แท้จริงแล้วเฉียวเยว่ไม่สนใจว่าผู้อื่นจะเล่าลือกันไปอย่างไร แต่นางไม่อยากให้มารดาวิตกกังวล เมื่อมารดาอยากให้นางลาหยุด เฉียวเยว่ก็เชื่อฟัง
โชคดี มีคนรู้ว่านางอึดอัดจนหญ้าจะงอกอยู่รอมร่อ
หรงจ้านมาชวนเฉียวเยว่ออกไปดื่มน้ำชาด้วยกันแต่เช้า เฉียวเยว่แทบอดใจไม่ไหวอยากจะชูสองมือ
พอเห็นดวงตาของเฉียวเยว่ทอประกายวับวาว ไท่ไท่สามจะห้ามปรามก็พูดไม่ออก แต่นางก็ยังคงเอ่ยว่า "ถึงอย่างไรก็ต้องพึงระวังเื่ชายหญิง พวกเ้าไปด้วยกันเกรงว่าจะผู้อื่นเอาไปครหานินทาอีก มิเป็ผลดีสำหรับเ้า ไม่สู้พาฉีอันไปด้วยอีกคน?"
หนึ่งพอนับได้ว่าเป็การปิดหูขโมยกระดิ่ง [1] อีกข้อหนึ่งก็เพื่อประกันความปลอดภัย พูดตามตรง แม้ว่าไท่ไท่สามจะเชื่อมั่นในความเป็สุภาพบุรุษของหรงจ้าน แต่ก็รู้ว่าเป็การไม่เหมาะสมที่จะให้บุตรสาวของตนเองอยู่กับชายหนุ่มเพียงลำพัง
เฉียวเยว่กลับทำตัวตามสบาย ถึงอย่างไรนางก็ตกลงอยู่แล้ว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หรงจ้านจึงต้องพากระต่ายสองตัวออกจากจวน
ทั้งสามขึ้นไปนั่งรถม้า เฉียวเยว่นั่งเท้าคางมองพวกเขาพลางถอนหายใจ "ดูพวกเ้าแต่ละคนทำเข้าสิ ล้วนแต่เป็บุรุษโตแล้วทั้งนั้น ม้ามีไม่ขี่ กลับมานั่งเบียดกันบนรถม้า"
ถึงแม้ต้าฉีจะให้ความสำคัญด้านวิชาความรู้มากกว่าศิลปะการต่อสู้ แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่ทุกคนพิถีพิถันมากกว่า ยังคงเป็ภาพลักษณ์อันสง่างาม อาภรณ์สีครามขี่อาชาขาว สวมหมวกผ้าถือพัดขนนก
ทว่าสองคนที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่สำนึกถึงเื่นี้
"ฤดูวสันต์ลมแรง ปุยของเมล็ดหลิวมักปลิวว่อน น่ารำคาญ" หรงจ้านพูดอย่างเอ้อระเหย
"ข้าก็เหมือนกัน ข้าก็เหมือนกัน" ฉีอันคล้อยตามทันที
เฉียวเยว่ "..."
หน้าตาและศักดิ์ศรีเล่า? พวกเ้าคิดว่าตนเองเป็องค์หญิงน้อยกันไปหมดแล้วหรือ!
พวกเขาเดินทางมาถึงหอสุราแห่งหนึ่ง การบอกว่าออกมาดื่มน้ำชาเป็คำอธิบายพอเป็พิธีการเท่านั้น แท้จริงแล้วใครบ้างไม่รู้ว่าเฉียวเยว่โปรดปรานการกินเป็ที่สุด
เถ้าแก่พาคนขึ้นไปชั้นสอง จะว่าไป ทั้งสามท่านนี้ล้วนแต่เป็คนมีชื่อเสียงของเมืองหลวง ประกอบกับกิตติศัพท์ความบ้าระห่ำของอวี้อ๋อง่นี้กำลังรุนแรง ไม่มีใครอยากไปยั่วโทสะเขา อยู่อย่างสงบดีๆ ไม่จำเป็ต้องแส่ไปหาเื่
รสชาติอาหารของหอสุราแห่งนี้ดีที่สุดในเมืองหลวง หากจะว่ามีสิ่งใดที่ไม่ดี ก็คงจะที่ไม่มีห้องพิเศษส่วนตัว ทั้งหมดล้วนเป็ห้องโถงเปิดโล่ง หากไม่ชอบให้ใครมารบกวน ก็ไม่ควรเลือกสถานที่แห่งนี้
ตัวอย่างเช่นคนคลั่งความสะอาดเช่นหรงจ้าน อุปนิสัยที่จู้จี้เป็พิเศษ ย่อมจะไม่ค่อยมาที่นี่บ่อยครั้ง ส่วนสตรีในห้องหอเช่นเฉียวเยว่ก็ไม่เหมาะสมนักที่จะมาที่นี่ ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่นับว่าเป็แขกประจำ
หลังจากตามเถ้าแก่ขึ้นไปชั้นบน ก็ได้ยินเสียงบัณฑิตกลุ่มหนึ่งกำลังคุยกันดังมาแต่ไกล หนึ่งในนั้นพูดว่า "ข้าว่าการอบรมของจวนซู่เฉิงโหวก็แค่นั้นเอง หากว่าดีจริง นางจะหนีไปทำไม เจอเื่เช่นนี้ต้องเข้าไปช่วยเหลือถึงจะถูก คนเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร มิใช่เพื่อชื่อเสียงที่ดีงามหรอกหรือ?"
"เ้าพูดมามีเหตุผล แต่คิดไปแล้วก็จริง นางคงมีแต่คนพะเน้าพะนอเอาใจ ย่อมจะเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเป็ธรรมดา"
"ใช่ ใช่ ใช่ ต้องเป็เช่นนี้แน่ ไม่รู้ว่าสตรีเช่นนี้จะแต่งงานกับใครได้" เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วพูดอีกว่า "แต่คนสกุลิ่ต้องไม่มองสตรีเช่นนางอย่างแน่นอน ความจริงใจมักเห็นได้ยามตกทุกข์ได้ยาก พอเห็นคุณชายน้อยสกุลิ่เกิดเื่ก็เผ่นหนี พูดแล้วก็น่าอดสูใจยิ่ง หากข้าเป็ท่านแม่ทัพกับฮูหยินสกุลิ่จะต้องไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาด"
"สถานะเช่นจวนซู่เฉิงโหว จะแต่งกับใครถึงจะเหมาะสม? มาพินิจดูดีๆ ล้วนไม่มีใครเหมาะสมเลย คงไม่แต่งออกไปต่างแดนกระมัง? แต่วาสนานี้คงมาไม่ถึงนางหรอก ข้าว่า จวนซู่เฉิงโหวถึงคราน่าเป็ห่วงแล้วล่ะ"
คนทั้งโต๊ะเ้าพูดคำข้าพูดคำ คุยกันอย่างครึกครื้น โดยไม่คำนึงสักนิดว่าเป็สถานที่เปิดสาธารณะ การพูดวิจารณ์สตรีเช่นนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
เฉียวเยว่ไม่เคยเห็นบุรุษที่ปากคอร้ายกาจเช่นนี้มาก่อน แต่ไรมานางหาใช่คนประเภทที่ยอมคนง่ายๆ แต่แม้ว่าจะอธิบายหรือไม่อธิบายก็เท่านั้น คนเหล่านี้รังแกกันเกินไป ทำให้นางโกรธมากจริงๆ
เฉียวเยว่ถกแขนเสื้อ แต่ยังไม่ทันขยับ ฉีอันก็รั้งมือของนางไว้ "พี่อยู่เฉยๆ เื่นี้มอบหมายให้ข้า ข้าจะอัดพวกเขาให้บิดามารดาจำหน้าไม่ได้กันไปเลย"
เถ้าแก่ไหนเลยจะคาดคิดว่าจะเจอเื่ราวเช่นนี้ สองสามวันที่ผ่านมามีคนคุยกันเกี่ยวกับเื่นี้ไม่น้อย เขาก็ฟังเอาความสนุกสนาน แต่ไม่นึกว่าเ้าตัวจะมาอยู่ตรงหน้านี้แล้ว
เมื่อครู่เขาแทบจะก้าวบันไดพลาดล้มลงไป เื่นี้ยากจะรับมือแล้ว ได้แต่ภาวนาว่าสองพี่น้องคู่นี้จะคำนึงถึงหน้าตาของจวนซู่เฉิงโหว อย่าได้ก่อเื่ขึ้นมา
แต่เถ้าแก่ยังภาวนาไม่ทันจบ คุณชายสี่สกุลซูก็หมดความเกรงใจ เพียงแต่ขณะที่เขายังไม่ทันเคลื่อนไหว ก็รู้สึกว่ามีลมหอบหนึ่งวาบผ่านจากข้างกายออกไปแล้ว
เพียงกะพริบตาครั้งเดียว ก็เห็นหรงจ้านไปยืนอยู่หน้าโต๊ะของบุรุษปากไม่มีหูรูดเ่าั้แล้ว
พอคนเ่าั้เห็นหรงจ้านต่างก็ตกตะลึง
ทั่วทั้งห้องโถงใหญ่เงียบกริบในชั่วพริบตา ประหนึ่งว่าถ้ามีเข็มตกสักเล่มก็คงจะได้ยิน
หรงจ้านค่อยๆ ทอยิ้ม ถามว่า "พวกเ้าถูกผู้ใดซื้อตัวให้มาใส่ร้ายป้ายสีคุณหนูเจ็ดสกุลซู?"
เขาไม่สนใจว่าอาหารบนโต๊ะจะยังร้อนอยู่ ก็ยกขึ้นมาแล้วคว่ำลงใส่ศีรษะคนที่พูดจารุนแรงที่สุด อาหารเพิ่งขึ้นโต๊ะ ยังร้อนอยู่ บุรุษปากเสียถูกลวก ร้องโหยหวนเสียงดังลั่น
มีอีกคนลุกขึ้นมา หมายเข้ามาชี้แจงเหตุผล "อวี้อ๋อง ท่านจะใช้อำนาจรังแกผู้อื่นเช่นนี้ไม่ได้... อ๊าก!"
เพียงเอ่ยปาก ยังไม่ทันกล่าวอะไรมากมาย คนก็ลอยออกไปแล้ว ถูกจับโยนลงไปจากชั้นสอง ทุกคนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่กล้าขยับ ตัวสั่นแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
พูดตามตรง ถึงอยากขยับตัวก็ขยับไม่ได้แล้ว
"ข้าจะถามพวกเ้าอีกครั้ง รับคำสั่งมาจากผู้ใด อย่าเห็นข้าเป็คนโง่เขลา!" หรงจ้านกำจายกลิ่นอายเย็นะเืออกมาทั่วร่าง "คุณหนูเจ็ดส่งองครักษ์ไปช่วยไม่มีใครเอ่ยถึง กลับพูดแต่ว่านางเตรียมจะกลับรถม้าหนี ขอถามหน่อย สตรีที่ไม่มีแม้แต่แรงมัดไก่คนหนึ่ง ลงไปจะช่วยอะไรได้ ให้ไปเป็ภาระของิ่จื้อรุ่ยเยี่ยงนั้นหรือ?"
เขาเว้นจังหวะแล้วหัวเราะเบาๆ "เห็นชัดอยู่ว่าที่นางรีบไปเพราะไม่อยากเพิ่มปัญหา ทั้งที่ส่งองครักษ์ออกไปช่วยแท้ๆ แต่ไม่มีใครเอ่ยถึงสักคน คิดแต่จะกุเื่มาว่าร้ายนาง ว่าอย่างไร นึกว่าฉีจือโจวออกไปปฏิบัติหน้าที่ข้างนอก ก็สามารถฉวยโอกาสรังแกหลานสาวของเขาตามอำเภอใจได้แล้วหรือ?"
หรงจ้านกวาดมองไปโดยรอบ ั้แ่ต้นจนจบใบหน้าล้วนแต่มีรอยยิ้มประดับ ทว่ารอยยิ้มของเขาเย็นะเืราวกับหมุดน้ำแข็งที่สามารถทิ่มแทงคนให้ตายในชั่วพริบตา "หรือพวกเ้าคิดว่าจวนซู่เฉิงโหวรังแกง่าย อยากจะเข้าไปเตะดูสักที? หรือพวกเ้า... รู้สึกว่าจวนอวี้อ๋องของข้าจะใจดีปล่อยผ่านเื่นี้ไปง่ายๆ? ข้าเห็นแม่หนูน้อยคนนี้ั้แ่เล็กจนโต ขนาดตนเองยังทำใจรังแกไม่ลง แล้วพวกเ้ามีสิทธิ์อะไรมารังแกนาง? เห็นข้าตายไปแล้วใช่หรือไม่"
ขณะกำลังพูดคุยอยู่ ก็เห็นอีกคนกระเด็นออกไปจากหน้าต่าง พวกเขายังไม่ทันเห็นชัดด้วยซ้ำว่าหรงจ้านลงมืออย่างไร
คนในที่นั้นต่างตัวสั่นงันงก ส่วนเฉียวเยว่สองพี่น้องยามนี้ก็ตกอยู่ในสถานการณ์บีบคั้น ไม่รู้ว่าควรจะแสดงท่าทีตอบสนองออกไปอย่างไรดี
"ข้าผู้นี้เป็คนดีแสนดี แต่ไม่ชอบถูกผู้อื่นตบหน้า"
หรงจ้านอมยิ้มน้อยๆ หิ้วคอเสื้อของบุรุษที่ถูกอาหารรดเต็มศีรษะขึ้นมา แล้วโยนออกไป
เสียงร้องโอดโอยแว่วมาจากนอกหน้าต่าง ไม่มีผู้ใดกล้าออกไปชะโงกมองที่หน้าต่าง
หรงจ้านเสียสติไปแล้ว แต่พวกเขายังสติดีอยู่ เห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็รู้ว่าตนเองไม่มีปัญญาสู้เขาได้ อีกอย่างคือไม่กล้าสู้ ผู้อื่นเป็ถึงพระประยูรญาติของฝ่าา มีฐานะเป็ท่านอ๋องสืบเชื้อสายโดยตรงจากราชวงศ์ และเป็พระภาติยะแท้ๆ ของฮ่องเต้
ทั้งโต๊ะมีหกคน ลอยออกไปแล้วสามคน ยังเหลืออีกสามที่ไม่กล้าขยับเขยื้อน
"ยิ่งไปกว่านั้นคนอย่างข้ายังใจแคบเป็พิเศษ รู้หรือไม่ว่าอะไรคือความใจแคบ? นั่นก็คือใครที่ยั่วโทสะข้า ข้าจะให้คนผู้นั้นต้องโชคร้ายทั้งครอบครัว"
หรงจ้านยิ้มเหี้ยมเกรียม "มีใครพูดได้บ้างว่าครอบครัวของตนเองไม่มีเื่สกปรกโสมมแม้แต่กระผีกริ้น?"
เขาบีบคางของคนหนึ่งในนั้น แล้วเอ่ยว่า "เหมือนอย่างมารดาของเ้าก็เล่นชู้กับอารองของเ้ามิใช่หรือ? ครอบครัวตนเองเน่าเหม็นเยี่ยงนั้น ก็ไม่ต้องออกมาให้ขายหน้าคนแล้ว"
กำลังวังชาของหรงจ้านช่างน่าทึ่ง เขาบีบแขนคนผู้นั้น ฟิ้ว... ลอยออกไปอีกหนึ่ง
ฉีอันเห็นสถานการณ์ไม่ดีแล้ว แต่ละคนเหล่านี้แม้ตกลงไปไม่ตาย ก็ต้องรักษาตัวอย่างน้อยครึ่งปีหนึ่งปี จะไหวได้อย่างไร แม้เขาจะรู้สึกสาแก่ใจมาก แต่การตบหน้ากันซึ่งๆ หน้า ไม่มีอ้อมค้อมแม้แต่น้อยเช่นนี้ จะไม่มีปัญหาจริงหรือ?
ถึงอย่างไรก็เป็ลูกหลานคนชั้นสูงในเมืองหลวงทั้งนั้น เช่นนี้คงไม่ดีกระมัง?
เขาก้าวเข้าไปเอ่ยว่า "พี่จ้าน ให้บทเรียนพวกเขาแล้วก็ช่างเถอะขอรับ ข้า..."
หรงจ้านชำเลืองมองเขา "เ้าอยากกระเด็นออกไปเป็เพื่อนพวกเขารึ?"
ฉีอันส่ายหน้าทันที "เชิญท่านตามสบาย เชิญท่านเต็มที่เลย"
คนลงมือยังไม่แยแส เขาย่อมมีความสุขที่ได้เห็นคนเหล่านี้เจอผลกรรมตามสนอง ใครใช้ให้พวกเขามานินทาพี่สาวของเขาลับหลังเองเล่า?
หรงจ้านยิ้มน้อยๆ "เ้าบอกเองว่าอยากติดตามเรียนรู้จากข้ามิใช่หรือ ข้าจะสอนเ้า ตราบใดที่มีคนทำให้เ้ารู้สึกไม่สบายใจ หากไม่สามารถแตะต้องได้ในทันที ก็ต้องค่อยๆ วางแผน แล้วค่อยโจมตีทีเดียวให้อยู่หมัด แต่อย่างพวกทหารกุ้งแม่ทัพปูเหล่านี้ ต้องให้พวกเขาได้เห็นดีกันเสียบ้าง บางคราเ้าอยากไว้หน้าผู้อื่น มีความยับยั้งชั่งใจ แต่คนสมองหมูก็จะไม่เห็นใจเราหรอก มิสู้สั่งสอนพวกเขาให้รู้สำนึกเสียบ้าง รู้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ อยากตายก็เข้ามาเลย"
แล้วก็มีคนลอยออกไปอีกหนึ่ง เสียงร้องโหยหวนดังมาอีกระลอก
ทั้งโต๊ะหกคน บัดนี้เหลือคนเดียวแล้ว คุณชายหวังเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ใกลัวจนแทบเสียสติ เขาคุกเข่าลงอย่างแรง แล้วเอ่ยว่า "ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริงๆ พวกเราไม่ควรพูดจาเหลวไหลไร้สาระ พวกเราสมควรตาย ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง ได้โปรดละเว้นข้าเถิด ได้โปรดไว้ชีวิตข้า"
หรงจ้านอมยิ้ม "เ้าไปดูที่หน้าต่างสิ"
"หา" คุณชายหวังงงเป็ไก่ตาแตก
"ไป!" เสียงของหรงจ้านแข็งกร้าวขึ้นหลายส่วน คุณชายหวังกลัวตาย จึงเดินโซซัดโซเซไปเกาะริมหน้าต่าง
"ข้าผู้นี้ไม่ชอบเอ่ยปากซ้ำสอง" หรงจ้านมาถึงข้างกายเขา แล้วหิ้วคอเสื้อของเขาขึ้นมา คุณชายหวังร้องะโโหวกเหวก รีบมองออกไป ก็เห็นคนมามุงดูอยู่ชั้นล่าง แต่กลับไม่กล้าเข้าใกล้ ใครจะไปรู้ว่ายังมีคนตกลงมาอีกหรือไม่?
เกิดถูกชนขึ้นมาล่ะก็แย่เลย
อีกอย่างคนทั้งห้าต่างนอนจมกองเือยู่ที่นั่น
คุณชายหวังแข้งเข่าอ่อนล้มลงไปกองในชั่วพริบตา "ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตข้า ข้าจะตีตัวเอง ตีตัวเอง ข้าจะตีตัวเอง ได้โปรดเถิด ข้าจะไม่ว่าร้ายคุณหนูเจ็ดสกุลซูอีกแล้ว"
"ข้าผู้นี้เป็คนคุยง่ายมาก ดังนั้นบอกข้ามา ใครใช้ให้พวกเ้ามาพูดจาบิดเบือนไปจากความจริงเช่นนี้ ใครจัดเตรียมให้พวกเ้ามาทำ?"
เห็นอย่างนี้แล้ว ช่างเป็สุภาพบุรุษโดยแท้ อ่อนโยนอย่างถึงที่สุด!
เฉียวเยว่มองดูอย่างเยือกเย็น นางเข้าใจถึงสาเหตุที่หรงจ้านชวนนางออกมาวันนี้แล้ว
ที่แท้เขาก็คิดแผนการนี้ไว้แล้ว พูดตามเหตุผล การที่หรงจ้านกระทำการบ้าบิ่นจนเกิดการนองเนืองเช่นนี้ นางควรที่จะหวาดกลัว แต่... เหตุใดถึงไม่เลยเล่า?
เฉียวเยว่รู้สึกว่าอาจเป็เพราะจิตใต้สำนึกของนางก็มีความวิปริตอยู่เหมือนกันกระมัง
นึกมาถึงตรงนี้ นางก็หาเก้าอี้มานั่ง
ฉีอันเกาศีรษะ นี่มันเื่บ้าอะไรกัน ทำลายล้างสามทัศนะ [2] ของเขาจนไม่เหลือแล้ว!
...
[1] ปิดหูขโมยกระดิ่ง ใช้เป็ความเปรียบถึงคนหรือการกระทำที่เป็การหลอกตัวเอง ทั้งที่รู้ว่าไม่สามารถปกปิดได้สำเร็จ แต่ก็ยังจะกระทำ
[2] สามทัศนะ ได้แก่ ทัศนะต่อโลก ทัศนะต่อต่อชีวิต และทัศนะต่อคุณค่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้