ตอนนี้ผู้คนต่างมองไปที่เยว่เทียนเฉินและหลินเฟิง คลื่นความหนาวเหน็บที่ได้ปลดปล่อยออกมานั้นราวกับว่าการต่อสู้พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ
ดวงตาของต้วนหวู่หยาเป็ประกาย จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “เอาละ พอแค่นี้ ทุกคนควรออกเดินทางได้แล้ว ส่วนหลินเฟิง เ้าต้องคุ้มกันองค์หญิงเพื่อความปลอดภัยของนาง”
เมื่อได้ยินคำพูดของต้วนหวู่หยาแล้ว ผู้คนต่างต้องประหลาดใจ สุดท้ายแล้วต้วนหวู่หยาก็เลือกหลินเฟิง เขาให้ความสำคัญต่อหลินเฟิงมากยิ่งกว่าเยว่เทียนเฉินที่เป็ผู้สืบทอดของตระกูลเยว่ในอนาคต ทำให้หลายๆ คนรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อ ถึงอย่างไรเื่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่ป่าเซียงซือในวันนั้น มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เื่นี้
ในสายตาของผู้คนแล้ว หลินเฟิงนั้น สุดท้ายก็ยังคงเป็หลินเฟิง แม้จะมีพร์ที่โดดเด่น แต่ยังไม่สามารถเทียบได้กับผู้สืบทอดของตระกูลเยว่ที่เป็หนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง ซึ่งดูเหมือนว่าผู้คนได้คาดการณ์ไว้แล้ว ต้วนหวู่หยายังให้ความสำคัญกับหลินเฟิงอย่างมาก แม้แต่ความปลอดภัยขององค์หญิงก็ปล่อยให้หลินเฟิงเป็คนดูแล
หลินเฟิงเองก็ประหลาดใจ ความจริงแล้วหากเมื่อครู่นี้เยว่เทียนเฉินไม่ยั่วยุและดูถูกเขา เขาก็คงไม่ทำเช่นนั้น แม้ต้วนซินเยี่ยจะรู้สึกดีกับเขา แต่สุดท้ายแล้วมันก็ยังไม่ใช่ความรัก ด้วยโฉมหน้าที่งดงามของต้วนซินเยี่ยและนิสัยของนาง คงไม่มีชายใดที่เห็นนางแล้วจะไม่เกิดความหื่นกระหายได้
“ท่านลุงต้วน เพื่อความปลอดภัยขององค์หญิงข้าจึงส่งให้หลินเฟิงดูแล ส่วนคนอื่นก็สามารถร่วมได้เช่นกัน” ต้วนหวู่หยากล่าวกับต้วนเทียนหลาง แล้วกล่าวต่อว่า “ต่อจากนี้ภายในกองทัพมีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่สามารถสั่งการหลินเฟิงได้ หลินเฟิงก็แค่ต้องรับผิดชอบความปลอดภัยขององค์หญิง ส่วนเื่อื่นจะยุ่งหรือไม่ก็ได้ และทหารต้องช่วยเหลือหลินเฟิงหากเขา้า”
สิ้นสุดเสียงของต้วนหวู่หยา เหล่าทหารต่างต้องประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าต้วนหวู่หยาจะให้สิทธิพิเศษแก่หลินเฟิงขนาดนี้
“ต้วนหวู่หยา… กำลังปกป้องข้า”
หลินเฟิงตกตะลึง แล้วเข้าใจความหมายของต้วนหวู่หยาทันที ที่ส่งเขาไปทำหน้าที่นั้นก็เหมือนกับกันศัตรูของหลินเฟิงให้ ต้วนหวู่หยากังวลว่าพวกเขาจะใส่ร้ายหลินเฟิง เขาจึงได้ให้หลินเฟิงเป็องครักษ์ขององค์หญิง นอกจากนี้มันยังเป็การเตือนคนอื่นด้วยว่าหากใครล่วงเกินหลินเฟิง นั่นเท่ากับว่าเป็การล่วงเกินองค์หญิงด้วยเช่นกัน
“หลินเฟิง เ้าได้ยินที่ข้าพูดแล้วใช่ไหม?”
ต้วนหวู่หยากล่าวด้วยน้ำเสียงเ็าและมองหลินเฟิง คราวนี้เขาไม่มีน้ำเสียงที่อบอุ่นหรือเป็มิตร มีเพียงน้ำเสียงที่น่าเกรงขาม นี่สิถึงจะเหมือนองค์ชายที่แท้จริง
“ข้าน้อยรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
หลินเฟิงพยักหน้า แน่นอนว่าเขาไม่สามารถปฏิเสธหน้าที่ที่ต้วนหวู่หยามอบให้เขาปกป้ององค์หญิงได้
“เอาล่ะ งั้นข้าจะส่งองค์หญิงให้เ้าดูแล”
ต้วนหวู่หยากล่าวขณะมองหลินเฟิงอย่างลึกซึ้ง แล้วหันไปหาต้วนเทียนหลางและกล่าวว่า “ท่านลุง เหล่าทหารก็ต้องรบกวนท่านแล้ว เมื่อถึงเมืองต้วนเริ่นก็ร่วมมือกับท่านแม่ทัพเทพลูกศรปราบศัตรู และข้าจะรอท่านที่กลับมาพร้อมชัยชนะและเกียรติยศในเมืองหลวง”
“ฝ่าา ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อจะเอาชนะพวกโม่เยว่และป้องกันเมืองต้วนเริ่นให้ได้” ต้วนเทียนหลางกล่าวอย่างสงบ ต้วนหวู่หยาพยักหน้าเล็กน้อยและเหลือบมองต้วนซินเยี่ย แล้วหันหลังจากไปอย่างไม่ลังเล
ต้วนเทียนหลางเดินกลับที่นั่งของตน ท่าทีของเขาในยามนี้ดูน่าเกรงขามอย่างมาก เขาเหลือบมองฝูงชนและกล่าว “ทหาร! กลับไปประจำตำแหน่ง!”
ทหารเกราะทองแดงรีบนำกลองาที่เหลือไปเก็บอย่างรวดเร็ว
ผู้คนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่และสำนักเทียนอี้ต่างลุกยืนขึ้น ในฐานะทหารการเชื่อฟังคำสั่งผู้บัญชาการ ถือเป็เื่สำคัญมาก
เยว่เทียนเฉินเหลือบมองหลินเฟิงอย่างเยือกเย็นพร้อมจิตสังหารในดวงตา จากนั้นเขาก็หันหลังและเดินกลับไปประจำตำแหน่ง
หลินเฟิงััได้ถึงจิตสังหารอันเยือกเย็นของอีกฝ่ายได้ จึงกล่าวอย่างเ็าว่า “หวังว่าเ้าจะไม่มายั่วยุข้าอีก”
หลังจากนั้นหลินเฟิงก็กลับไปยังตำแหน่งของสำนักเทียนอี้
“หลินเฟิง”
ในขณะนั้นต้วนเทียนหลางได้คำรามออกมา ทำให้หลินเฟิงที่กำลังเดินอยู่ต้องชะงักฝีเท้าและหันกลับมามองต้วนเทียนหลาง
“เ้าไปผิดทาง” ต้วนเทียนหลางกล่าวอย่างไม่แยแส “ตอนนี้เ้าเป็องครักษ์ขององค์หญิง เ้าคิดจะเดินไปไหนมาไหนก็ได้หรือ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับองค์หญิง เ้าจะต้องรับผิดชอบ”
ม่านตาของหลินเฟิงหดลงเล็กน้อย ต้วนเทียนหลางเริ่มกดดันเขาแล้ว อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลดังกล่าวของเขา หลินเฟิงก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
“ความผิดของข้าเอง”
หลินเฟิงยิ้มและเดินไปหาองค์หญิงต้วนซินเยี่ย ต้วนเทียนหลางเป็ถึงแม่ทัพใหญ่ การแสดงท่าทีกดดันของเขาถือว่าเป็เื่ปกติ ตอนนี้สิ่งที่เขา้าทำก็คือ ไม่ปล่อยให้หลินเฟิงได้มีโอกาสแก้ตัว
“ต้องรบกวนเ้าแล้ว”
ต้วนซินเยี่ยมองหลินเฟิงที่กำลังเดินมาด้วยแววตาอ่อนโยน
“ได้เป็องครักษ์ขององค์หญิง ถือว่าเป็เกียรติของข้านัก”
หลินเฟิงกล่าวอย่างสุภาพ
ต้วนซินเยี่ยเพียงมองหลินเฟิงนิ่งๆ ขณะกะพริบตาสองครั้ง จากนั้นนางก็หัวเราะและกล่าวว่า “หลินเฟิง ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเ้าไม่เป็ตัวของตัวเองเลย”
หลินเฟิงกำลังมองรอยยิ้มที่สวยงามและสดใสของนาง เขาเพียงยักไหล่และเผยรอยยิ้มที่มุมปากออกมาเล็กน้อย
“เ้าเล่ห์นักนะ”
มีเสียงหนึ่งลอยเข้ามาในหูของหลินเฟิง หลินเฟิงรู้สึกว่าด้านหลังมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องเขม็งมาทางนี้ เมื่อหลินเฟิงหันหลังไปก็เห็นหลิ่วเฟยกำลังถลึงตาใส่เขาอยู่
สาวน้อยคนนี้ หรือว่าจะหึง?
จากนั้นหลินเฟิงก็มองไปที่เมิ่งฉิง แต่นางก็ยังคงเยือกเย็นเหมือนเดิม ไม่เหลือบมองหลินเฟิงเลยสักนิด ทำให้เขาต้องยิ้มอย่างขมขื่น ผู้หญิงคนนี้ทำไมถึงได้เยือกเย็นขนาดนี้กัน
เมื่อต้วนเทียนหลางเห็นทุกคนกลับไปประจำตำแหน่งแล้ว เขาก็สั่งการทันที “ทหาร เดินทัพ!”
“เดินทัพ!”
ทหารหลายหมื่นนายะโอย่างพร้อมเพียง จนผืนดินถึงกับสั่นะเื
…
ไม่กี่วันต่อมาในบริเวณผืนดินอันกว้างใหญ่ ฝุ่นทรายคละคลุ้งไปทั่วท้องฟ้าขณะเหยียบย่ำผืนดิน
บนเส้นทางสายเก่า ทหารนับหมื่นนายกำลังควบม้าไปตามทางที่แสนยาวไกลพร้อมกับทิ้งฝุ่นควันไว้ข้างหลัง
ด้านหน้ามีม้าสองตัวที่ถูกควบโดยองค์หญิงต้วนซินเยี่ยและหลินเฟิง นางไม่้านั่งอยู่ในรถม้าเพราะไม่้าความสะดวกสบาย นางอยากเป็ทหารปกติคนหนึ่ง
แน่นอนว่าในทวีปเก้า์ ในโลกของผู้ฝึกยุทธ์นั้นหากเป็ผู้หญิงก็มีน้อยมากที่ถูกตามใจมาั้แ่วัยเยาว์ การควบม้าด้วยระยะทางนับหมื่นลี้โดยไม่ได้วางแผนอะไรเลย สิ่งที่เกิดขึ้นอาจมีเพียงความเหนื่อยล้าเท่านั้น
ดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า แสงแดดสะท้อนกับหมู่เมฆ กลายเป็ทัศนีภาพที่สวยงาม
จากที่ห่างไกลมีเมืองที่ดูเก่าแก่และเรียบง่าย มันดูเงียบสงบอย่างมาก มีสายลมเล็กน้อยพัดผ่านและทำให้บรรยากาศดูอ้างว้างเล็กน้อย
ถึงแล้ว เมืองต้วนเริ่น!
ในที่สุดทั้งสามกองทัพก็มาถึงเมืองต้วนเริ่นแล้ว แต่ตอนนี้ประตูเมืองยังปิดอยู่ ส่วนทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองเพียงกวาดสายตามองอย่างเ็า และไม่ได้เปิดประตูให้พวกเขาแต่อย่างใด
“แม่ทัพเทียนหลางได้มาถึงแล้ว ทำไมยังไม่รีบเปิดประตูอีก!”
หนึ่งในทหารที่ควบม้าอยู่ด้านหน้าทั้งโบกธงและะโอย่างดัง เพื่อให้ทหารที่อยู่บนประตูเมืองรับทราบ
ทหารที่อยู่บนประตูเมืองเหลือบมองกองทหารเบื้องล่างอย่างเฉยชา และหนึ่งในนั้นกล่าวก็อย่างไม่แยแสว่า “หากไม่มีคำสั่งจากแม่ทัพก็ไม่สามารถเปิดประตูได้”
“หืม?” เมื่อทหารที่อยู่ด้านหน้าได้ยินเสียงตอบดังนั้น พวกเขาต่างประหลาดใจไปตามๆ กัน หากไม่มีคำสั่งแม่ทัพก็ไม่เปิดประตูหรือ?
ทหารคนหนึ่งะโอย่างเกรี้ยวกราดว่า “พวกเราเป็ทหารจากเมืองหลวง มีรับสั่งให้มาที่นี่ และเทียนหลางอ๋องก็เป็แม่ทัพ จงรีบเปิดประตูเมืองให้พวกข้าเข้าไปโดยเร็ว”
“ไม่มีคำสั่งจากแม่ทัพก็ไม่สามารถเปิดประตูได้”
น้ำเสียงของทหารที่อยู่บนประตูเมืองยังคงเยือกเย็น
ที่เมืองต้วนเริ่น มีแม่ทัพหลิ่วชั่งหลันเป็ประมุข นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครสามารถสั่งการทหารได้
“หลิ่วชั่งหลัน ช่างอวดดียิ่งนัก ดูเหมือนว่าเชื้อพระวงศ์เสวี่ยเยว่จะไม่ได้อยู่ในสายตาเ้าเลย” ต้วนเทียนหลางกล่าวเสียงเ็า “หรือเ้าหลิ่วชั่งหลันยัง้าที่จะเป็ประมุข?”
เมื่อได้ยินคำพูดของต้วนเทียนหลาง จู่ๆ ผู้คนต่างหันหน้ากระซิบกันวุ่นวาย แต่ตอนนี้หลินเฟิงกลับแสยะยิ้มและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง สิ่งที่พวกเขากล่าวมาไม่ได้โกหกแต่อย่างใด ทหารที่อยู่บนประตูเมืองต่างรู้ว่าพวกข้าล้วนแข็งแกร่ง แต่ก็ยังคงเพิกเฉยและไม่เปิดประตู นี่แสดงให้เห็นว่าท่านแม่ทัพเทพลูกศรสอนวินัยให้ทหารของเขาได้ดีแค่ไหน”
“ท่านอ๋อง ท่านเพิ่งมาได้ไม่นาน ก็บอกว่าท่านแม่ทัพเทพลูกศรตั้งตัวเป็ประมุขแล้วงั้นหรือ?”
เมื่อต้วนเทียนหลางได้ยินคำถามของหลินเฟิง เขาก็มองหลินเฟิงอย่างเยือกเย็นและกล่าวว่า “ข้ากำลังพูดอยู่ ใยเ้ามาขัด? เ้าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่?”
“ท่านอ๋อง ท่านเข้าใจผิดแล้ว คราวนี้ข้าได้รับคำสั่งมาให้เป็องครักษ์ขององค์หญิง ข้าจึงใช้พลังทั้งหมดเท่าที่ข้ามีได้เพื่อความปลอดภัยขององค์หญิง สิ่งที่ท่านอ๋องกล่าวมาเมื่อครู่มันจะส่งผลร้ายแรง อาจก่อให้เกิดการฏได้ ถ้าหากการก่อฏเกิดภัยต่อองค์หญิงขึ้น ท่านต้วนเทียนหลางจะรับผิดชอบอย่างไรกัน”
หลินเฟิงจ้องมองต้วนเทียนหลางอย่างไม่เกรงกลัวและไม่หนีไปไหน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้