โม่หลันเห็นพวกนางต่างหูผึ่ง ก็หัวเราะพรืด ก่อนเฉลยเสียงดัง "ข้าหลอกพวกเ้าน่ะ!"
นางหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง "พวกเ้าถูกข้าหลอกต้มกันหมด โอย... ดูท่าทางอยากรู้อยากเห็นของแต่ละคนสิ"
เฉียวเยว่กับหรงฉางเกอหันมาสบตากันเงียบๆ เป็ท่าทางที่ยากจะได้เห็น หลังจากนั้นทั้งสองก็พุ่งตรงเข้าไปรุมจี้เอวคนต้นเื่ โม่หลันหัวเราะจนแทบขาดใจ ร้องขอความเมตตาไม่หยุด ขณะฉินอิ๋งมาถึงก็เห็นพวกนางสามคนกำลังส่งเสียงดังชุลมุนวุ่นวาย
"นี่พวกเ้าทำอะไรกันน่ะ" นางร้องถามอย่างตกอกใ
ในที่สุดพวกเฉียวเยว่ก็หยุดมือ
"มองไม่ออกหรือว่าพวกเรากำลังรังแกคนอยู่?" เฉียวเยว่ย้อนถาม
โม่หลันหัวเราะจนไม่ไหวแล้ว ในที่สุดก็ลุกขึ้นมานั่ง แล้วจัดเสื้อผ้าและทรงผมของตนเองให้เรียบร้อย "รีบขึ้นรถเถอะ เดี๋ยวพวกเราก็จะออกเดินทางแล้ว ว่าแต่เ้ามาสายไปหน่อยนะ"
ฉินอิ๋งพยายามฝืนยิ้ม สีหน้าดูไม่ค่อยปรกตินัก
"เ้าเป็อะไร? ดูจากสีหน้าเหมือนได้รับความไม่เป็ธรรมอย่างหนักมาอย่างไรอย่างนั้นแหละ" หรงฉางเกอทำปากยื่น
พอได้ยินถ้อยคำนี้ ขอบตาของฉินอิ๋งก็แดงระเรื่อขึ้นมาทันควัน
"เอาล่ะ รีบขึ้นรถเถอะ มีอะไรค่อยคุยกันระหว่างทาง" เฉียวเยว่เข้ามาไกล่เกลี่ย
สถานที่ที่พวกนางเลือกอยู่นอกเมืองหลวง ระยะทางออกจากเมืองไปไม่ไกลมาก แต่ก็ต้องใช้เวลาเดินทางราวครึ่งวัน ระหว่างนั้นฉินอิ๋งก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ที่แท้นางก็ได้รับความไม่เป็ธรรมจริงๆ
"ข้าชอบญาติผู้พี่มากถึงเพียงนั้น แต่เหตุใดนางถึงต้องปรักปรำข้า จดหมายในมือนางฉบับนั้นข้ามิได้เป็คนให้นางสักหน่อย แต่นางกลับยืนกรานว่าข้าเป็คนส่งมาให้"
ที่แท้พี่ชายของฉินอิ๋งหมั้นหมายกับหร่วนหลีแล้ว แม้ว่าจะยังไม่แต่งงาน แต่ก็นับว่าเป็คนครอบครัวเดียวกัน ทว่าเขากลับพบจดหมายรักฉบับหนึ่งในที่พักของหร่วนหลี แต่เ้าตัวกลับซัดทอดว่าฉินอิ๋งช่วยผู้อื่นส่งจดหมายมาให้ตนเอง
ด้วยเหตุนี้ก่อนที่จะออกมาตอนเช้า ฉินอิ๋งจึงถูกพี่ชายของตนเองตบหน้า
โม่หลันฟังแล้วก็เดือดดาลแทน "พี่ชายเ้าโง่รึเปล่า เขาไปเชื่อหร่วนหลีผู้นั้นได้อย่างไร นางเป็คนเช่นไรพวกเราก็รู้ๆ กันอยู่ ไยเขาต้องตบเ้าเพื่อนางด้วย"
ฉินอิ๋งขบริมฝีปากไม่พูดไม่จา
ดูจากสีหน้าของนางแล้ว เฉียวเยว่ก็พอจะคะเนได้ว่าฉินอิ๋งพูดไม่หมด แต่ถึงจะเป็จริงดังว่า ต่อให้พี่ชายของนางชอบหร่วนหลีอย่างไรก็ไม่น่าจะถึงขั้นหักหน้ากันตรงๆ เยี่ยงนี้ แต่เฉียวเยว่ยังไว้หน้าฉินอิ๋งอยู่ จึงไม่พูดอะไรมาก
ที่ว่านางมิได้เป็คนทำก็อาจเป็เื่จริง แต่อย่างไรเสียนี่ก็เป็เื่ของผู้อื่น นางไม่โง่พอที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม จึงไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ
เวลาครึ่งวันผ่านไป เมื่อมาถึงสถานที่ย่ำขจี เฉียวเยว่ก็ตื่นเต้นเป็พิเศษ "ทิวทัศน์ของที่นี่ช่างงดงามเหลือเกิน"
ทะเลสาบงดงามน่าอยู่ ต้นหลิวสีเขียวขจี หลังคากระเบื้องแดงตัดกับกำแพงสีเทา เป็เหมือนภาพในจินตนาการที่วิเศษมาก "ข้าชอบที่นี่มากเลย"
"พวกบ้านนอก" หรงฉางเกอเลิกคิ้วพลางค่อนแคะ
เฉียวเยว่คร้านจะสนใจนาง "เ้าไม่มีสิทธิ์มายุ่ง"
ทั้งสี่มาถึงห้องที่จัดสรรปันส่วนเรียบร้อย แต่ไรมาพวกนางล้วนแต่มีห้องส่วนตัว ไหนเลยจะเคยต้องทนแออัดอยู่ร่วมกันสี่คน
เฉียวเยว่สูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ย "พวกเรามาเก็บกวาดทำความสะอาดกันก่อนเถอะ"
แม้ว่าห้องจะดูสะอาดสะอ้าน แต่ถึงกระนั้นทำความสะอาดสักหน่อยย่อมดีกว่า
หรงฉางเกอท้วงออกมาทันที "ข้าเป็ท่านหญิง ไม่เหมือนสามัญชนอย่างพวกเ้า ในเมื่อเ้าเป็คนเสนอ ก็ทำความสะอาดเองแล้วกัน"
เฉียวเยว่หัวเราะเย้ยหยัน พูดตอบกลับไป "หรงฉางเกอ เ้าคงมิได้ทำอะไรไม่เป็สักอย่างหรอกกระมัง ถึงแม้ว่าที่บ้านของพวกเราจะมีสาวใช้ แต่ไม่มีใครเป็ตัวไร้ค่าหรอกนะ เอ หรือว่า... เ้าทำอะไรไม่เป็จริงๆ?"
กลยุทธ์ยั่วขุนพลแม้ว่าจะเถรตรงไปหน่อย แต่กลับใช้การได้ผลดี เหมือนเช่นหรงฉางเกอที่มักตกหลุมพรางนี้เสมอ
"เ้าว่าใครเป็ตัวไร้ค่า? ทำไมข้าจะทำไม่เป็ เฮอะ ข้าล่ะเชื่อเ้าเลยจริงๆ"
เฉียวเยว่เชิดหน้าเอ่ย "เช่นนั้นก็เริ่มกันเลย"
หรงฉางเกอ "ข้าจะไปดูว่าน้ำอยู่ตรงไหน พวกเราแบ่งงานกันทำ"
แม้ว่าพวกนางจะเป็คุณหนูจากตระกูลใหญ่ แต่พอเอาจริงเอาจังขึ้นมา ถึงไม่ค่อยชำนาญนัก ผลงานก็ยังออกมาสะอาดสะอ้านดี
เมื่ออาจารย์กู้เข้ามาเห็นหน้าต่างทั้งสว่างและสะอาดขึ้น ส่วนเด็กสาวสามสี่คนต่างมีเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก ใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างยากจะได้เห็น เอ่ยว่า "เช็ดหน้ากันเสีย อย่าให้ต้องลมเดี๋ยวจะเป็ไข้ไม่สบาย"
อาจารย์กู้หน้าตาดีอยู่เป็ทุนเดิม เมื่อยิ้มเช่นนี้ ก็ทำให้เหล่าแม่นางน้อยต่างมองตะลึง หาใช่เพราะมีความคิดใดๆ แต่เพราะคนผู้นี้แทบไม่เคยยิ้มมาแต่ไหนแต่ไร
จนอาจารย์กู้ไปแล้ว เฉียวเยว่ถึงรำพึงออกมา "ไม่นึกว่าอาจารย์กู้จะยิ้มเป็ด้วย"
หรงฉางเกอเชิดคางเล็กน้อย สีหน้าแลดูหลงใหลได้ปลื้ม "อาจารย์ของพวกเราย่อมดีที่สุด"
หลังจากนั้นก็หันมาทำตาดุใส่คนอื่นๆ "พวกเ้าห้ามคิดเกินเลยกับอาจารย์กู้เชียวนะ"
เฉียวเยว่อยากจะบอกจริงๆ ในที่นี้ไม่มีใครคิดเกินเลยกับอาจารย์กู้ทั้งสิ้น ยกเว้นเ้าคนเดียวนั่นแหละ ทว่านางก็ไม่เอ่ยวาจาเหลวไหลออกไป "เ้าเพ้อเจ้ออะไรกัน เป็อาจารย์หนึ่งวันผูกพันดั่งบิดาชั่วชีวิต ข้าเคารพนับถืออาจารย์กู้อย่างยิ่ง แต่เห็นเขายิ้มก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างจริงๆ"
"ดูท่าอาจารย์กู้จะพอใจมากที่พวกเราช่วยกันทำความสะอาด" โม่หลันกล่าว
เฉียวเยว่พยักหน้า "ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่เหตุผลแท้จริงอาจไม่ใช่ที่การทำงานหรือว่าทำมากน้อยเท่าไร แต่เป็ที่ทัศนคติ ข้ารู้สึกว่าอาจารย์กู้ชอบความกระตือรือร้นและเอาการเอางานต่อชีวิต"
หรงฉางเกอพยักหน้าราวกับไก่จิกข้าวสาร นางยิ้มจนเผยให้เห็นฟัน ท่าทางเบิกบานใจเป็พิเศษ "ชะรอยพวกเราคงจะทำถูกจริงๆ"
โม่หลันกับฉินอิ๋งมองหรงฉางเกอด้วยความประหลาดใจ แต่เ้าตัวกลับไม่รู้สึก ยังคงมีความสุขจนออกนอกหน้า เฉียวเยว่รำพึงในใจ นับวันหรงฉางเกอก็ยิ่งแสดงออกชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่นางก็เช็ดมือแล้วเอ่ยว่า "เที่ยงวันนี้มีอาหารกลางวันเตรียมให้พวกเรา ข้าไปเอาก่อนนะ"
"ข้าจะไปกับเ้า" หรงฉางเกอเอ่ยปาก
"ข้าไปด้วย" โม่หลันไม่ยอมน้อยหน้า
ฉินอิ๋งหัวเราะออกมา "เช่นนั้นข้าอยู่เฝ้าห้องก็แล้วกัน"
ที่นี่อยู่กลางเขา มีแต่อาหารมังสวิรัติเรียบง่าย รสชาติค่อนข้างจืดแต่มีความพิเศษ
แต่เฉียวเยว่กลับชอบมาก นางกินไปไม่น้อย หลังจากนั้นนางก็ลูบหนังหน้าท้องตึงเปรี๊ยะนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้
หรงฉางเกอหัวเราะเยาะพลางพูดค่อนแคะ "เ้าเหมือนคนไม่ได้กินอะไรมาแปดชาติ"
เฉียวเยว่รู้สึกว่านางเป็สาวน้อยที่ไร้เดียงสาจริงๆ หลังจากนั้นก็มองคนอื่นแล้วเอ่ยถาม "วันนี้ใครเป็คนทำอาหารมื้อเย็น?"
โม่หลันตอบ "พวกเราก็ต้องทำกันเอง..." พูดมาถึงตรงนี้ นางก็รีบเอ่ยปากทันที "ไม่ได้ ข้าต้องกินอีกชาม"
พวกหรงฉางเกอต่างก็เริ่มเติมข้าวกันอย่างเงียบเชียบ เดิมทีพวกนางกินกันไม่มาก แต่พอนึกว่าตอนเย็นต้องทำอาหารกันเอง จะได้กินยามใดก็ยังบอกไม่ได้แน่ พวกนางไม่กล้าประเมินตนเองสูง แม้จะรู้สึกว่าตนเองก็เก่งและมีความสามารถ แต่หาได้มีใครโง่เขลา เื่แบบนี้อย่าหลงตนเองเป็ดีที่สุด
อาจเป็เพราะมีญาติเป็ศิษย์พี่ในสำนักศึกษา ทุกคนต่างเคยได้ยินประสบการณ์กันมาบ้างแล้ว จึงต้องกินเผื่อไว้ไม่น้อย
่บ่ายเป็เวลาว่าง ทุกคนต่างถือกระดานวาดภาพออกจากห้อง ตามอาจารย์กู้ไปวาดภาพที่ริมธาร
ทิวทัศน์งดงามเยี่ยงนี้ ชวนให้คนอยากมาอยู่ที่นี่ไปเลยจริงๆ
เฉียวเยว่กับโม่หลันหาตำแหน่งดีที่สุดแห่งหนึ่งได้ พอเห็นเฉียวเยว่เริ่มลงมือวาด โม่หลันก็เอ่ยเสียงเบา "เฉียวเยว่ จวนแม่ทัพิ่จะมาสู่ขอที่จวนข้าแล้ว"
เฉียวเยว่เงยหน้า หลังจากนั้นก็ทอยิ้มน้อยๆ "เช่นนี้ก็ดียิ่ง บิดามารดาเ้าปรารถนาให้เ้าแต่งงานกับิ่จื้อรุ่ยมาโดยตลอดอยู่แล้วนี่"
สายตาของโม่หลันเผยแววว้าวุ่นใจอยู่บ้าง แต่กลับมองเห็นความสุขสายหนึ่งที่ผุดประกายออกมา
"ใช่สิ ท่านพ่อกับท่านแม่ปรารถนาให้ข้าแต่งเข้าจวนสกุลิ่เป็ที่สุด มาคิดดูดีๆ อันที่จริงข้าก็มีความสุขอยู่นะ ในที่สุดความวุ่นวายไม่จบไม่สิ้นก็หาข้อยุติได้เสียที"
เฉียวเยว่หยิกแก้มของโม่หลันพลางเอ่ยว่า "เช่นนั้นก็สบายใจได้แล้ว"
โม่หลันหัวเราะ พลางเอียงคอมอง "ไม่รู้ว่าพวกเราใครจะแต่งงานก่อนกัน"
เฉียวเยว่ทำท่ารูดซิปปาก หลังจากนั้นก็เอ่ยว่า "ข้าจะไม่ลั่นวาจาส่งเดชอีกแล้ว ข้ามักรู้สึกว่าคำพูดของข้ามักจะย้อนกลับมาตบหน้าตนเองเสมอ"
โม่หลันนึกถึงคำพูดของเฉียวเยว่ที่ว่าไม่อยากแต่งงานเร็วก่อนหน้านี้ ก็พลอยหัวเราะออกมาอีกหน "จะว่าไปก็ตรงจริงๆ"
ทั้งสองวาดภาพอยู่ครู่หนึ่ง เฉียวเยว่ก็เอ่ยขึ้น "ดูเหมือนว่าข้าจะทำพู่กันด้ามหนึ่งตก ข้ากลับไปหยิบก่อนนะ"
โม่หลันไม่วางใจ เลยตอบไปว่า "ข้าไปเป็เพื่อนเ้า"
เฉียวเยว่ตอบอื้อ ทั้งสองจึงจูงมือกันกลับไป
"ข้าจะไปสุขาสักหน่อย อีกประเดี๋ยวจะกลับไปหาเ้าที่ห้อง" หลังจากเข้ามาในเรือนโม่หลันก็ปลีกตัวไปจากเฉียวเยว่
เฉียวเยว่ยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้อง นางหาพู่กันวาดภาพของตนเองจนเจอ ขณะหันกลับมา ก็เห็นบุรุษรูปโฉมงามสง่าในอาภรณ์ขาวยืนอยู่ตรงนั้น
เฉียวเยว่ตบอกพลางละล่ำละลัก "ทะ...ทะ...ท่าน ท่านมาได้อย่างไร?"
"ทำข้าใหมดเลย" น้ำเสียงของนางกระเง้ากระงอดแกมฉอเลาะ
ผู้มาหาใช่ใครอื่น แต่เป็หรงจ้าน "ข้ากลัวว่าใครบางคนจะหิวตาย มาคิดดูแล้วต้นทุนการเลี้ยงกระต่ายก็ไม่สูงนัก ยากจะบอกว่าควรเปลี่ยนหรือไม่ ดังนั้นให้อาหารต่อไปน่าจะเหมาะสมกว่า"
เฉียวเยว่ขำพรืด "ท่านนี่เสแสร้งเก่งจริงๆ"
พูดตามตรง ไม่รู้ว่าหรงจ้านกินอะไรจนโตมา ถึงได้เสแสร้งเก่งเป็พิเศษ
"ท่านเป็ห่วงข้าก็บอกมาตรงๆ ข้าไม่หัวเราะท่านหรอก ถึงอย่างไร..." เฉียวเยว่เชิดดวงหน้าที่แดงระเรื่อขึ้น แต่ยังคงต้องพูด "ถึงอย่างไรท่านก็รักข้าจะตายอยู่แล้ว"
หรงจ้านเกือบจะสะดุดหน้าคว่ำ มุมปากกระตุกเล็กน้อย "เ้าคงมิได้พกหนังหน้าออกมาด้วยสินะ"
เฉียวเยว่ลูบใบหน้าของตนเอง "ยังอยู่ดีชัดๆ อีกทั้ง... ยังงดงามมากอีกด้วย" นางยิ้มอย่างเหิมเกริม
เฉียวเยว่ยู่ปากน้อยๆ "เพราะข้าเป็โฉมสะคราญอย่างหาตัวจับได้ยาก ถึงทำให้ท่านยินยอมพร้อมใจจะมาเป็คนไม่เต็มเต็งให้ข้าเยี่ยงไรเล่า"
หรงจ้านยกมือขึ้นนวดจุดไท่หยางของตนเอง ไม่รู้ว่าแม่หนูน้อยคนนี้ไปเรียนรู้ความปากจัดเช่นนี้มาจากผู้ใดกัน
แต่ทุกคราที่เห็นนางเป็เช่นนี้ หรงจ้านก็รู้สึกว่าโลกนี้ช่างงดงามยิ่งนัก
เฉียวเยว่คุ้นเคยกับการแสร้งทำตัวน่ารัก นางเอียงคอ ใช้ดวงหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรากับดวงตากลมโตสว่างสดใสจดจ้องหรงจ้าน ทำให้เขายินดีรับคำกล่าวนี้อย่างเต็มใจ โดยไม่มีคำโต้แย้ง
เฉียวเยว่เห็นเขาหิ้วตะกร้า ก็ยิ้มร่าแล้วยื่นมือไปรับมา "ปรกติข้าของเยอะอยู่แล้ว ทุกคนต่างก็รู้" แต่แล้วก็เกาหัว รู้สึกละอายใจอยู่บ้าง
หรงจ้านหัวเราะเย้ยหยัน "ใครจะไปสนใจว่าเ้าเตรียมอะไรมา เ้าบอกว่าเป็ของเ้า พวกเขาไหนเลยจะกล้าพูดว่าเป็ของผู้อื่น?"
เฉียวเยว่ยกมือลูบคาง พึมพำเสียงเบา "ท่านอ๋องของพวกเราช่างเอาแต่ใจจริงๆ"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้