บทที่ 1 เดนคนทรงอำนาจ
เทือกเขาเขียวขจี สายน้ำใสมรกต ทิวทัศน์แผ่ไพศาลสุดสายตากว้างสุดลูกหูลูกตา!
ปรากฏชายหนุ่มในชุดคลุมยาวเนื้อผ้าหยาบ ใบหน้าเจือแววองอาจกำลังนอนชมแสงอาทิตย์อัสดงอยู่ใต้ต้นไม้หน้ากระท่อม ไม่นานนัก
ผู้เฒ่าในชุดคลุมเขียวคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมาและเตะชายหนุ่มไปหนึ่งที
“ท่านคิดจะทำอะไร ข้าจัดการเื่ที่ท่านขอร้องให้ทำเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้พวกเรามีฟืนกองเป็ูเาแล้ว” ชายหนุ่มชี้ไปทางกองฟืนที่กองอยู่ด้านหลังกระท่อม
ผู้เฒ่าเดินมาด้านหน้ากองฟืนโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็จุดไฟที่กองฟืนนั้นภายใต้สายตาอันแปลกใจของชายหนุ่ม
“วันนี้พวกเราต้องไปแล้ว เ้าอยากเรียนวิชากระบี่ไม่ใช่หรือ โอกาสมาถึงเ้าแล้ว แต่ว่าเพียงแต่พวกเราต้องไปที่ที่หนึ่งก่อน” เมื่อผู้เฒ่าพูดจบก็พาชายหนุ่มไปจากกระท่อม และพาและพามายังที่ช่องเขาแห่งหนึ่ง
ภายในช่องเขามีหลุมศพร้างอยู่ ด้านหน้าหลุมศพปักป้ายไร้นามเอาไว้
“ท่านผู้เฒ่า นี่คือหลุมศพของผู้ใด” ชายหนุ่มเอ่ยถามผู้เฒ่า
ผู้เฒ่าหันหน้ามามองชายหนุ่ม “ก่อนหน้านี้เ้าเตะป้ายหลุมศพนี่นี้ไปหลายครั้งเลยใช่หรือไม่ ตอนนี้ข้าจะบอกเ้าให้เ้าได้รู้ นี่ก็คือหลุมศพของตัวเ้านั่นแหละ!”
แววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาชี้ไปยังหลุมศพสลับกลับมาชี้ที่อกของตัวเอง
“ใช่แล้ว นี่เป็หลุมศพของเ้า ก่อนหน้านี้สิบสี่ปี ข้าผ่านมายังที่นี่และพบว่าข้างในหลุมยังมีสัญญาณชีวิตอยู่ ข้าจึงขุดเ้าขึ้นมาและเลี้ยงดูเ้ามาตลอดสิบสี่ปี!” ผู้เฒ่ามองชายหนุ่มพลางพูดเอ่ย
ในดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความตกตะลึง “ท่านผู้เฒ่าหมายความว่าฉินชูผู้นี้ไม่ได้ถูกท่านเก็บมาเลี้ยง แต่ถูกถือขุดขึ้นมาอย่างนั้นงั้นหรือ”
“ใช่แล้ว ที่คอของเ้ามีจี้หยกที่สลักคำว่าฉินอยู่ ส่วนคำว่า ‘ชู’ ก็หมายความว่า ‘เริ่มต้น’ เพราะในวันนั้นเป็วันที่แสงอรุณเฉิดฉาย ข้าจึงตั้งชื่อให้เ้าว่าฉินชู หลังจากนี้ไป ข้ามีธุระเื่อื่นที่ต้องจัดการอีก นี่ข้าเสียเวลามาสิบสี่ปีแล้ว และจะปล่อยให้เป็แบบนี้ต่อไปอีกไม่ได้ ดังนั้นวันนี้ข้าจะเล่าเื่ทั้งหมดให้เ้าฟัง” ผู้เฒ่าเอ่ยปากพูด
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินชูชูฉินก็เงียบลง จากนั้นก็โค้งตัวคารวะท่านผู้เฒ่า “ข้าขอขอบพระคุณท่านผู้เฒ่าที่เลี้ยงฉินชูผู้นี้มาตลอดสิบสี่ปี!”
“ตอนแรก บนร่างกายเ้ามีาแจากกระบี่อยู่หนึ่งแห่ง มันทะลวงจนทะลุหน้าอกเ้า การที่เ้ารอดมาได้ก็เพราะในร่างกายเ้ามีสายเืศักดิ์สิทธิ์อยู่ เื่นี้เ้าต้องระวังอย่าเล่าให้ผู้ห้คนอื่นฟังเป็อันเด็ดขาด เพราะมันจะนำพาความตายมาสู่ตัวเ้าเอง” ผู้เฒ่าพูดพลางมองฉินชู
จากนั้นผู้เฒ่าก็เล่าให้เขาฟังต่อว่าฝาหินปิดหลุมศพของเขาถูกตัดด้วยกระบี่ อาจเป็เพราะตอนนั้นคนที่ฝังศพเขาคงรีบร้อนเกินไป เนื่องจากคนผู้นั้นอาจจะพราะคงกำลังถูกตามล่าอยู่ าแบนร่างกายของเขาก็คงเกิดจากฝีมือของผู้ที่ตามล่าเขาอยู่เช่นกัน เบาะแสเดียวที่พอจะชี้ถึงต้นกำเนิดของเขาได้ก็มีแค่เพียงจี้หยก แต่ก็ยังพอมีอยู่อีกหนึ่งวิธีนั่นคือต้องไปที่สำนักชิงหยุน เพราะผู้เฒ่าโม่แห่งสำนักชิงหยุนนั้นเชี่ยวชาญวิชาย้อนนิมิต ซึ่งอาจจะสามารถย้อนนิมิตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสิบสี่ปีก่อนได้
“ตลอดสิบสี่ปีที่ผ่านมา ข้าให้เ้าแช่น้ำโอสถทุกวันจนเืศักดิ์สิทธิ์ในตัวเ้าเริ่มตื่นตัว นอกเหนือจากนี้ ข้าได้ถ่ายทอดวิชาอาคมให้แก่เ้าไปแล้ว ดังนั้นเ้าต้องบำเพ็ญเพียรฝึกตนให้สม่ำเสมอ ในส่วนเื่ที่เ้าขอร้องมาตลอดว่าอยากไปร่ำเรียนวิชากระบี่ที่สำนักชิงหยุน เ้าสามารถไปได้ แต่ควรรู้ไว้อย่างว่าผู้เฒ่าโม่ที่เ้าอยากเจอเจอตัวนั้น พบเจอได้ยากมาก เ้าต้องมีคุณสมบัติที่ถึงขั้นก่อน หากถ้ายังไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะให้ผู้อื่นสนใจ แล้วผู้ใดจะช่วยเหลือเ้า ขืนเ้ายังดั้นด้นอยากรู้เื่ชาติกำเนิดของตัวเองในขณะที่ตัวเ้ายังเป็เช่นกระทั่งแบบนี้ เ้าได้ตายอย่างไม่รู้ตัวแน่ น่นอน ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ก็ต้องฝึกฝนให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่าพรุ่งนี้จะหาข้าวกินที่ไหน!” เมื่อพูดจบ ร่างของผู้เฒ่าก็หายลับไปกับอากาศ
เมื่อผู้เฒ่าจากไป ฉินชูที่ยืนอยู่ด้านหน้าหลุมฝังศพก็ยื่นมือไปลูบป้ายหิน “ไม่ว่าคนที่ฝังข้าจะเป็ไปผู้ใด หัวใจเ้าช่างเหี้ยมโหดที่กล้าฝังข้าทั้งเป็!”
พึมพำอยู่พักหนึ่ง ฉินชูก็กลับมาเก็บของที่กระท่อม เขานำเสื้อผ้าสองสามชุดยัดใส่กระเป๋าแล้ว สะพายขึ้นไหล่ ก่อนจะหายตัวแวบไปจากกระท่อมเพื่อมุ่งหน้าไปยังสำนักชิงหยุน
เงาาคนร่างหนึ่งกำลังวิ่งทะยานอยู่ท่ามกลางเทือกเขา ซึ่งเงาร่างประหนึ่งเสือดาวนักล่า เงานั้นก็ก็คือฉินชูที่พึ่งจากกระท่อมมา
เหล่าสัตว์เดรัจฉานที่ขวางทางล้วนถูกฉินชูซัดจนตาย ไม่เว้นแม้แต่เสือโคร่งที่ดุร้าย
ณ แคว้นหนานเหยียน สำนักชิงหยุนคือสำนักวิถีกระบี่เพียงหนึ่งเดียวในแคว้นนี้ เป็แดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้ที่้าฝึกกระบี่ ทุกครั้งที่สำนักชิงหยุนเปิดรับลูกศิษย์จะมีเหล่าผู้คนที่มุ่งหมายฝากตัวเข้าสำนักนับหมื่น แต่เงื่อนไขรับเข้าเป็ศิษย์ของสำนักชิงหยุดช่างสุดแสนหฤโหด ผู้ที่ผ่านเข้าไปได้มีเพียงหนึ่งในร้อยเท่านั้น
เมื่อพิธีเปิดรับลูกศิษย์ของสำนักชิงหยุนที่หนึ่งปีมีครั้งหนึ่งสิ้นสุดลง ก็มีทั้งคนดีใจและ มีทั้งคนเสียใจ เหล่าชายหนุ่มที่ไม่ได้รับเลือกต่างพากันจากสำนักชิงหยุนไปด้วยความสิ้นหวัง
แผ่นหลังที่สะพายกระเป๋าของชายหนุ่มร่างหนึ่งปรากฏขึ้นหน้า เขามาถึงประตูใหญ่ของสำนักชิงหยุน “เหตุใดพิธีคัดเลือกลูกศิษย์ถึงไม่มีคน”
ลูกศิษย์ของสำนักที่เฝ้าประตูใหญ่มองชายหนุ่มด้วยสายตาที่ราวกับมองเหล่าคนโง่เขลา “พิธีคัดเลือกลูกศิษย์สิ้นสุดไปั้แ่เมื่อวาน เ้ายังมีหน้ามาบอกว่าไม่มีคนอีกหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของลูกศิษย์สำนักชิงหยุน ชายหนุ่มก็ยกมือตบหน้าผากตัวเอง เขารีบเร่งขนาดนี้แล้วยังไม่ทันอีก ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือฉินชูนั่นเอง
“พี่ใหญ่พอจะอนุโลมแหกกฎให้ข้าได้หรือไม่” ฉินชูลูบมือพลางพูดขึ้น เขาหมดสิ้นหนทางแล้ว วันนี้ไม่อาจฝากตัวเข้าเป็ศิษย์ที่สำนักชิงหยุนได้ ข้าวเย็นก็ยังไม่ตกถึงท้อง เขาไม่ยอมทนหิวอยู่เช่นแบบนี้แน่นอน
“เ้าคิดอะไรอยู่ เ้าเป็ใครกันถึงได้เ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้สำนักชิงหยุนของพวกเราแหกกฎ นี่เ้ามันตัวอะไรกันแน่” ลูกศิษย์สำนักชิงหยุนถลึงตาใส่ฉินชู
ฉินชูยีผมที่ยุ่งเหยิงของตัวเอง ก่อนพุ่งเข้าไปต่อยชายที่เฝ้าประตูใหญ่จนล้มลงไปที่พื้นในบัดดล คนที่ด่าเขาต้องถูกต่อยก่อน หลังจากนั้นแล้วค่อยว่ากัน ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขา เขาเจอสัตว์ร้ายมามากมาย และวิธีการจัดการก็มีเพียงกำปั้นเท่านั้น ถ้าหมัดหนักพอ อีกฝ่ายก็หมดฤทธิ์ ทำได้เพียงแค่แยกเขี้ยวยิงฟันใส่เขา
ลูกศิษย์เฝ้าประตูผู้นี้ล้มลงไปที่พื้น มือกุมท้องตัวงอเหมือนกุ้งก็ไม่ปาน
แต่ขณะที่ลูกศิษย์ขอสำนักชิงหยุนผู้นี้กำลังจะปริปากพูด อยู่ๆ ก็มีชายวัยกลางคนสองคนปรากฏตัวขึ้นมาจากด้านในประตู
“ศิษย์พี่ลู่ ฝากท่านดูแลเด็กของข้าด้วย” ชายวัยกลางคนหนึ่งในนั้นประสานหมัดคารวะอีกคนก่อนจากไป
ชายวัยกลางคนที่เหลืออยู่มองมาทางฉินชู “เ้ากล้าลงมือที่หน้าประตูใหญ่ของสำนักชิงหยุนงั้นหรือ”
“เขาด่าข้า ข้าจึงต่อยเขา แบบนี้ก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือ” ฉินชูถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าวและปรับท่วงท่า ท่วงท่า เขาต้องเตรียมพร้อมก่อนชายวัยกลางคนผู้นี้จะลงมือ
“จริงอยู่ที่ที่เขาด่าเ้าเป็เื่ไม่ถูก แต่การลงไม้ลงมือที่หน้าประตูใหญ่ของสำนักชิงหยุนเป็เื่ต้องห้าม ดู! ดูๆ แล้วเ้าก็ยังเด็กอยู่ ข้าจึงไม่อยากถือสา ว่าแต่เ้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด” ชายวัยกลางคนกวาดมองฉินชูพลางเอ่ยถามอย่างไร้เจตนาจะลงมือกับเขา
ฉินชูถอนหายใจอย่างโล่งอก “ข้าอยากฝากตัวเข้าเป็ลูกศิษย์ของสำนักชิงหยุน จึงอยากให้เขาอนุโลมให้ข้า ดูว่าพอจะแหกกฎได้หรือไม่”
“พิธีรับลูกศิษย์ของสำนักชิงหยุนสิ้นสุดลงแล้ว สำนักชิงหยุนของพวกเราสืบทอดสานต่อมายาวนาน มีลูกศิษย์ในสำนักนับหมื่น ไม่ใช่สำนักปลาซิวปลาสร้อย เ้าคิดว่าสามารถแหกกฎเพื่อเ้าเพียงผู้เดียวได้หรือ” ชายวัยกลางคนแสยะยิ้มเอ่ย
“พวกท่านควรแหกฎ เพราะในภายภาคหน้า สำนักชิงหยุนจะต้องภาคภูมิใจในตัวข้าเป็แน่” ฉินชูพูดพลางมองหน้าชายวัยกลางคน
“เ้าบอกว่าสำนักชิงหยุนจะภูมิใจในตัวเ้างั้นหรือ?” ชายวัยกลางคนเงียบขรึมลงไปพักหนึ่งก่อนพูดขึ้น
“ใช่แล้ว ฉินชูผู้นี้กล่าววาจาเช่น่าแบบนั้น!” ฉินชูยกมือขึ้นทุบหน้าอกตัวเอง
“ท่านาุโลู่ เ้าหมอนี้พูดจาหลักลอย ท่านอย่าไปฟังมัน ข้าจะไล่มันไปเดี๋ยวนี้เลยขอรับ!” ลูกศิษย์เฝ้าประตูที่ถูกฉินชูซัดลุกขึ้นมาพูด
ท่านาุโลู่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ระยะเวลาคัดเลือกลูกศิษย์ของสำนักสิ้นสุดลงแล้ว ถึงต่อให้ยังไม่สิ้นสุดลง ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าเ้าจะผ่าน แต่ดูจากคำพูดของเ้าเมื่อครู่ ข้าจะลองให้โอกาสดู...เ้า พอจะเป็ศิษย์รับใช้ได้หรือไม่”
“ได้ขอรับ เหตุใดถึงจะไม่ได้!” เมื่อได้รับโอกาส ฉินชูก็ดีใจขึ้นมา เป็ศิษย์รับใช้แล้วมันเป็อย่างไร ขอแค่วันนี้มีข้าวเย็นกินก็พอแล้ว
จากนั้น ท่านาุโลู่ก็พาฉินชูไปที่หอศิษย์รับใช้ในสำนักชิงหยุน อธิบายให้เขาฟังสักพักก่อนจากไป
ฉินชูไปส่งท่านาุโลู่ออกจากหอศิษย์รับใช้ “ขอบพระคุณเป็อย่างยิ่งขอรับ แล้วท่านจะไม่ผิดหวังกับการตัดสินใจในวันนี้”
“ไม่เลว แต่การลงไม้ลงมือเพียงเพราะคำพูดไม่เข้าหูเ้านั้น เป็เื่ที่ไม่ควร!” ท่านาุโลู่มองฉินชูอีกพักสักหนึ่งก่อนจากไป ถึงเขาจะเตือนฉินชูแบบนี้ แต่ค่ภายในใจกลับคิดว่าหน่วอยก้านของฉินชูนั้นดีเยี่ยม นี่เป็เหตุผลที่เขาเก็บฉินชูไว้
ภายใต้คำสั่งของผู้ดูแลหอศิษย์รับใช้ ฉินชูถูกศิษย์รับใช้พามายังที่อยู่อาศัยของศิษย์รับใช้บนยอดเขาชิงหยุน
ภายในบริเวณที่อยู่ มีศิษย์รับใช้เดินขวักไขว่เต็มไปหมด โดยไม่มีใครสนใจฉินชูเลยสักคน
ไม่นานนัก ก็มีศิษย์รับใช้ร่างอ้วนท้วนคนหนึ่งโยนไม้กวาดให้ฉินชูไปทำงาน
ขณะทำหน้าที่ของตน ฉินชูถูกศิษย์รับใช้ร่างอ้วนคนนี้ตำหนิอยู่หลายหน
เมื่อกินข้าวเย็นเสร็จ ฉินชูอึดอัดใจยิ่งนักเพราะเขาถูกจัดให้อยู่ห้องเดียวกับศิษย์รับใช้ร่างอ้วนคนนี้ และยังต้องเบียดเสียดกับอีกสองสามคนในห้องเดียวกันอีก
“สำนักจัดระเบียบให้ศิษย์รับใช้อย่างพวกเราอีท่าไหนกันแบบไหนกัน เบื้องบนมอบหมายให้เ้าอ้วนคนนี้เป็คนจัดการอย่างนั้นงั้นหรือ” ฉินชูมองศิษย์รับใช้ร่างผอมที่นอนอยู่ข้างๆ ตัวเองพลางเอ่ยถาม
“ไม่ใช่ เขาชกต่อยเป็ พวกเราสู้เขาไม่ไหว เขาจึงกลายเป็ลูกพี่ไปโดยปริยาย อีกอย่างเขาจัดการงานเป็ ทำให้กฎต่างๆ ของเหล่าศิษย์รับใช้เป็อย่างที่เห็น” ศิษย์รับงใช้ร่างผอมเอ่ยปากพูด
สองวันต่อมา ไม่ว่าจะเป็งานใหญ่งานเล็ก ศิษย์รับใช้ร่างอ้วนก็เอาแต่เรียกใช้ฉินชู ทำเอาเขาไม่พอใจหนักขึ้นยิ่งนัก
ครั้นฉินชูกำลังจะหย่อนก้นนั่งพัก ศิษย์รับใช้ร่างอ้วนก็เข้ามา “ฉินชู ไปล้างห้องน้ำของพวกว่าที่ลูกศิษย์ด้วย”
“ข้าไม่ไป เ้าไปเองแล้วกัน!” ฉินชูไม่ยอมทนอีกต่อไม่ ตัวเขาไม่อยากล้างห้องน้ำจึงเอ่ยปากตอบกลับไป
“เ้าอยากเจ็บตัวนักหรือ” ศิษย์รับใช้ร่างอ้วนปล่อยพุ่งหมัดเข้าใส่ฉินชูทันที
ฉินชูถอยหลังหลบหนึ่งก้าว ก่อนพุ่งตัวไปข้างหน้าและอัดหมัดเข้าที่หน้าท้องพุงของศิษย์รับใช้ร่างอ้วนจนล้มหงายหลัง จากนั้นก็ขึ้นไปคร่อมบนตัวและซัดเขาไปที่ตาของอีกฝ่าย “เกลือกกลั้วในสถานที่ของศิษย์รับใช้แท้ๆ คิดว่าตัวเองแน่นักหรือ!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้