และอีกสิ่งในตัวของพิมพิลาที่สะดุดตาของตินน์เข้าอย่างจัง ก็คือสะโพกผาย ได้รูปรับกับ่เอวคอด มองดูเหมือนรูปทรงของผลน้ำเต้า
หากสิ่งที่เข้าตาเขาอีกอย่างก็คือหนอกเนินสวาท อูมแน่นอวดเนินสามเหลี่ยมอิ่มอูมอยู่ตรงง่ามขา เบ่งบวมเหมือนกลีบส้มโอลอยเด่นขึ้นมาจากเป้ากางเกงผ้ายืดขาสั้นแนบเนื้อ
ตินน์มองเห็นของดีของพิมพิลา เขาเชื่อมั่นว่าผู้หญิงคนนี้จะรองรับความใหญ่โตของผู้ชายในตระกูลของเขาได้ ซึ่งเป็ที่รู้กันภายในว่าด้วยกรรมพันธุ์เดียวกัน ทำให้อวัยวะเพศของผู้ชายทุกคนในวงศ์ตระกูลล้วนยาวใหญ่ ไม่มีใครต่ำกว่าเก้านิ้ว
ตินน์รู้สึกถูกชะตากับพิมพิลา มีความประทับใจอย่างแรงั้แ่วินาทีแรกเห็น ราวกับว่าเคยเห็นหล่อนจากที่ไหนสักแห่ง ซึ่งอาจจะเป็เมื่อชาติปางก่อน
ตินน์จินตนาการไปถึงตอนที่หล่อนเปลือยเปล่า แค่คิดก็ทำให้อาวุธประจำกายของเขาพองตัว คัดแข็งขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ใน่เวลาสั้นๆ ที่เพิ่งเจอหน้ากัน
อีกหนึ่งเดือนต่อมา
ภายหลังจากอุบัติเหตุในวันนั้น ตินน์ตัดสินใจมาสู่ขอพิมพิลาไปเป็ภรรยา
“ลุงกับป้าไม่มีปัญหา แต่ขอให้คุณสัญญาได้ไหมคะ… ว่าจะรักและเลี้ยงดูพิมพิลาเป็อย่างดี อย่าทอดทิ้งหลานสาวของป้า”
ป้านวลดีใจที่หลานสาวจะได้ออกเรือนไปเป็สะใภ้เศรษฐี
“ครับ… ผมสัญญา”
เสียงของตินน์หนักแน่นจริงจัง
“พิมพ์… ไปอยู่กับคุณตินน์นะ… ที่คฤหาสน์นั่นจะให้อนาคตที่ดีกับหนู”
ป้านวลเอามือลูบศีรษะหลานสาว เพราะรักและหวังดี ป้านวลจึงไม่เหนี่ยวรั้ง
ด้วยนางตระหนักดีว่าทุ่งไร่ทุ่งนาของชนบทบ้านนอกแห่งนี้คงไม่สามารถให้อนาคตที่ดีกับพิมพิลา
และเงินทองที่ตินน์เสนอให้เพื่อแลกกับพิมพิลา ก็ไม่ใช่น้อย มันมากพอที่ป้านวลกับปู่ดำจะเอาไปไถ่ถอนไร่นาและบ้านที่จำนองเอาไว้ และยังมีเหลือเผื่อไว้ใช้จ่ายอย่างสบาย
“ทำแบบนี้… ไม่เท่ากับว่าเราขายหลานกินหรือจ๊ะพี่ดำ”
ป้านวลเอ่ยถามสามี แม้จะตัดสินใจยกหลานสาวให้เขาไปแล้ว หากแต่หล่อนก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย
“อย่าไปคิดอย่างนั้น คิดเสียว่าเรายกพิมพิลาให้เขาก็เพราะเราห่วงอนาคตของหลาน เราส่งหลานไปสู่อนาคตที่ดีกว่า”
ลุงดำสรุปพลางปลอบใจภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก มองดูหลานสาวก้าวขึ้นรถจากัวร์คันหรู จากไปพร้อมกับชายหนุ่มผู้เป็ทายาทของเศรษฐีตระกูลดัง
ครอบครัวของตินน์อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ ตั้งอยู่บนเนื้อที่หลายร้อยไร่ โอบล้อมไว้ด้วยกำแพงอิฐและสวนป่าเขียวขจี
ผู้คนขนานนามคฤหาสน์แห่งนี้ว่า ‘คฤหาสน์สีเทา’ เพราะว่าทั้งหลังทาด้วยสีเทา
แม้คฤหาสน์สีเทาหม่นทึมหลังนี้จะตั้งตระหง่านอยู่ใกล้เชิงเขามานานหลายสิบปี แต่ก็มีใครรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเื่ราวภายในของคฤหาสน์หลังนี้มากนัก
เพราะว่าผู้คนในตระกูลนี้ค่อนข้างเก็บตัว จึงไม่ค่อยออกมาสุงสิงกับผู้คนภายนอก แต่สามารถสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้กับตระกูล ด้วยการทำการค้ากับผู้คนทั่วโลก ผ่านช่องทางการสื่อสารทันสมัยของปัจจุบันที่ทำให้โลกแคบเข้าหากันทุกวัน
