ซ่งชิงหลัวดวงหน้างามล้ำ เป็หนึ่งในนวลนางโฉมสะคราญที่สุดของปีหนึ่ง ธรรมดาแล้วหยิ่งทะนงเ็า เป็พวกหัวสูง พร์เองก็เลิศเลอ วาจาการกระทำค่อนข้างรุนแรง กิตติศัพท์ในหมู่ศิษย์สูงมาก เวลาเดียวกันก็มีผู้ไม่ชอบการวางมาดของนางอยู่ด้วย
คนจำนวนหนึ่งก็อยากได้ความบันเทิง ด้วยการมองแม่หญิงหัวสูงนี่ขายขี้หน้าสักเล็กน้อย
ใต้สังเวียน
เ่ิูเงยหน้าขึ้นมองซ่งชิงหลัวซึ่งยืนอยู่บนสังเวียน
เขาไม่ได้ะโขึ้นไป
“เ้าเป็ลูกพี่ลูกน้องของเสี่ยวจวิน ข้าไม่ทำให้เ้าลำบากใจหรอก” เ่ิูเพียงยิ้มพลางเอื้อนเอ่ย ก่อนหันหลังจากสังเวียนนางมา
ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า ซ่งชิงหลัวได้แอบถอนหายใจเฮือกโต
อีกประการหนึ่งก็เพราะพวกเขากำลังหลุดลอย ไม่คิดเลยว่าจะมีเื่แบบนี้เกิดขึ้น
ั์ตาหมู่ชนมองกลับไปกลับมาระหว่าง่เี่ิและซ่งชิงหลัว ถึงมองออกถึงความถนอมน้ำใจของเ่ิู เท่านี้ก็ไขทุกอย่างได้กระจ่างแล้ว...
เขาให้ความสำคัญกับสหายคือ่เี่ิมากนัก
เ่ิูเป็คนรักเพื่อนคนหนึ่ง
ใครที่ได้เป็สหายเขา คงโชคดีเหลือเกินกระมัง?
คนที่ได้มองก็ได้แต่คิดอิจฉาตาร้อนอยู่ในใจ
เขาย่างกรายมาถึงสังเวียนหมายเลขสอง
เยี่ยนสิงเทียนยืนอยู่บนนั้น เขาก้มหน้ามองเ่ิู
“วันนี้คนที่ข้าจะปราบให้เตียน คือพวกคิดเองเออเองพวกนั้น พวกโง่ที่เหลิงไม่รู้เื่รู้ราว ไม่ข้องเกี่ยวกับเ้า เพราะงั้นข้าจะไม่สู้กับเ้า” เด็กหนุ่มมองเยี่ยนสิงเทียน คลี่ยิ้มพลางเอ่ยต่อ “ข้ารู้ว่าเ้าแกร่งกล้า แต่สภาพการณ์เ้าวันนี้ไม่ดีเท่าไร วันหน้าค่อยมาประมือกันเถิด”
เยี่ยนสิงเทียนหัวเราะออกมา
และนี่ก็เป็ครั้งแรกของคนมากมายที่ได้เห็นเด็กหนุ่มเสือยิ้มยากผู้นี้หัวเราะ
ใบหน้าคล้ำคมสันนั่น พอหัวเราะก็แผ่ความรู้สึกประหลาดไปทั่ว เหมือนมีอะไรดลใจให้คนมองต้องศรัทธาในตัวเขาอย่างไร้ข้อแม้
“ได้” เ้าสังเวียนตอบรับ “วันหน้ามาประมือกัน”
เ่ิูน้อมมือเคารพ
หลังจากนั้นสายตามวลมหาประชาชีก็จับจ้อง ชายวัยเยาว์เดินมาถึงสังเวียนหมายเลขหนึ่ง
ฉินอู๋ซวงยืนตระหง่านอยู่เรียบนิ่ง
“เพราะงั้น คนที่เ้าเลือกเป็คู่ต่อสู้ ก็คือข้ากระนั้นหรือ?” ฉินอู๋ซวงไถ่ถามน้ำเสียงนิ่ง
เ่ิูพยักหน้ายิ้มๆ เหมือนบทสนทนาประจำวันทั่วไป “ที่จริงแล้ว ตอนนี้ข้าก็ไม่แน่ใจนักว่าจะชนะเ้าได้ แต่ว่า ถึงไม่สู้ก็ต้องสู้”
“อ้อ เหตุผลล่ะ?” ฉินอู๋ซวงถาม
เ่ิูชี้หน้าเฉวียนย่าหลินที่ทั้งตะลึงทั้งโมโหอยู่ไกลๆ ยักไหล่ตอบ “ก็เพราะพวกลิ่วล้อของเ้าไง หลงคิดว่าตัวเองสูงส่งเป็เทพจุติ ้าก่อหวอดในสำนักสงบๆ นี้ กลุ่มศิษย์สูงศักดิ์ไร้สาระอะไรก็ไม่ทราบ ริคิดจะเปลี่ยนชีวิตสี่ปีในสำนักให้กลายเป็ฝันร้าย...ข้าคิดว่าพวกปากหวานก้นเปรี้ยวหยุมหยิมไปทั่วพวกนี้ชั่วร้ายนัก ทุกคนมาที่นี่ก็เพื่อร่ำเรียนวรยุทธ์ แต่ละคนๆ เพิ่งอายุสิบขวบแท้ๆ ริหัดเล่นเล่ห์เหลี่ยมกลโกงสกปรก...เฮอะๆ!”
เ่ิูเอ่ยชัดเจนทุกคำ ทะลุเข้าทุกโสตประสาทคนรอบข้าง
เฉวียนย่าหลินหน้าบูดเบี้ยว
น้ำเสียงของเ่ิูเหมือนผู้ใหญ่สั่งสอนเด็กไม่รู้จักโต แต่ละถ้อยแต่ละคำเหมือนมีดแทงใจดำ กรีดจิตสำนึกเขาอย่างดุร้าย
เื่ที่พวกเขารวมหัวกันเค้นสมองคิดเพื่อเกียรติยศอันสูงศักดิ์นั้น พอออกจากปากเ่ิูแล้ว เหมือนเด็กไม่รู้ประสีประสาเตร็ดเตร่ไปบ้านนู้นทีนี้ที ความโมโหและขุ่นเคืองนี้ สุดจะหาคำพูดใดมาบรรยายได้
“เ้าพูดมาขนาดนี้ เหมือนจะดูดี แต่เอาเข้าจริงแล้ว ล้วนแล้วแต่ไร้สาระ” ฉินอู๋ซวงมองลงมาด้วยแววตาเย่อหยิ่ง เขาเอ่ยต่อ “ชนชั้นสูงอยู่เหนือพวกยาจกข้นแค้นมาแต่โบราณกาล ศิษย์น้องเฉวียนก็แค่้ารักษาธรรมเนียมเื่ชนชั้นของแคว้นเสวี่ยเท่านั้น ผิดตรงไหนกัน?”
เหตุผลนั้นจริงแท้ ใครก็สามารถเอ่ยได้เต็มปากเต็มคำ
เฉวียนย่าหลินได้ยินแล้วก็ทั้งใทั้งยินดี ความมืดแปดด้านเมื่อครู่สลายหายไปเหมือนเมฆหมอก
ฉินอู๋ซวงเป็คนเช่นนี้
หลายครั้งหลายครา ที่เขาเอื้อนเอ่ยเพียงประโยคเดียว ก็สามารถปลุกเร้าขวัญกำลังใจคนติดตามได้ล้นเหลือ
“เื่หยุมหยิมที่เ้าว่ามานั้น ความจริงเป็คำสั่งที่เ้าผู้ครองแคว้นกับขุนนางสืบทอดมาเป็ร้อยๆ ปี เป็กฎหมาย เป็กฎเกณฑ์ เป็พื้นฐานวรยุทธ์ที่มนุษย์สามารถหยัดยืนอยู่ในภพไทวะนี้ได้ ศิษย์น้องเฉวียนทุ่มเทเพื่อปกป้องมัน ผิดตรงไหนกัน?”
ฉินอู๋ซวงมองมาด้วยแววตาอย่างผู้อยู่เหนือกว่า
น้ำเสียงซักถามของเขา แอบแฝงความน่าเกรงขาม
“เ้าเป็แค่เด็กหยาบคายไม่รู้ถูกรู้ผิดมาแต่กำเนิด คิดว่ามีพลังน่าขยาดแล้วจะฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม พวกหละหลวมหยาบช้า ไม่รู้เื่อะไรสักอย่าง ยังกล้ามาพ่นวาจาไร้แก่นสาร ช่าง...น่าขำสิ้นดี”
เอ่ยจบแล้ว ฉินอู๋ซวงพลันหน้าบึ้งตึง
เมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้จากปาก กลิ่นอายกลางสนามแสดงยุทธ์พลันเปลี่ยนแปร เกือบทุกคนรู้สึกหนักหน่วงจากความกดดันที่มองไม่เห็น
เหล่าศิษย์ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกวาจาของฉินอู๋ซวงเข้าครอบงำ กระตุ้นให้ล้มลงศิโรราบแทบเท้าเขา!
ราวกับว่ายามนี้ สิ่งที่ฉินอู๋ซวงผู้แสงอาทิตย์สาดส่องห่อหุ้มเป็อาภรณ์ เอ่ยมาทุกคำคือประกาศิตและความยุติธรรม ใครก็ตามที่บังอาจตีตนเป็ศัตรูกับเขา ล้วนแล้วแต่เป็พวกชั่วช้าทั้งสิ้น
ทุกคนล้วนถูกรัศมีของเขากดดันจนล้มพับไปแล้ว
มีเพียงเ่ิูเท่านั้นที่เป็ข้อยกเว้น
เขาปัดมือไปมา เผยยิ้มไม่ใส่ใจ
“ดูสิ นี่แหละสาเหตุที่ข้าต้องสู้กับเ้า ของกิ๊กก๊อกน่าหัวเราะพรรค์นี้พอออกจากปากเ้าดันกลายเป็ประกาศิตไปเสียอย่างงั้น เฮอะๆ ต่อให้ข้าจะต่อยหน้าเฉวียนย่าหลินให้เน่า หรือฆ่าพวกมันจนเกลี้ยง ก็ไม่มีความหมายอะไร มีแต่ต้องเหยียบย่ำเ้าไว้เท่านั้น ถึงจะทำให้ปีหนึ่งมันสงบ...สะอาดลงได้สักหน่อย”
เ้าสังเวียนสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
“เ้าโอหังบ้าระห่ำ” สายตาที่ชำเลืองมานั้น เสมือนเทพเ้ามองมดปลวกไร้ค่า “เ้าไม่รู้เลยสักนิด ว่าพลังของข้ามีอานุภาพอย่างไร”
“ใช่ไหมเล่า?” แววตาเ่ิูเปี่ยมแววพร้อมออกศึก เขาปลดปลอกสีดำที่สะพายไว้บนหลัง คว้าหอกไน่เหอสองส่วนออกมา กระชับไว้ด้วยมือทั้งคู่ “เหมือนกันนั่นแหละ เ้าเองก็ไม่รู้ว่าพลังที่แท้จริงของข้าเป็อย่างไร มาสู้กัน!”
สิ้นเสียงอันเงียบงัน
เ่ิูเริ่มลงมือก่อนทันใด
เสียงดังตู้ม พื้นดินที่เขาเคยเหยียบแหลกละเอียด แตกร้าวเป็ใยแมงมุมโดยมีเท้าเขาเป็ศูนย์กลาง กระจายโรมรันไปสี่ทิศ
เด็กหนุ่มยืมพลังจากแท่นด้านล่าง ะโพุ่งตัวเข้าจู่โจม
“โจมตี!”
หอกยาวดำทะมึนสั่นไหวในอากาศ หอกสองปลายสับระลอกละเอียดยิบ รับคำสั่งผู้เป็นายเหนือหัว ดั่งูเาเทพาทับถม หมายเข้าตะลุยฉินอู๋ซวง
ลมกรีดร้องดั่งโทสะ
เส้นผมดำยาวของฉินอู๋ซวงสยายอย่างบ้าคลั่ง
เขากู่ร้องเสียงดัง รอบกายพลันปะทุเปลวแสงสีน้ำเงินเอ่อทะลักขึ้นมา พลังงานยากจะจำกัดรูปแผ่รังสีไปทั่วสารทิศ
พลังแห่งใต้หล้า!
“ผนึก!”
มือทั้งสองตะครุบกลางอากาศ แสงวาบวาม ปรากฏดาบั์ไร้ที่มาทอดกายบนความว่างเปล่า เขาจับมันไว้มั่น พลิกมือตั้งรับ!
ครืน!
หอกดาบปะทะ เสียงศาสตราห้ำหั่นน่ากลัวสาดรัศมีเอ่อท่วม
สายลมดั่งพายุสลาตันกวาดล้างทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้าราบเป็หน้ากลอง
กระบวนเพิ่มความแข็งแรงและลดทอนแรงโจมตีบนสังเวียนนั้น เหมือนจะสูญสิ้นไปในพริบตา นักเรียนที่อยู่ในรัศมีสิบเมตรหมดโอกาสหลีกลี้ ถูกพลังกระแทกจนกระเด็น...
เสียงร่ำร้องพรึงเพริดดังไม่ขาดสาย
นักเรียนหลายสิบที่ถูกลูกหลงลอยละลิ่ว เบิกตากว้าง มองเห็นชัดเจนแจ่งแจ้ง ว่าฉินอู๋ซวงที่ยืนอยู่บนสังเวียน ย่างเท้าลงแตะสังเวียนด้วยทีท่าดุร้ายเพียงใด เหมือนรูปปั้นทราย ประมือด้วยกำลังมหาศาลน่ากลัว เริ่มผลาญทำลาย!
เศษหินที่เหลือแต่ผงธุลีล่องลอย
ฝุ่นควันกลบเรือนร่างคนทั้งคู่ไว้สนิท
“นี่มัน...แม่เ้าโว้ย พลังบ้าอะไรกันเนี่ย?”
“สังเวียนโดนเข้าเต็มรักจนพังพินาศแล้วใช่ไหม?”
“มีกระบวนอักขระเสริมความแข็งแกร่งระดับต้นอยู่ สามารถรับนักยุทธ์พลังระดับต้นอาณาน้ำพุิญญาได้ แต่เละตุ้มเป๊ะไปแล้ว...นี่มันหมายความว่าอะไร? พลังโจมตีของเ่ิู...”
“ใครชนะล่ะ?”
“ฉินอู๋ซวงตกเป็รองแล้วมั้ง?”
ยามฝุ่นผงบดบังสายตา เสียงหอกดาบปะทะกันสนั่นหูไม่ขาดสาย เรี่ยวแรงดั่งอัสนีบาตฟาดปฐีเป็รายวินาที
ในที่สุด หลายสิบอึดใจผ่านไป
เสียงกระทบกระทั่งหยุดลง
ม่านผงมลายหาย
คนมากมายแทบลืมหายใจ เบิ่งตามองให้ชัดที่สุดเท่าที่จะชัดได้
กลางซากปรักหักพัง ร่างสองร่างราวกับปีศาจ ยืนตระหง่านไม่ไหวติง
ทั้งฉินอู๋ซวงและเ่ิูล้วนแล้วแต่มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแปลกใจยิ่ง บนกายไร้ซึ่งาแ ศึกที่เพิ่งประมือกันไปมิได้รู้ผลแพ้ชนะ ทว่าก็ประหลาดใจไปด้วยพลังของคู่ต่อสู้
“เ้า...ทำให้ข้าชักสนใจแล้ว” ฉินอู๋ซวงเปรยแช่มช้า
เ่ิูพลิกมือจับหอกดำคู่กาย ปลายหอกหลั่งรวมกับแกนกลาง เสียงกุกกักของกลไกเครื่องจักรแว่วดัง รูปร่างแท้จริงของหอกไน่เหอ ปรากฏชัดเจนแก่ทุกสายตา
“งั้นรึ?” เ่ิูหัวเราะพลางเสริม “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ก็เชิญแสดงพลังที่แท้จริงของอาณาน้ำพุิญญาเ้าออกมาให้หมดเปลือกทีเถอะ นักยุทธ์ที่ภายในตันเธียนกำลังบุกเบิกอาณาน้ำพุิญญาได้ จะมีกลเม็ดเด็ดพราวอะไรกันแน่!”
“ได้เลย เ้ามีคุณสมบัติพอ” ฉินอู๋ซวงเงยหน้ามองอย่างถือตัว ‘ดาบไร้ขอบเขต’ อาณาน้ำพุิญญาของข้า มีอิทธิฤทธิ์คั่งค้างสืบไปอีกหลายเดือน เ้ารับการโจมตีจากมันได้ ก็น่าภูมิใจแล้ว!”
ดาบั์โบราณ ‘ดาบไร้ขอบเขต’ ตัวดาบหนาหนัก ไร้ซึ่งแกนดาบเฉกธรรมเนียมนานมา มีแต่เป็โพรงโบ๋ลงไป มีอักขระสีเืสลักไว้ พลังแปลกประหลาดวับวาม
นี่คือหนึ่งในศาสตราิญญา
นักยุทธ์ที่ล่วงเข้าอาณาน้ำพุิญญา สามารถใช้จุดตันเถียนบุกเบิกพลังของน้ำพุิญญา ตาน้ำพุวิวัฒนาการเมื่อใดก็จะกลายเป็น้ำพุิญญา บ่อน้ำิญญาพลังล้นบ่า น้ำชะล้างบำรุงกายเนื้อ เพิ่มพูนพลังให้แก่นักยุทธ์ไปอีกขั้น
ยามเดียวกันนี้ นักยุทธ์ก็จะได้รับจุดตันเถียนมา แช่อยู่กับบ่อน้ำพลังของตาน้ำพุ หากเป็เช่นนี้ไม่เพียงจะเพิ่มพูนความแกร่งกล้าและระดับของผู้ฝึกเท่านั้น ยังสามารถปรับสภาพกายและนักรบิญญาให้เข้ากับสภาพการณ์เยี่ยงเยี่ยมยุทธ์ สำแดงพลานุภาพต่อกรอันน่าครั่นคร้าม
น้ำของบ่อน้ำิญญาอุ่นอ่อนสำรองนักรบิญญาไว้ นี่คือข้อได้เปรียบขอบนักยุทธ์อาณาน้ำพุิญญา
คนนอกล้วนร่ำลือ ว่าฉินอู๋ซวงผ่านเข้าอาณาน้ำพุิญญาไปครึ่งหนึ่งแล้ว เขาบ่มเพาะความร้ายกาจของพลัง แต่พอมาดูตอนนี้แล้ว อัจฉริยะจากสำนักเ้าเมืองผู้นี้ มีพลังแอบแฝงเยอะกว่าที่เข้าใจ ไม่เพียงหยุดอยู่แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น เขาผ่านมันทั้งแท่งแล้วปะไร
เหล่าผู้ผ่านจุดตันเถียนเข้าอาณาน้ำพุิญญา สำหรับลู่ิทั้งนครแล้ว สามารถเรียกได้ว่าเป็ระดับสูง
และฉินอู๋ซวงเพิ่งจะอายุได้สิบเอ็ดปีเท่านั้น
อนาคตอันใกล้ของเขา ไร้ขีดจำกัด
ตรงข้ามกัน
เ่ิูยกมือขึ้นด้วยท่วงท่าน่าพิศวง กระชับหอกไน่เหอไว้ด้านหลัง หอกั์ยาวสามเมตรกว่าเบี่ยงกายเป็แนวขวาง สำแดงความโเี้รังคนสะดุ้งโหยง
หากเทียบกันแล้ว เ่ิูตัวเล็กกว่าเล็กน้อย คนรู้กันว่าหอกยาวนี้คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ คนธรรมดาเดินดินมิอาจปลุกเร้าความอำมหิตของมันได้
“ถอยออกไปห้าร้อยเมตรเสีย!”
ฉินอู๋ซวงออกคำสั่งอารามเคยชินต่อทุกชีวิตที่ห้อมล้อมมองดู