เดิมทีหรงหว่านซีไม่ยอมให้บิดาลุกไปพบแขกทว่าองค์รัชทายาทเสด็จมา นอกจากนั้นยังพาพยานมาด้วยอีกคนหนึ่ง หากท่านพ่อไม่พบ จะไม่เป็การทำให้ผู้อื่นคิดว่าท่านพ่อนึกแค้นเคืององค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ? หากองค์รัชทายาทฉวยโอกาสทำเื่นี้ให้เป็เื่ใหญ่บอกว่าท่านพ่อประพฤติตนเหินห่างไร้มารยาหากรู้ไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้ย่อมไม่ใช่เื่ดี
“ท่านพ่อลูกจะหลบไปก่อนนะเ้าคะ” หรงหว่านซีเอ่ย
แม่ทัพหรงหยักหน้าเอ่ยกับเด็กรับใช้ว่า “ให้คนด้านนอกพาองค์รัชทายาทเสด็จเข้ามาช้าสักหน่อยข้าจะออกไปต้อนรับเดี๋ยวนี้”
เพื่อหลีกเลี่ยงการระแวงและแสดงถึงความจริงใจในการมาเยี่ยมเยียนมิใช่การมาหาเื่ ถึงจงใจเดินทางมาหลังมีพระราชเสาวนีย์เป็เวลาห้าวัน
เมื่อเห็นหรงชิงรอต้อนรับอยู่ในลานจวนอย่างนอบน้อมองค์รัชทายาทจึงรีบเข้าไปประคองเขา “ได้ยินว่า่นี้สุขภาพของท่านแม่ทัพไม่ดีนักเปิ่นกงเป็ห่วง จึงตั้งใจเอายาบำรุงจากจวนมาให้ จงเอาโสมคนออกมาให้แม่ทัพหรง”
ขณะตรัสมีข้ารับใช้ด้านหลังเปิดกล่องในมือเผยให้เห็นโสมคนหนึ่งราก ข้ารับใช้ใช้เข็มเงินแทงลงไป หลังรอครู่หนึ่งเมื่อปรากฏว่าไร้พิษจึงปิดกล่องและส่งโสมคนให้แม่ทัพหรง
“นี่มัน...ไท่จื่อทรงพระราชทานสิ่งของล้ำค่าถึงเพียงนี้ เวยเฉิน[1] จะกล้ารับได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?” หรงชิงเอ่ยปฏิเสธ
“หือท่านแม่ทัพจงรีบรับเอาไว้เป็พอบุตรสาวของท่านแม่ทัพใกล้จะออกเรือนกับน้องสามของเปิ่นกง ในฐานะที่เปิ่นกงเป็พี่ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะทำอะไรสักอย่างมิใช่หรือ? นี่คือสิ่งที่เปิ่นกงมอบให้ท่านแม่ทัพเพื่อแสดงความยินดีเป็การส่วนตัวในวันพิธีมงคลยังจะมีสิ่งของแสดงความยินดีอย่างเป็ทางการถูกส่งมาอีก”
เมื่อองค์รัชทายาททรงมีท่าทีเช่นนี้หากแม่ทัพหรงไม่รับไว้คงจะไม่ใช่การดี จึงทำได้เพียงรับน้ำพระทัยเมื่อรับโสมคนมาจึงขอบพระทัยและเชิญองค์รัชทายาทกับเ้ากรมหวังเข้าไปนั่งในเรือนหลัก
ชูเซี่ยลอบมองอยู่ตรงต้นไม้ด้านข้างเมื่อเห็นแม่ทัพหรงและองค์รัชทายาทเข้าไปเรือนหลัก จึงรีบวิ่งไปบอกคุณหนูของตน
“คุณหนูเ้าคะไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยทรงแสดงท่าทีเกรงอกเกรงใจนายท่านคล้ายกับกำลัง้าขอโทษและยังมอบโสมคนให้นายท่านด้วยเ้าค่ะ” ชูเซี่ยเอ่ย
หรงหว่านซีพยักหน้าและคิดพิจารณาในใจนี่ไม่ใช่นิสัยขององค์รัชทายาท องค์รัชทายาทเสด็จมาเกรงว่าคงจะมีแผนการอื่นไม่รู้ท่านพ่อจะรับมือได้หรือไม่ ท่านพ่อเป็คนไม่ขลาดกลัวอย่าได้ตกหลุมพรางองค์รัชทายาทจึงจะดี
ครั้นเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูปท่านลุงจงเข้ามารายงานว่า “คุณหนู ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยมีพระประสงค์จะพบคุณหนูให้ได้ตรัสว่า้าแสดงความยินดีต่อหน้า นายท่านกำชับว่าให้เรียนคุณหนู ‘ั้แ่ต้น’ขอรับ”
หรงหว่านซีเข้าใจแล้วว่าบิดาน่าจะส่งลุงจงมาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดภายในเรือนหลักให้นางฟังมิใช่การเข้ามาเรียนเพียงไม่กี่ประโยค นางจึงเอ่ยถามว่า “ท่านลุงจงเล่าเหตุการณ์ั้แ่องค์รัชทายาทพบท่านพ่อ จนกระทั่งตรัสว่าอยากจะพบข้า ทุกประโยคทุกการกระทำ จงบอกข้ามาให้หมด”
ท่านลุงจงเล่าเื่โสมคนสิ่งที่พวกเขาสนทนากันหลังจากนั่งลง... สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรไม่เหมาะสมเป็เพียงการแสดงความห่วงใยเท่านั้น
แต่เมื่อได้ยินว่า“ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยทรงตรัสกับใต้เท้าหวังว่า หวังชิง เ้ากลับไปก่อนเถิดเปิ่นกงมียังมีธุระกับคุณหนู...หนูฉายได้ยินไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยตรัสเช่นนี้ด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาดขอรับนายท่านบอกปัดว่าคุณหนูยังไม่ออกเรือน ไม่สะดวกจะพบบุรุษ ทว่าไท่จื่อกลับตรัสว่าคงไม่ใช่เพราะท่านแม่ทัพไม่อยากให้เกียรติเปิ่นกง แต่เป็เหตุการณ์ในอดีตใช่หรือไม่? นายท่านจึงให้หนูฉายมาเรียกคุณหนูขอรับ”
หรงหว่านซีขบคิดเพียงครู่จึงเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งถึงจุดประสงค์ในการเสด็จมาขององค์รัชทายาท
นางสั่งท่านลุงจงว่า“ท่านลุงจง ไปทูลองค์รัชทายาทว่าข้าไม่อยู่ในจวนและพาชูเซี่ยออกไปข้างนอกแล้วหากองค์รัชทายาทตรัสถามว่าข้าไปที่ใดก็จงบอกว่าไม่รู้ หาจนทั่วทั้งจวนก็ไม่พบคาดว่าคงจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก หากเขาไม่เชื่อ อย่างมากก็แค่ค้นจวน”
ท่านลุงจงรู้ว่าคุณหนูของตนมีแผนการและไม่มีทางพลาดพลั้งด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เอ่ยถามสิ่งใด ขานรับเพียงคำเดียวก็ออกไปทำตามคำสั่ง
“ชูเซี่ยพวกเราออกไปทางประตูหลัง” หรงหว่านซีเอ่ย
เ้าอยากจะทำลายชื่อเสียงของข้าไม่ใช่หรือ? หากไม่มีพยานหลักฐานเ้าจะป่าวประกาศออกไปอย่างไรกัน?
ถ้าจะพยายามไล่จับเงาก็ต้องมี ‘เงา’ ถึงจะสำเร็จ
หรงหว่านซีพาชูเซี่ยออกมาทางประตูหลังของจวนชูเซี่ยรีบเดินตามคุณหนูและเอ่ยถาม “คุณหนูเ้าคะ พวกเราจะไปที่ใดกันเ้าคะ?”
“ไปสำนักขุนนางสื่อราชสำนัก”
“หา? สำนักขุนนางสื่อราชสำนัก?คุณหนูเป็สตรี จะไปสถานที่เช่นนั้นด้วยตนเองได้อย่างไรเ้าคะ?นอกจากนั้นสำนักขุนนางสื่อราชสำนักยังตั้งอยู่กลางถนนใหญ่ใจกลางเมืองเื่ที่คุณหนูไปสำนักขุนนางสื่อราชสำนักหากมีผู้ใดเห็นเขาจะเป็เื่ดีได้อย่างไรเ้าคะ?”
“ก็เพราะ้าให้ผู้คนเห็นถึงจะดี”
หากไม่ทำให้ผู้คนใสักหน่อยจะมีพยานยืนยันว่าตอนนี้นางไม่อยู่ในจวนได้อย่างไร?
แม้ว่าเื่ที่สตรียังไม่ออกเรือนไปสำนักขุนนางสื่อราชสำนักถูกกล่าวขานออกไปอาจไม่น่าฟังนักทว่าเื่ที่บิดานอนป่วยอยู่ในจวน ตอนนี้ล้วนเป็ที่ล่วงรู้ของผู้คนหากพระพันปีจะตรัสตำหนิ นางก็แค่บอกว่าไม่อยากให้บิดาต้องลำบากดังนั้นจึงอยากมาเลือกขุนนางสื่อราชสำนัก[2] ด้วยตนเองเท่านั้น
แค่เื่ที่สตรีทั่วไปไม่เคยทำมาก่อนและนางก็ไม่ได้ทำสิ่งใดผิดจารีตเหตุใดถึงจะทำไม่ได้กันเล่า?
หรงหว่านซีพาชูเซี่ยมาถึงสำนักขุนนางสื่อราชสำนักนอกจากนั้นยังจงใจต่อบทสนทนาอยู่หน้าประตูก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน
กูเหนียงทั้งสองเดินเข้าไปในสำนักขุนนางสื่อราชสำนักด้วยกันแน่นอนว่าย่อมเป็ที่สะดุดตาของผู้คน
เมื่อเห็นแม่นางทั้งสองก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเพื่อเข้ามาในสำนักขุนนางสื่อราชสำนักเ้าหน้าที่ผู้หนึ่งจึงออกมาต้อนรับ “คุณหนู ที่นี่คือสำนักขุนนางสื่อราชสำนัก เป็สถานที่ราชการ มีหน้าที่คอยเป็สื่อกลางและจัดการงานมงคลให้กับคุณหนูของเหล่านายท่านตระกูลมั่งคั่งและผู้สูงศักดิ์เมื่อดูจากการแต่งกายของคุณหนู ยังมิออกเรือนใช่หรือไม่?”
หรงหว่านซีไม่เดินเข้าไปข้างในและก้าวถอยหลังออกมาหนึ่งเก้าเพื่อยืนอยู่หน้าประตู“พี่ชายท่านนี้ ข้ายังไม่ออกเรือน แต่ใกล้จะออกเรือนแล้วข้าคือบุตรสาวของแม่ทัพหรงเหตุที่มาวันนี้เพราะอยากจะเลือกขุนนางสื่อราชสำนักท่านหนึ่งให้ช่วยจัดเตรียมงานมงคล”
“หือ?บุตรสาวของแม่ทัพหรงรึ? ผู้ที่ไทเฮาทรงพระราชทานสมรสกับเฉินอ๋องน่ะหรือ?คุณหนูคือคุณหนูตระกูลหรงที่กำลังจะเป็พระชายาเฉินอ๋องอย่างนั้นหรือ?”
หรงหว่านซีไม่ได้กล่าวเสียงสูงหรือเปล่งเสียงดังมานักนางเพียงแต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงยามสนทนาตามปกติ ทว่าเ้าหน้าที่ผู้นี้ตกอกใจึงหลุดร้องด้วยความตกตะลึงอยู่หลายหน เป็เหตุให้ชาวบ้านรอบข้างได้ยินอย่างชัดเจน
ด้วยเหตุนี้จึงเป็ไปตามความ้าของหรงหว่านซี
“ใช่แล้ว”หรงหว่านซีเอ่ย “ท่านพ่อของข้าล้มป่วยข้าไม่อยากให้ท่านพ่อต้องลำบากจึงมาเลือกด้วยตนเองข้าจำได้ว่าในสำนักขุนนางสื่อราชสำนักไม่ได้มีกฎว่าห้ามต้อนรับหญิงยังไม่ได้ออกเรือน?ข้าเข้าไปได้หรือไม่?”
“ไอหยา...นึกไม่ถึงว่าจะเป็คุณหนูหรงนี่เอง ไม่น่าถึงได้มีหน้าตางดงามถึงเพียงนี้...”
“ใช่แล้วช่างงามยิ่งนัก...”
“ไม่เสียแรงที่เป็ผู้ที่ไทเฮาทรงพอพระทัยช่างกตัญญูจนหากจะไม่เอ็นดูก็คงยาก...”
“แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็หญิงที่ยังไม่ออกเรือนมาเลือกขุนนางสื่อราชสำนักด้วยตนเองเช่นนี้ดูจะไม่เหมาะสมนัก...”
“ราชนิกุลยังต้องเลือกขุนนางสื่อราชสำนักด้วยหรือ...”
ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ไปตามความคาดหมายของหรงหว่านซีนางจึงเอาแต่ยกยิ้มไม่เอ่ยสิ่งใด
[1]เวยเฉิน คือคำแทนตัวอย่างนอบน้อม
[2]ขุนนางสื่อราชสำนัก คือแม่สื่อหรือพ่อสื่อที่ได้รับแต่งตั้งจากทางราชการ