความอบอุ่นที่ทั้งขมขื่นและหอมหวาน จากนั้นก้มศีรษะลงระบายยิ้ม
เจียงเฉิงเยว่ถอนหายใจ “ท้ายที่สุด ข้าทำกำไลเงินหยกขาววงนั้นหายไปสองร้อยกว่าปีแล้ว...ยามนั้นข้าก็ไม่เคยถามอิ๋งเอ๋อร์อย่างละเอียดเช่นกันว่าทำมันหายได้อย่างไร จากการสอบถามครั้งสุดท้าย กลับมีนัยแห่งการกล่าวโทษอยู่ในถ้อยคำนั้น ดังนั้นยามนี้ ไม่ว่ากำไลที่อีกฝ่ายนำออกมาจะเป็ของจริงหรือปลอม ล้วนคุ้มค่าที่จะตรวจสอบ”
หลี่อวิ๋นหังเพียงฟังประโยคครึ่งแรกของของเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยเสียงต่ำ ยกยิ้มเ็าอย่างประชดประชัน “ฉิงชางจวินช่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเสียจริง...”
ประโยคนี้ทำให้เจียงเฉิงเยว่ไร้คำพูดโต้ตอบ ไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรต่อไป
หลังจากหลี่อวิ๋นหังพูดจบก็นิ่งค้างไป อาจรู้ตัวว่าเสียท่าทีเล็กน้อย จึงเอ่ยประโยคครึ่งหลังต่ออย่างแข็งกระด้าง “มันเป็เื่ที่แน่นอน...ในเมื่ออีกฝ่ายมาหาถึงที่ ย่อมไม่นิ่งเงียบนานเกินไปนัก”
หลังจากทั้งสองคนพูดจบก็นั่งดื่มชาอยู่ตรงข้ามกัน ไม่พูดจากันพักหนึ่ง
เจียงเฉิงเยว่กำลังคิดในใจว่าจะลุกออกมาเพื่อจัดห้องให้หลี่อวิ๋นหังพักดีหรือไม่ ลมกระโชกแรงจากท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เงียบสงบกลับพัดมา เกือบจะพัดเสื้อคลุมของเจียงเฉิงเยว่ให้ลอยออกไป เขารีบยื่นมือมาผูกเข็มขัดแล้วยกแขนเสื้อขึ้นบังลมตามสัญชาตญาณ กลับเห็นหลี่อวิ๋นหังร่ายคาถาห้ามลมโดยไม่ส่งเสียงใด
เถาวัลย์ดอกไม้ที่อยู่ข้างกายทั้งสองคนยังคงสั่นไหวไม่หยุด ใบไม้กับดอกไม้ปลิวว่อน ทว่าทั้งสองคนราวกับถูกห่อหุ้มในเขตอาคมโปร่งแสงอย่างไม่ไหวติง
เจียงเฉิงเยว่จัดระเบียบเสื้อผ้ากับเส้นผมที่ถูกพัดจนยุ่งเหยิง จากนั้นมองไปยังทิศทางที่ลมกระโชกแรงพัดมา บอกอย่างกังวลเล็กน้อย “นี่คือ?”
หลี่อวิ๋นหังเงยหน้ามองชั้นเมฆหนาทึบซึ่งปั่นป่วนอยู่เหนือศีรษะ แสงรัศมีในดวงตากะพริบ เพียง่เวลาที่กะพริบตาอย่างเชื่องช้า เขากลับสำรวจได้พอประมาณ “เป็แดน์...มีขุนพล์ผ่านศึกมา”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้าลงอย่างหนักแน่น “คิดว่าหลังจากไท่ซวีซิงจวินได้ทำนายปากว้านั้น แดน์เองคงเกิดความโกลาหลเช่นเดียวกันกระมัง?”
“เป็ดังที่คาด” หลี่อวิ๋นหังจ้องถ้วยที่ยกขึ้นมาอีกครั้งในมือของตนด้วยท่าทางสงบ
โชคดีที่ลมกระโชกแรงนั้นมาเร็วไปเร็ว ผ่านไปไม่นานจึงหยุดลง
เจียงเฉิงเยว่ปิดกาน้ำชาที่ถูกพัดจนปลิวอยู่บนโต๊ะ ยังไม่ทันได้กล่าวอะไร ฉับพลันเขาได้ยินเสียงร้องไห้ะโเรียกอย่างรีบร้อนดังแว่วมาจากถนนที่เชิงเขา เจียงเฉิงเยว่แยกออกว่าเสียงร้องไห้นั้นคือผู้ใด เขาขมวดคิ้วทันที ก่อนลุกขึ้นอย่างเร่งรีบแล้วบอกกับหลี่อวิ๋นหัง “เซียนจวินอยู่ที่นี่สักครู่ หากมีจุดใดที่ต้อนรับบกพร่องไปบ้างหวังว่าจะให้อภัย ข้าไปสักประเดี๋ยวแล้วจะกลับมา”
กล่าวจบเขาทิ้งหลี่อวิ๋นหังไว้ รีบก้าวไปยังสถานที่ซึ่งกำลังมีเสียงร้องไห้ดังลั่น
เป็ดังที่คาด ทันทีที่เลี้ยวไปถึงทางแยกของทางขึ้นเขา สือเยว่รีบประคองบิดาของอาหนิวมา เมื่อเห็นเจียงเฉิงเยว่เดินมาจึงหมอบคำนับลงบนถนนูเาที่ขรุขระ น้ำหูน้ำตาไหล โขกศีรษะราวกับโขลกกระเทียม “ท่านนักพรต...ท่านนักพรตช่วยด้วย!”
เจียงเฉิงเยว่รีบถาม “เกิดอะไรขึ้น หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาหนิว?”
สือเยว่กล่าว “อาหนิวจะไม่รอดแล้ว”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง สือเยว่เป็คนสุขุม หากบอกว่า ‘ไม่รอดแล้ว’ ต่อหน้าคนในครอบครัว เกรงว่าสถานการณ์อาจเลวร้ายมากในระดับที่แน่นอนแล้วเท่านั้น
“ไปกันเถอะ” เจียงเฉิงเยว่รีบนำทั้งสองคนไป
หลี่อวิ๋นหังลุกขึ้นมายืนอยู่บนเนินสูง เขายืนเอามือไพล่หลังมองทั้งสามคนจากไปไกลอย่างเร่งรีบ เข้าไปในหมู่บ้านที่เชิงเขา
เมื่อทั้งสามคนเข้าไปในลานบ้านของอาหนิว ยามตะเกียงไฟส่องสว่าง เสียงร้องไห้พลันดังลั่นขึ้นอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้...ไม่มีเสียงเด็กคนนั้นกรีดร้องอย่างแปลกประหลาดและพูดเพ้ออีกแล้ว หลังเจียงเฉิงเยว่เข้ามาในห้อง คนทั้งห้องตกอยู่ในความตื่นตระหนก ทันใดนั้น บิดาของอาหนิวพุ่งตัวไปบนเตียงแล้วะโเรียกชื่อเล่นของบุตรชาย ช่วยไม่ได้ที่ไร้หนทางช่วยเหลือ เด็กคนนั้นหมดลมหายใจเสียแล้ว
เจียงเฉิงเยว่เพียงรู้สึกเย็นเยียบไปทั่วร่าง เขาพึมพำกับตนเอง “ทำไม...จึงเป็เช่นนี้?”
“ทำไมจึงเป็เช่นนี้?!” มารดากับย่าของอาหนิวร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง ทั้งสองคนะโประโยคเดียวกัน เมื่อเห็นเจียงเฉิงเยว่เผยความเศร้าโศกกลับกลายเป็ความขุ่นเคือง มารดาอาหนิวถึงขั้นพุ่งมาข้างหน้าเพื่อทุบหน้าอกเจียงเฉิงเยว่ “ทำไม ทำไม ท่านพูดอย่างชัดเจนว่าไม่เป็ไรไม่ใช่หรือ? ท่านพูดอย่างชัดเจนว่าไม่เป็ไรไม่ใช่หรือไร...แล้วทำไมจึงเป็เช่นนี้? ทำไม ท่านคืนชีวิตลูกของข้ามา! ท่านคืนชีวิตลูกของข้ามา!”
ทุกคนรีบดึงนางออกไปเป็พัลวันพร้อมพูดปลอบโยนติดๆ กัน “ป้าสี่ ป้าสี่ เ้าใจเย็นก่อน”
สตรีคนนั้นนั่งลงที่พื้น ขณะเดียวกันยังคงร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง ทุบหน้าอกกระทืบเท้า “ลูกชายข้าตายแล้ว ลูกชายข้าตายแล้ว ข้าจะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป!”
เจียงเฉิงเยว่ไม่สนใจนาง เขาผละจากกลุ่มคนอ้อมผ่านนางไปตรวจสอบอาหนิวที่นอนเหยียดตรงอยู่บนเตียงด้วยความลำบาก เมื่อตรวจสอบแล้วจึงพบว่าอีกฝ่ายถึงกับไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวิญญา กล่าวตามเหตุผลแล้ว หมู่บ้านนี้ถูกวางผนึกไว้โดยตี้จวิน ดังนั้น หากมีผู้คุมิญญามาเก็บิญญา เขาไม่มีทางไม่ล่วงรู้ ไม่มีทางเพิกเฉยต่อผู้ที่มาจับิญญา แต่ ณ ตอนนี้ ิญญาของเด็กคนนี้ถูกกินจนเกลี้ยงแล้ว!
ภายใต้เปลือกตาของเขาผู้เป็าาผีที่รู้จักกันดีในสามโลก
นอกจากนี้ ค่ายกลที่เขาวาดกับผนึกที่วางไว้ในห้องนี้ล้วนครบสมบูรณ์ เจียงเฉิงเยว่นึกถึงเหตุการณ์ยามที่เขาเผชิญหน้ากับิญญาร้ายตนนั้น ทว่าสูญเสียพลังิญญาอย่างกะทันหัน...หรือว่าค่ายกลที่เขาวาดในยามนี้จะไม่มีประโยชน์เสียแล้ว?!
บิดาของอาหนิวก้าวมาข้างหน้าแล้วถามด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “ท่านนักพรต...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เมื่อเช้านี้ลูกตื่นขึ้นมาแล้วยังดีอยู่เลย...ตอนสายท่านหมอก็มาตรวจแล้ว บอกว่าไม่มีอะไรร้ายแรงเช่นกัน แม้แต่ยาก็ไม่ได้จ่ายให้ ่บ่ายลูกยังลงจากเตียงะโโลดเต้นได้อยู่เลย ทำไมผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม...ทำไมผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม...” เอ่ยถึงตรงนี้ บิดาของอาหนิวซึ่งเป็บุรุษวัยกลางคนร่างกำยำล่ำสันอดไม่ได้ที่จะสะอึกสะอื้นต่อ เขาที่พูดเช่นนี้ทำให้สตรีอีกสองคนในห้องร้องไห้คร่ำครวญดังยิ่งขึ้น มารดากับย่าของอาหนิวพุ่งไปข้างเตียงของศพเด็กแล้วร้องไห้ราวกับใจจะขาด
“ลูกชายของข้า ลูกชายที่อาภัพของข้า ท่านปล่อยไว้เช่นนี้แล้วจากไปได้อย่างไร? หนิวเอ๋อร์ เด็กดีของแม่...”
การที่คนหัวขาวต้องส่งคนหัวดำย่อมไม่มีอะไรน่าเศร้าไปกว่านี้อีกแล้ว เพื่อนบ้านที่อยู่ในห้องต่างเช็ดหางตาไปตามๆ กัน
------------------------
