ความสามารถของหลี่จิ้งนั้นถ้าวัดกันเฉพาะในอาณาจักรชูอวิ๋นแล้วไม่มีใครสามารถโค่นเค้าลงได้ขอบเขตความสามารถของเขาในตอนนี้อยู่ที่จุดสูงสุดของระดับอวิ้นหลิงขั้นต้น แค่กำลังรบของเขาเพียงคนเดียวก็แข็งแกร่งมากพอที่จะสะท้านฟ้าะเืดินได้แล้ว
แต่ความสามารถของเทพยุทธ์ที่เพิ่งปรากฏตัวออกมาหลังจากที่เร้นกายหายไปเป็เวลานานแล้วนั้นช่างแข็งแกร่งจนน่าสะพรึงกลัวเสียเหลือเกิน!
วิชาดัชนีผนึกัอันน่าเกรงขามของเขานั้นดูแล้วน่าจะแข็งแกร่งพอที่จะสยบัลงได้จริงๆลำแสงดัชนีขนาดมหึมานั่นสามารถบดขยี้เศียรพยัคฆ์ที่หลี่จิ้งยิงออกมาจนแตกสลายได้ราวกับว่าเขากำลังกะเทาะเปลือกไม้เก่าๆอยู่ก็เท่านั้น จากนั้นลำแสงดัชนีขนาดมหึมาก็พุ่งเข้าใส่หลี่จิ้งตรงๆ
เปรี้ยง!
หลี่จิ้งถูกกระแทกจนกระเด็นถอยหลังอย่างแรง
ผู้คนรอบข้างรู้สึกสะพรึงจนเหงื่อเย็นๆ หลั่งไหลเต็มแผ่นหลัง
ส่วนหลินหยางนั้นถูกคลื่นลมอันเกรี้ยวกราดที่เกิดจากการโจมตีเมื่อครู่เป่าจนเซถลาถอยไปนับสิบก้าวถึงจะกลับมาทรงตัวได้อีกครั้ง
แข็งแกร่งเกินไป
พลังของหลินไป๋ชวนนั่นอยู่เหนือกว่าหลี่จิ้งและต้วนเทียนหยาแน่ๆในอาณาจักรชูอวิ๋นแห่งนี้ยังมียอดยุทธ์ที่ฝีมือร้ายกาจขนาดนี้แฝงตัวอยู่ด้วยหรือนี่
แต่สิ่งที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่านั้นก็คือตัวตนสุดแข็งแกร่งนั่นดันไปยืนอยู่ข้างเฉินเฉาเกอเสียด้วย
มารดามันเถอะ!
ทั้งที่ตัวเองมีความสามารถมากพอที่จะสังหารเฉินเฉาเกอแล้วแท้ๆแต่คาดไม่ถึงเลยว่าภายในเวลาสั้นๆ แค่ครึ่งปีเฉินเฉาเกอมันกลับไปได้ที่พึ่งสุดทรงพลังนั่นเพิ่มมาอีกคน
แถมความแข็งแกร่งของหลินไป๋ชวนนั่นยังน่ากลัวจนชวนให้รู้สึกสิ้นหวังต่อให้หลินหยางใช้ความสามารถะเิตัวเองของชุดเกราะเหล็กทมิฬมาป้องกันการโจมตีนั่นได้ก็ตามแต่มันจะใช้ได้ผลสักกี่ครั้งกัน?
เป้าหมายที่จะดึงไอ้เฉินเฉาเกอลงมาเหยียบอยู่ใต้เท้าของเขาดูท่าจะยากขึ้นกว่าเดิมอีกไม่รู้กี่เท่าเสียแล้ว...
ยอดฝีมือระดับอวิ้นหลิง!!
หลินหยางถึงกับต้องแอบกัดฟันในใจการที่คนทั่วไปจะก้าวข้ามจากระดับเซียนเทียนไปอวิ้นหลิงนั้นต่อให้เป็คนที่มีพร์ชั้นยอดยังต้องใช้เวลาเจ็ดถึงแปดปีเป็อย่างต่ำผู้คนจำนวนมากใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังไม่อาจจะก้าวผ่านกำแพงอันสูงชันนั้นได้เลย
เส้นทางแห่งการล้างแค้นของเขาดูท่าจะโหดหินกว่าเดิมเสียแล้ว!
ตรงข้ามเขานั้น
หลินไป๋ชวนที่ซัดหลี่จิ้งจนปลิวในหนึ่งดัชนีนั้นกำลังจ้องเขม็งมาทางหลินหยางแล้ว
ดูท่าทางเขาจะมาเพื่อช่วยเหลือเฉินเฉาเกอโดยเฉพาะสายตาของเขาที่มองมาทางหลินหยางนั้นราวกับเห็นเพียงลูกไก่ในกำมือที่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด
เขาหันกลับไปทางเฉินเฉาเกอแล้วกล่าวว่า “เอาเลย หยางเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้มันรังแกเ้าไว้อย่างไรเ้าเอาคืนมันอย่างนั้นเลย หากมีใครบังอาจกล้าขัดขวางละก็ ข้าจะเป็คนฆ่ามันเอง!”
ไอ้บ้าเอ๊ย
ทำไมมันบ้าอำนาจได้ขนาดนี้
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเชื้อพระวงศ์สุดอำมหิตคนนี้ได้เลย
ได้ทีของเฉินเฉาเกอแล้ว
เขาแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมาพร้อมกับค่อยๆ ขยับเข้าไปหาหลินหยางทีละก้าวด้วยสีหน้าได้ใจสุดขีดจนหน้าหมั่นไส้
เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “เ้าไม่มีทางมีชีวิตรอดไปถึงวันพรุ่งนี้แน่ หลินอี้ข้าจะแสดงให้เ้าเห็นเองว่าคนที่กล้าเป็ปฏิปักษ์กับคนอย่างข้าจะมีจุดจบอย่างไร!”
พูดเสร็จเขาก็เตรียมจะก้าวเดินมาข้างหน้าอีกครั้ง
แต่หลี่จิ้งก็ได้พุ่งกลับเข้ามายืนขวางเอาไว้อีกข้าง
ฟึบ!
คราวนี้ตัวหลี่จิ้งเองก็มีน้ำโหขึ้นมาแล้วเช่นกัน
บนตัวเขาตอนนี้ถูกสวมใส่เอาไว้ด้วยชุดเกราะสีทองอร่ามแล้วมันคือหนึ่งในยุทธภัณฑ์ขั้นสูงของอาณาจักรชูอวิ๋น “เกราะเทพทองพิสุทธิ์”
ในมือทั้งสองข้างของเขากำลังถือกระบองปราบมารสีทองเอาไว้ “กระบองะเิฟ้า”คู่นี้ ไม่รู้ว่าถูกใช้สังหารอริร้ายสุดแข็งแกร่งมากี่คนต่อกี่คนแล้วคราวนี้มันกำลังจะถูกใช้เป็เครื่องมือในการสยบอิทธิฤทธิ์ของมารร้ายอย่างหลินไป๋ชวน
“ท่านหลินไป๋ชวนถ้าท่านยังคิดจะฝืนใช้กำลังอยู่อีกละก็ อย่างนั้นท่านก็อย่าหาว่าหลี่จิ้งผู้นี้เสียมารยาทกับท่านเสียเล่า!”
หลี่จิ้งส่งเสียงขู่อันทุ้มต่ำออกมาเข้มแข็งหนักแน่นดุจเสาค้ำฟ้า เขาจะต้องปกป้องความปลอดภัยหลินอี้และครอบครัวตระกูลเวินเอาไว้ให้ได้
หลินไป๋ชวนแย้มยิ้มอันเ็าออกมา “อย่างเ้ายังไม่คู่ควรที่จะพูดอย่างนั้นกับข้าหรอก!”
คลื่นพลังฟ้าดินที่หลินไป๋ชวนแผ่ออกมานั้นทั้งน่าหวาดกลัวและน่าอึดอัดพลังของมันรุนแรงเสียจนเกิดสายลมที่กำลังพัดวนอย่างเกรี้ยวกราดไปทั่วบริเวณแม้แต่พวกของเวินติ่งเทียนที่อยู่ด้านข้างยังยืนแทบไม่อยู่
บุรุษผู้นี้มันแข็งแกร่งจนน่ากลัวมากเกินไปแล้ว
และในตอนที่หลินไป๋ชวนกำลังสยบคนทั้งสนามด้วยตัวคนเดียวอยู่นั่นเองพลันปรากฏประกายแสงขึ้นมาแวบหนึ่งพร้อมกับมีคมดาบสายหนึ่งฟันฉับลงมา
ดาบเล่มนี้สามารถทำลายพลังฟ้าดินที่กำลังกดดันไปทั่วทั้งสนามได้ทันทีราวกับมันสามารถเบิกฟ้าผ่าสมุทรได้คมดาบเดียวสามารถทำให้เกิดเศษฝุ่นปลิวกระจายเป็วงกว้างรัศมีนับสิบเมตร
จากนั้นก็มีเสียงแหบแห้งราวกับเสียงขูดเหล็กดังขึ้นมาจากบนฟ้าว่า“รวมข้า เป็อย่างไร....”
หลังจากที่ฝุ่นควันเริ่มจากหายไป
บนสนามก็ปรากฏเงาเพิ่มอีกหนึ่งคนหนึ่งดาบ
ตัวคนนั้นสวมใส่ผ้าคลุมออกศึกสีดำเอาไว้บรรยากาศอันแสนกดดันนั่นราวกับว่าเขาได้หลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับดาบยาวในมือไปแล้ว
ส่วนตัวดาบนั้น บัดนี้กำลังยื่นจ่อใส่หน้าหลินไป๋ชวนตรงๆตัวดาบมีลักษณะยาวตรงและสีดำทมิฬไปทั้งตัวดุจกับเส้นสีดำเส้นหนึ่งแต่กลับดูทรงพลังราวกับว่ามันสามารถปราบมารสบั้นเทวะได้
ต้วนเทียนหยามาถึงแล้ว
ดาบในมือของเขานั้นคืออาวุธิญญาระดับสุดยอดที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรชูอวิ๋นแห่งนี้ มีนามว่า “สะบั้นฟ้า”
ซึ่งต้วนเทียนหยาไม่ได้ชักดาบสะบั้นฟ้าเล่มนี้ออกจากฝักมานานสิบกว่าปีแล้วไม่คิดเลยว่าเขาจะชักดาบนี้ออกมาอีกครั้งเพียงเพื่อช่วยชีวิตหลินหยางจากเทพยุทธ์ผู้เร้นกายมานานหลายปีแล้วคนนั้น
การปรากฏตัวของต้วนเทียนหยานั้นทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ทะยานเข้าสู่จุดวิกฤติในทันที
ยอดฝีมือระดับอวิ้นหลิงทั้งสามคนแห่งอาณาจักรชูอวิ๋นกลับอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้เป็ภาพที่คนทั่วไปแทบจะไม่มีโอกาสได้เห็นเลยหากไม่ใช่เพราะบรรยากาศกำลังอยู่ในจุดที่ตึงเครียดถึงขีดสุดแบบนี้เกรงว่าคนรอบข้างคงตื่นเต้นดีใจจนบ้าตายไปแล้ว
“พี่น้องต้วน ท่านมาได้อย่างไร?” พอหลี่จิ้งเห็นต้วนเทียนหยาก็เริ่มมีความมั่นใจ
“เชื้อพระวงศ์อยากเล่น ข้าสนอง...”
คำพูดของต้วนเทียนหยานั้นยังคงเป็คำสั้นๆ ราวกับว่ามันมีค่าประดุจทองคำแต่แค่นั้นกลับสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดเอาไว้ในมือได้ทันที เล่ห์กลของเทพผู้พิทักษ์ภายในราชสำนักท่านนี้นั้นสูงล้ำเกินกว่าคนทั่วไปจะจินตนาการออก
หลินไป๋ชวนถึงกับคิ้วขมวด
เขาต้องทนทรมานกับการฝึกอันยากเย็นแสนเข็ญมานานหลายปีในที่สุดเขาก็มีพลังมากพอที่จะสะกดหลี่จิ้งเอาไว้ได้ด้วยตัวคนเดียวแล้วแต่ถ้ามีต้วนเทียนหยาเพิ่มมาอีกคนแบบนี้เขาเองก็คงจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว
เขามองลึกลงไปในดวงตาของอีกสามคนตรงหน้าเขา โดยเฉพาะหลินอี้
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นทั้งกดดันทั้งหนักอึ้งจนชวนหวาดผวาเสียขนาดนั้นแต่เ้าหนุ่มน้อยที่ชื่อหลินอี้นี่มันกลับไม่เคยแสดงสีหน้าหวาดกลัวหรือกดดันออกมาให้เห็นเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวแถมแววตาที่แฝงไปด้วยความกระหายการต่อสู้อันเต็มเปี่ยมนั่น คมกริบราวกับคมมีดที่ทิ่มแทงบาดลึกลงไปในจิตใจของหลินไป๋ชวน
ถ้าไม่รีบจัดการหมอนี่ั้แ่เนิ่นๆ ละก็มันจะต้องกลายเป็ขวากหนามอันใหญ่โตแน่!
ผู้ที่เป็อุปสรรคชิ้นสำคัญในแผนการใหญ่ของหลินไป๋ชวนและเฉินเฉาเกออย่างหลินอี้นั้นบัดนี้ได้ถูกจดชื่อลงในบัญชีดำที่ต้องถูกกำจัดทิ้งแล้ว
ต่อให้วันนี้พวกเขาจะต้องปล่อยหลินอี้ไปก่อนก็ตาม แต่พวกเขาจะต้องตามาจัดการหลินอี้ทิ้งในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน
แต่เหตุการณ์ในตอนนี้พวกเขาคงไม่สามารถเคลื่อนไหวอะไรได้มากไปกว่านี้แล้ว
“กลับ”
หลินไป๋ชวนพอรู้ว่าไม่สามารถทำอะไรต่อได้อีกแล้วก็กวาดสายตาเ็าไปทั่วทั้งสนาม จากนั้นก็หันหลังเดินกลับออกไปพร้อมกับเฉินเฉาเกอโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกับต้วนเทียนหยาเลยแม้แต่คำเดียว
ก่อนจะจากไปนั้นเฉินเฉาเกอได้ฟื้นสภาพกลับสู่ความสงบนิ่งอีกครั้งหนึ่งแล้ว
บนใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันเ็า เขาหันกลับมามองทางหลินอี้เวินติ่งเทียน และคนอื่น พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า
“คำพูดของข้าในวันนี้จะเป็จริงในอีกไม่ช้าประมุขเวิน หลินอี้ พวกท่านรีบเสพสุขกับ่เวลาสุดท้ายของชีวิตให้เต็มที่เถอะเมื่อเวลานั้นมาถึง แม้แต่อาณาจักรชูอวิ๋นแห่งนี้ก็ไม่สามารถคุ้มหัวของพวกท่านไว้ได้! แล้วพบกันใหม่... ไม่สิเกรงว่าเราคงไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้วล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า...”
เสียงหัวเราะของมันดังก้องกังวานอยู่นาน
จากนั้นผู้คนถึงค่อยรู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้างส่วนหลินหยางนั้นยังคงจ้องเขม็งไปทางเงาร่างของหลินไป๋ชวนและเฉินเฉาเกอที่ค่อยๆ หายลับไปจากสายตาแต่เพลิงโทสะในใจของเขายังคงลุกไหม้อย่างไม่มีวันมอดดับอยู่
ความแข็งแกร่งของหลินไป๋ชวนนั้นอยู่เหนือกว่าที่ผู้คนจะจินตนาการถึงได้
แต่หลินหยางมีหรือจะยอมให้ผู้อื่นมารังแกเฉยๆ อย่างนี้
ถึงแม้หลินหยางจะยังไม่ได้เผยไพ่ตายทั้งหมดออกมาก็ตามแต่ก็ต้องยอมรับว่าในแง่ของพลังแล้วเขายังตามอีกฝ่ายอยู่หลายก้าว เขาจำเป็ต้องแข็งแกร่งให้มากขึ้นยิ่งกว่านี้
หากจะขยี้เฉินเฉาเกอละก็
ก็ต้องบดขยี้ไอ้เทพยุทธ์ผู้เป็เชื้อพระวงศ์สุดเผด็จการนั่นให้ได้ก่อน!
และแน่นอนว่าหลินหยางพอจะรู้อยู่ว่าตัวซวยที่เฉินเฉาเกอพูดถึงหมายความว่าอะไร
การตายของซ่างกวันเฟยนั้นทำให้ตระกูลเวินกลายเป็เป้าหมายการล้างแค้นของศัตรูสุดแข็งแกร่งจนยากเปรียบเทียบได้อย่างพวกตระกูลซ่างกวันแห่งราชอาณาจักรโล่ยื่อเสียแล้ว!
..................................
่เช้าของสองวันก่อนหน้านี้ กองกำลังทหารขนาดร้อยคนกำลังเดินออกมาจากภายในคุกของราชสำนักโดยที่มุ่งหน้าไปทางเขตห่างไกลความเจริญที่ตั้งอยู่ในทิศตะวันตกของอาณาจักรชูอวิ๋น
ใน่เวลาเดียวกันกับที่งานเลี้ยงในคฤหาสน์เกิดเหตุการณ์พลิกผันจนน่าใจหายนั่นเองกองกำลังทหารขนาดเล็กที่กำลังควบคุมตัวนักโทษคนสำคัญของฝ่ายผู้ดูแลภายในอยู่นั้นก็กำลังเผชิญศัตรูที่แข็งแกร่งจนน่ากลัวอยู่เหมือนกัน
บนถนนหลวงสายโกบีที่อยู่ห่างออกไปจากอาณาจักรชูอวิ๋นทางด้านทิศตะวันตกราวร้อยกว่าลี้นั้นมีเงาร่างสามสายที่สวมใส่เอาไว้ด้วยเสื้อผ้าสีดำกำลังยืนขวางทางเดินของกองกำลังทหารเอาไว้
บนเสื้อฉางเผา (เสื้อที่จอมยุทธ์ใส่กันในละครกำลังภายใน) สีดำสนิทนั้นถูกเย็บปักไว้ด้วยลายเมฆสีแดงเพลิงดูแสบตาราวกับเอาก้อนเมฆสีแดงเพลิงยามพระอาทิตย์ตกจากสรวง์มาวางไว้ในภพมนุษย์แต่ก็ให้ความรู้สึกเย็นะเืจนสั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ
บนหัวของพวกเขามีผ้าคลุมหัวที่ผูกติดไว้กับเสื้อคอยปกปิดใบหน้าเอาไว้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของพวกเขาได้ชัดเจนััได้แต่จิตสังหารอันมากล้นที่พวกเขาปล่อยออกมา
“พวกเ้าเป็ใคร! บังอาจมากที่มาขวางทางเดินของฝ่ายผู้ดูแลภายในแบบนี้!”
ผู้เป็หัวหน้าของกองทหารนี้มีนามว่าเหอกังมีศักดิ์เป็รองแค่สี่หัวหน้าใหญ่แห่งฝ่ายผู้ดูแลภายในเท่านั้น ความสามารถของเขาอยู่ในระดับสูงสุดของเซียนเทียนขั้นกลางต่อให้ต้องประมือกับคนระดับซูิชุน เขาก็มีความสามารถมากพอที่จะต้านรับได้หลายสิบกระบวนท่า
แต่หลังจากที่เหอกังเพิ่งะโข่มขู่อีกฝ่ายไปนั่นเองเหตุการณ์สังหารโหดสุดอำมหิตและน่าหวาดกลัวก็เกิดขึ้น
สามคนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นไม่ต่างอะไรกับเทพแห่งความตายสามตนทุกครั้งที่เสื้อฉางเผาสีดำนั่นพุ่งผ่านใครไป ชีวิตของคนๆ นั้นจะถูก่ชิงไปอย่างไร้เมตตาทันทีลายเมฆสีแดงเพลิงบนเสื้อถูกย้อมด้วยเืสดของเหยื่อผู้น่าสงสารนั่นยิ่งแสดงให้เห็นถึงความโเี้อำมหิตของผู้ลงมือให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ห้านาที เพียง่เวลาสั้นๆ แค่ห้านาทีเท่านั้น
เหล่าทหารมากฝีมือทั้งกองนี้ก็ถูกสังหารทิ้งหมดทุกคนส่วนหัวหน้าเหอกังคนนั้นก็ถูกมีดสั้นที่ตอนนี้มีเืสดๆ ชโลมจนกลายเป็สีแดงฉานนั่นแทงทะลุกลางหัวใจสองมือของเขาจับไปที่ฝ่ามือของศัตรูเอาไว้ไม่ยอมปล่อยไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะบังอาจหาญกล้าลงมือฆ่าคนได้อย่างอุกอาจขนาดนี้
“พ...พวกเ้า... เป็ใครกัน...”
ความสามารถของเหอกังนั้นยังไม่อาจแม้แต่จะปลดผ้าคลุมหัวของอีกฝ่ายลงมาได้พลังรบของสามคนนี้ ต่อให้ไม่ใช่ระดับอวิ้นหลิงก็คงจะอยู่ในระดับสูงสุดของเซียนเทียนแล้วความแข็งแกร่งของพวกมันจะต้องพอๆ กับปรมาจารย์ดาบเซี่ยชางไห่แน่ๆ
ชายในชุดสีดำที่ถูกเหอกังจับมือเอาไว้ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาสักนิดเดียวพลันออกแรงแทงมีดเข้าไปให้ลึกขึ้นกว่าเดิม โลหิตสีแดงสดพลันพุ่งทะลักออกมาจนเปรอะเปื้อนไปทั้งหน้าจากนั้นเหอกังก็ค่อยๆ ล้มลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ขาดใจตายอยู่ตรงนั้น
ทั้งสามคนเดินไปหารถม้าที่ดูบ้านๆ ที่จอดอยู่ตรงกลางของอดีตกองทหารขนาดถูกเนรเทศแล้วยังมีรถม้าคอยส่งออกไปให้แบบนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่นั่งอยู่ข้างในนั้นจะต้องเคยเป็ข้าราชการคนใหญ่คนโตของราชวงศ์ชูอวิ๋นเป็แน่
“เ้านายของข้าสั่งให้พวกข้ามาช่วยท่านออกไปลำบากหน่อยนะ ท่านหวัง”
คนชุดดำที่ยืนนำหน้าก้มหัวลงพร้อมกับกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกดูไม่ค่อยมีความรู้สึกสักเท่าไร
หวังิชง
เขาค่อยๆ ก้าวลงมาจากรถม้า
สีหน้าเขาไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาราวกับว่าพอจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าเื่แบบนี้ต้องเกิดขึ้นแต่หลังจากที่เขาได้ััถึงสายลมอุ่นๆ แล้ว มุมปากบนใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ ยกขึ้นมา
“ได้ทั้งสามท่านช่วยไว้แล้ว!”
เขาหันไปแสดงความเคารพให้กับมือสังหารทั้งสามคนนั้นแสดงให้เห็นว่าสถานะของอีกฝ่ายไม่น่าจะอยู่ระดับเดียวกับเขา
“เชิญเถอะท่านหวังเ้านายสั่งมาว่าให้พวกเราพาท่านกลับไปพักผ่อนที่ตระกูลซ่างกวันในราชอาณาจักรโล่ยื่อก่อนสักพัก”
“อย่างนั้นก็ดีเลย” หวังิชงไม่กล้าแย้งอะไรทั้งสิ้นเพียงแต่ถามกลับไปคำหนึ่งว่า “ไม่รู้ว่าท่านซ่างกวันนั้นอยู่ที่เมืองหลวงด้วยหรือไม่ข้าน้อยมีเื่สำคัญอยากจะรายงานเขา”
ชายชุดดำคนที่ดูเป็หัวหน้ากล่าวขึ้นมาว่า “เ้านายตอนนี้กำลังเก็บตัวสร้างของสำคัญให้องค์ราชันอยู่...”
“แล้วเื่ของคุณชายซ่างกวันเล่า...” หวังิชงพยายามสอบถามอย่างระมัดระวัง
แต่พอพูดถึงเื่ของซ่างกวันเฟยแล้วเหล่าชายชุดดำพลันปล่อยรังสีฆ่าฟันอันรุนแรงออกมาจนหวังิชงตัวสั่นหงึก
เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “การตายของนายน้อยเฟยนั้น เ้านายโมโหมากผลลัพธ์ร้ายแรงสุดๆ...”
หวังิชงถึงกับหน้าซีดเผือดทันที
