สายตาของเฟิงจิ้งอี้หยุดอยู่ที่ใบหน้าของเขาไม่กี่วินาที ก่อนจะหันออกไปเงียบ ๆ พร้อมกับเปลี่ยนเื่ได้อย่างราบรื่น
“ที่จริงแล้วเมื่อไม่นานมานี้แม่ทัพฮั่วได้ส่งจดหมายถึงเจิ้น กล่าวว่าตระกูลเหยียนส่งอาหารจำนวนไม่น้อยไปยังชายแดน เจิ้นรู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง”
ตระกูลเหยียนนี้ เขาเดาไว้ไม่ผิดจริง ๆ เหยียนชิงมักจะทำสิ่งที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมเสมอ
อิ้งหลีก้มศีรษะเพียงครู่แล้วพูดว่า
“กระหม่อมได้ยินจากน้องสะใภ้ว่า ฤดูหนาวที่ผ่านมา เมืองเล็ก ๆ ใกล้ชายแดนทางเหนือสูญเสียอาหารไปจำนวนมากเนื่องจากถูกฝูงสัตว์ร้ายเข้าไปสร้างความเสียหายระหว่างอพยพเข้ามาใน่ฤดูหนาว อาหารที่แม่ทัพฮั่วหยางสะสมเอาไว้ได้ถูกแจกจ่ายให้กับประชาชน บวกกับ...ตี้จวินก็ทรงทราบที่มาของพี่สะใภ้ เขามีความรู้สึกลึกซึ้งต่อชายแดนเหนือ ดังนั้นจึงได้หารือกับชิงเอ๋อร์ สามารถช่วยแบ่งเบาความทุกข์ให้กับตี้จวินทั้งยังเป็เกียรติแก่ตระกูลเหยียนอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
อิ้งหลีเคยพบเจอกับเื่ราวต่างๆ มาหลายครั้งแล้ว และพบว่าในตอนนี้เขาสามารถพูดถึงสถานการณ์ของเว่ยซูหานต่อหน้าตี้จวินได้แล้ว
เฟิงจิ้งอี้ขมวดคิ้ว จากนั้นเขาก็พูดในสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้
“อืม มีใจอยากช่วยเหลือ... แต่ว่า เหยียนชิงตามใจภรรยาของเขามาก แตงที่ฝืนเด็ดจากต้น[1] มันยังอร่อยอยู่หรือ”
เขาสามารถเห็นได้ว่าเหยียนชิงกำลังปูทางให้เว่ยซูหาน แต่ก็ทำอย่างค่อยเป็ค่อยไป ทำทุกเื่อย่างถูกต้อง แม้ว่าเขาอยากจะสร้างปัญหาก็ตามเขาก็หาข้ออ้างดี ๆ ไม่ได้เลย
อิ้งหลีส่ายหัว “เกรงว่าตี้จวินจะเข้าใจผิดแล้ว พวกเขาไม่ได้ฝืนเด็ด แต่เป็บังเอิญโดนเป้า[2]มีความสุขทั้งคู่ต่างหากพ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนหน้านี้ยามอยู่จวนเคยเห็นชิงเอ๋อร์และซูหานตัวติดกันเหนียวหนึบ หวานกันเป็อย่างมาก จากคำพูดของหงเย่าก็คือ เมื่อได้มองดูสองสามีภรรยาแสดงความรัก หัวใจที่ถูกพวกเขาชักนำช่างหวานล้ำ
เฟิงจิ้งอี้เห็นว่าเขาเม้มปากนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นเขาจึงกระซิบว่า “เป็อย่างไร เ้าอิจฉาหรือ?”
“แค่ก...” อิ้งหลีแสดงอาการเขินอายกับการที่เขาหยอกล้อออกมาด้วยใบหน้ากึ่งยิ้ม แล้วรีบส่ายหัวปฏิเสธ “ไม่ เพียงแค่คิดว่าพวกเขาช่างดีจริง ๆ ชิงเอ๋อร์มีซูหานค่อยดูแลทุกคนจึงสามารถวางใจได้
“อืม...”
เฟิงจิ้งอี้ตอบด้วยน้ำเสียงแ่เบา อิ้งหลีพูดอะไรไม่ออก ทั้งสองต่างเงียบงันไป
อิ้งหลีไม่รู้ว่าเป็ภาพลวงตาของตัวเองหรือเปล่า รู้สึกว่าดวงตาของตี้จวินกวาดผ่านใบหน้าของเขาเป็ครั้งคราว ทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้นไปจะต้องสบเข้ากับสายตาลึกล้ำคู่นั้น หลังจากทำเช่นนี้อยู่ไม่กี่ครั้งเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาดื่มเหล้า
เหล้าหมดไปหนึ่งขวด เดิมควรถึงเวลาแยกย้าย แต่เฟิงจิ้งอี้กลับให้หยางเหิงยกเข้ามาใหม่อีกขวด อิ้งหลีย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ จนเริ่มเมามายจึงนึกขึ้นมาได้ว่าเหล้าชนิดนี้มีฤทธิ์แรงมาก... ดื่มจนเมาแล้วถึงได้รู้ว่าควรพอเสียที
“ตี้จวิน กระหม่อมเมาแล้ว ดื่มไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อิ้งหลียกมือขึ้นกันไว้เมื่อเฟิงจิ้งอี้กำลังจะรินเหล้าให้เขาอีกครั้ง “ดึกมากแล้ว กระหม่อมควรกลับไปได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่เช่นนั้นเมื่อกลับไปพบสาวน้อยหงเย่า นางจะต้องบอกกับชิงเอ๋อร์เป็แน่ว่าเขาใช้ชีวิตอย่างสำมะเลเทเมาอีกแล้ว
เฟิงจิ้งอี้มองเข้าไปในสายตาที่พร่ามัวของเขาพร้อมกับถามเบา ๆ “เมาแล้วหรือ?”
อิ้งหลีพยักหน้าทั้งใบหน้าที่แดงก่ำ “พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากได้รับประสบการณ์จากงานเลี้ยงครั้งนั้น เขาก็ตรงไปตรงมามากขึ้นเกี่ยวกับอาการมึนเมา เมื่อเมาแล้วก็คือเมาแล้วไม่จำเป็ต้องแสดงความกล้าหาญ ความสามารถในการดื่มของเขาเทียบกับตี้จวินไม่ได้เลย
“จอกสุดท้าย เจิ้นรินไปแล้ว เ้าจะไม่ดื่มไม่ได้”
เฟิงจิ้งอี้ใช้มือหนึ่งคว้ามือของเขาไว้ และใช้อีกมือถือขวดเหล้าจากนั้นจึงรินเหล้าลงไปจนเต็มจอก
อิ้งหลีถือจอกเหล้าขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้าง “กระหม่อม คารวะตี้จวิน”
เฟิงจิ้งอี้ยกจอกของตนขึ้นมา “ดื่ม”
สำหรับสิ่งที่เรียกว่าความจุสุรา[3] เมื่อข้ามเส้นวิกฤตไปแล้ว ดื่มอีกจอกก็เหมือนกับดื่มอีกขวด อิ้งหลีที่ยังคงมีสติสัมปชัญญะรู้สึกวิงเวียนมากขึ้นหลังจากดื่มเข้าไป เขาตบหน้าผากของตนเองก่อนยืนขึ้นคำนับด้วยอาการสั่นเทา
“ตี้จวินพักผ่อนให้เร็วหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอลา”
ั์ตาของเฟิงจิ้งอี้ดำคล้ำเมื่อเห็นว่าเขาเมามากเพียงใด “เ้าไม่ได้เมาเพียงเล็กน้อย กลับได้หรือ?”
อิ้งหลีผงกหัวเล็กน้อยอย่างโง่เขลา “ได้พ่ะย่ะค่ะ ดึกมากแล้ว คงต้องรบกวนหัวหน้าองครักษ์เซียวอีกครั้ง”
เฟิงจิ้งอี้จ้องมองใบหน้าที่แดงก่ำของเขา พูดออกมาเพียงครึ่งเสียง “ดี”
วางจอกเหล้าลงแต่กลับยังกำเอาไว้ด้วยสองมือ ดวงตาเป็ประกายระยิบระยับ จ้องมองผู้ที่จับหน้าผากของตนเองพร้อมเดินโยกเยกไปมา หนึ่งก้าว สองก้าว...
ใน่นาทีสุดท้ายที่จะสามารถเอื้อมมือไปจับชายผ้าของอิ้งหลีได้ เฟิงจิ้งอี้อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไปคว้าชายแขนเสื้อของเขาไว้ แล้วดึงกลับมาไม่เบาไม่หนักจนเกินไป คนที่เวียนหัวและเดินโยกเยกอยู่แล้วจึงถอยกลับมาอย่างไม่มั่นคงพร้อมร้องอุทานออกมา
ใน่เวลาที่กำลังจะล้มลง อิ้งหลีไม่ได้รับรู้ว่าเป็เฟิงจิ้งอี้ที่ดึงชายเสื้อของตนจากด้านหลัง ยังคิดว่าชายเสื้อของเขาบังเอิญไปเกี่ยวกับมุมโต๊ะ
“โครม...”
“กร๊อบ”
หลังจากที่คนล้มลง เฟิงจิ้งอี้ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์จับมือของเขาไว้แล้วดึงเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของตน เสื้อผ้าปัดถูกจอกเหล้าบนโต๊ะอย่างไม่ได้ตั้งใจจนมันหล่นกระแทกพื้นแตกเป็เสี่ยง ๆ
หยางเหิงที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วถามผ่านฉากกั้น
“ตี้จวิน พระองค์...”
“ออกไป”
ไม่รอให้ขันทีหยางพูดจบ เฟิงจิ้งอี้ก็หยุดคำพูดของเขาอย่างเ็า
“พ่ะย่ะค่ะ”
หยางเหิงตอบสนองอย่างรวดเร็ว กลับออกไปอีกครั้งและปิดประตูลง
“โอ้ย...”
อิ้งหลีผู้ซึ่งตกอยู่ในอ้อมแขนของเฟิงจิ้งอี้ส่ายหัวและจ้องมองผู้ที่มองลงมาที่เขาด้วยความสับสน เขากำลังต่อสู้กับจิตใต้สำนึกของตน เฟิงจิ้งอี้ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้กดเขาลงบนแท่นบรรทมนุ่ม ๆ
“ตี้... ตี้จวิน”
อิ้งหลีสับสนจนแทบจะไม่รับรู้สิ่งใดแล้ว เขาไม่โง่หรอกที่เฟิงจิ้งอี้กดเขาลงเช่นนี้ เพราะเมาแล้วหรือเปล่านะ?
“ตี้จวิน โปรดปล่อย...”
“ไม่ปล่อย”
เฟิงจิ้งอี้ปฏิเสธขึ้นมาอย่างเด็ดขาด ใช้มือบีบคางแล้วลูบปลายนิ้วหัวแม่มือไปกับริมฝีปากที่อ่อนนุ่มของเขาเบา ๆ หลังจากนั้นไม่นานก็ก้มศีรษะลงมา
อิ้งหลีเบี่ยงศีรษะหนีในทันทีที่เขาแตะริมฝีปากลงมา จูบของอีกฝ่ายที่แนบลงบนใบหน้าทำให้ใบหน้าที่แต่เดิมร้อนอยู่แล้วยิ่งร้อนมากขึ้นราวกับถูกไฟเผา เพียงแต่การหันศีรษะอย่างรุนแรง ทำให้เขาเวียนหัวมากยิ่งขึ้น ้าที่จะตื่นตัวขึ้นอีกเพียงนิดก็ไม่สามารถทำได้...
“เมื่อครู่ไม่ใช่เ้าบอกว่าจะไม่ปฏิเสธเจิ้นแล้วหรือ?”
เฟิงจิ้งอี้ถามด้วยความไม่พอใจ แต่ในน้ำเสียงมีความอ่อนโยนและเอาอกเอาใจ อิ้งหลียังไม่ได้ตอบ คนบนร่างกลับก้มศีรษะลงมาจูบไปที่ใบหน้าและลำคออีกครั้ง ลมหายใจเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ
สติสุดท้ายที่เหลืออยู่ทำให้อิ้งหลีดิ้นรนโดยไม่รู้ตัว
“อือ... ตี้จวิน ท่านจำคนผิดแล้ว”
นี่จำเขาแทนสนมคนไหนกันล่ะ...
“อิ้งหลี เจิ้นชอบเ้า เ้าไม่รู้สึกเลยหรือ?”
เฟิงจิ้งอี้จับหน้าของเขาให้หันกลับมา ให้เขาและตนเองได้สบตากัน มือหนึ่งสางผมของเขาที่พันกันออก
เขาไม่รู้เลยว่าเพราะเหตุใดอิ้งหลีถึงได้น่ามองมากขึ้นเรื่อยๆ อยากให้อิ้งหลีก้าวเดินข้ามผ่านทุกๆ เื่ไปด้วยกัน
ในตอนแรกเขาคิดว่าอาจเป็เพราะพร์ของอิ้งหลี แต่มีผู้ถูกยกย่องว่าเป็ผู้ที่มีความรู้ความสามารถมากมาย ตัวอย่างเช่น เหยียนชิง เขาก็ไม่เคยมีความรู้สึกพิเศษนี้กับใครนอกจากอิ้งหลี จนกระทั่งในงานเลี้ยงหลังจากได้อุ้มคนเมาจนสับสนขึ้นรถม้าเขาถึงนึกขึ้นมาได้ว่าเป็เพราะชอบนี่เอง
“ชอบหรือ? ตี้จวินเมาแล้วใช่หรือไม่?”
อิ้งหลียกมือขึ้นตบหน้าผากของตน เขายังไม่เข้าใจจริง ๆ ควรพูดว่าเขาไม่ได้คิดเกี่ยวกับมันเลย... เป็ไปได้ไหมที่ตี้จวินจะเห็นว่าใจของเขามันเต้นไม่เป็จังหวะจึงตั้งใจจะล้อเขาเล่น?
“อืม เจิ้นเมาแล้ว...”
เฟิงจิ้งอี้กัดคอของเขา ปลดม่านบังตาลง หลังจากปิดกั้นแสงแล้วก็ไม่พูดอะไรอีกเพียงโน้มตัวมาจูบลงมาตรงๆ
“อือ อืมๆ...”
สมองของอิ้งหลีว่างเปล่า เมื่อริมฝีปากของเฟิงจิ้งอี้ปิดลงมา เขากลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว มือสองข้างทั้งผลักทั้งตบไหล่ของเฟิงจิ้งอี้
“ทักษะในการจูบสุดแย่จริง ๆ” เฟิงจิ้งอี้ปล่อยตัวคนออก “เมื่อโดนจูบเ้าจะกลั้นหายใจไปเพื่ออะไร...”
มองดูคนที่หลังจากปล่อยมือแล้วยังคงหอบหายใจแรงอยู่ เฟิงจิ้งอี้อดหัวเราะออกมาไม่ได้ การตอบสนองของอิ้งหลีเกินความคาดหมายของเขา ด้วยตัวเขามักจะให้ความรู้สึกว่าเป็คนที่เริงร่า แม้จะไม่ใช่ทหารผ่านศึก[4] ก็ไม่ควรไร้ประสบการณ์ แต่เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้ที่กลั้นหายใจขณะจูบไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน... เขาเป็ลูกไก่[5] กลายเป็ว่าร่องรอยความไร้เดียงสาที่เผยให้เห็นเป็ครั้งคราวจากความเขินอายนั้นมันเป็ธรรมชาติของเขา
“อิ้งหลี...”
เฟิงจิ้งอี้ก้มศีรษะลงและจับใบหูของเขาเบา ๆ มือปลดเข็มขัดของเขาออกไปแล้ว ฝ่ามืออันอบอุ่นแทรกเข้าไปในเสื้อผ้าแล้วแนบไปกับิัของเขาแล้วอ้อยอิ่งอยู่บนหน้าอกพร้อมกับลูบไล้อย่างแ่เบา ร่างกายของอิ้งหลีสั่นเทาเล็กน้อย จุดที่ได้รับการััรู้สึกร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
จู่ ๆ หน้าอกก็รู้สึกเย็นขึ้นมา อิ้งหลีใมากจนได้สติขึ้นมาเพียงเล็กน้อย
“ตี้จวิน ไม่ได้...”
พวกเขาเป็ฮ่องเต้กับขุนนาง หากข้ามเส้นนี้ไปมันจะวุ่นวาย...
เฟิงจิ้งอี้ “เ้ายังไม่ได้ลองจะรู้ได้อย่างไร?”
“ไม่ใช่ อืม...”
เขาไม่ได้หมายความอย่างนั้น เพียงแต่ว่าเฟิงจิ้งอี้ไม่ให้โอกาสเขาได้อธิบาย ยกมือขึ้นปิดตาของเขาแล้วก้มศีรษะลงปิดปากที่กำลังส่งเสียง
“อือ อืมๆ...”
หลังจากได้รับบทเรียนคนมีสติหลงเหลือเพียงน้อยนิดก็กลับมามึนเมาอีกครั้ง สติสัมปชัญญะสุดท้ายถูกครอบงำด้วยความมึนเมาที่เพิ่มขึ้น แม้แต่การต่อต้านในตอนนี้ก็ค่อย ๆ กลายเป็การยินยอมอย่างไม่รู้ตัว
เฟิงจิ้งอี้พอใจกับสิ่งนี้ ฝ่ามือเคลื่อนเข้าหาช่องท้องส่วนล่างของเขา เสียงทุ้มต่ำกระซิบลงข้างหูอย่างแ่เบาและมีเสน่ห์
“อิ้งหลี ตรงนี้ของเ้าเคยมีสตรีหรือไม่?”
“อืม ไม่... ไม่มี”
อิ้งหลีกลืนน้ำลายอย่างหมดความอดทน ก่อนหน้านี้เขาเคยอยู่ข้างกายเหยียนชิงมาก่อน จะคิดเื่เหล่านี้ได้อย่างไร...
เฟิงจิ้งอี้กัดคอของเขาเบา ๆ แล้วถามว่า “บุรุษล่ะ?”
“หืม?”
คนที่กำลังสับสนไม่สามารถหันไปไหนได้ สูดจมูกเข้ายาว ๆ ดวงตาดอกท้อมีความบ้าคลั่ง มุมปากดูเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม
เฟิงจิ้งอี้รู้สึกว่าลำคอกำลังอัดแน่น ฝ่ามือเอื้อมไปด้านหลังแล้วถามว่า “ข้าถามว่าเคยมีบุรุษได้ััร่างกายของเ้าหรือไม่? เช่นตรงนี้...”
“อืม...” คนที่กำลังรู้สึกบ้าคลั่งคิ้วขมวดเพราะได้รับััที่ไม่คุ้นเคย แต่เขายังตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา “ไม่มี”
ในที่สุดเฟิงจิ้งอี้ก็ยิ้มด้วยความพึงพอใจ มองดูเขาแล้วพูดทีละคำ
“เช่นนั้นเ้าห้ามลืมว่าในคืนนี้รู้สึกเช่นไร”
เสื้อผ้าที่ยับย่นหล่นลงจากเตียงแล้วไหลไปบนพื้น ลมหายใจหอบสั่นจากการค่อยๆ ชักนำอย่างมีชั้นเชิง
ใน่แรกอิ้งหลียังคงสับสน เขาถูกเฟิงจิ้งอี้ปรนเปรอจนรู้สึกราวกับล่องลอยอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก แต่หลังจากนั้นเขาก็เริ่มสงบลง
เขาเป็ผู้ฝึกยุทธ์ แม้ว่าร่างกายจะดูบอบบาง แต่ไม่มีทางรับไม่ไหวจนหมดสติไปจากการมีครั้งแรก ยิ่งไปกว่านั้นเฟิงจิ้งอี้ยังมีประสบการณ์มาก ใส่ใจในความรู้สึกของเขา รู้ว่าควรทำอย่างไรให้เขามีความสุข ยอมอดทนเพื่อให้เขาพอใจ
พวกเขาล้วนอายุยังน้อย รสไขกระดูก[6]เป็รสชาติที่อยู่เหนือการควบคุม ใน่เวลาแห่งความสุขเขาถูกชายผู้นี้ครอบงำด้วยมนต์เสน่ห์พร้อมกล่าวคำรักมากมาย การหอบหายใจของเฟิงจิ้งอี้ยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในหูของเขา เป็ไปไม่ได้ที่เขาจะแสร้งทำเป็ไม่รู้อะไรเลย...
เชิงอรรถ
[1] แตงที่ฝืนเด็ดจากต้น (强扭的瓜) อุปมาถึงการถูกบังคับให้แต่งงาน ส่วนมากจะใช้กับสำนวนแตงที่ฝืนเด็ดจากต้น ย่อมไม่หวาน (强扭的瓜不甜) หมายถึงการทำอะไรโดยฝืนมักได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี แต่งงานแบบนี้จะมีความสุขกันได้อย่างไร
[2] บังเอิญโดนเป้า (歪打正着) อุปมาถึงผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจอย่างไม่คาดคิด ในปัจจุบันมักแปลว่าฟลุ๊ค/โชคดีถูกขึ้นมาโดยบังเอิญ
[3] ความจุสุรา (酒量) หมายถึงปริมาณแอลกอฮอล์สูงสุดที่บุคคลสามารถดื่มได้ในคราวเดียว
[4] ทหารผ่านศึก (身经百战) หมายถึงคนที่มีประสบการณ์อย่างโชกโชน
[5] ลูกไก่ คำอุปมาถึงทารก เด็กอ่อนหัด
[6] รสไขกระดูก (食髓知味) หมายถึงเมื่อได้ลองแล้วรู้สึกว่ามันดีมากจึงต้องลองอีกครั้ง
