แน่นอนว่าเซี่ยเจิงไม่ได้เรียก และชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีก เนื่องจากในตอนนั้นเป็เวลาเลิกงานพอดี ผู้คนที่สัญจรไปมาในซอยจึงอดไม่ได้ที่หันมามองพวกเขาสองคน ชวีเสี่ยวปอส่งเสียงไม่ค่อยพอใจออกมา พร้อมทั้งปล่อยแขนออกจากคอของเขา
“วันนี้ฉันจะปล่อยนายไปก่อนก็แล้วกัน”
เซี่ยเจิงยกมือขึ้นมาขยับคอเสื้อให้เรียบร้อย แล้วจึงพูดหยอกล้อไปว่า : “ขอบพระทัยฝ่าา”
“นายจะไปไหนเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอเพิ่งจะนึกได้ว่าเมื่อครู่เซี่ยเจิงกำลังจะเดินออกไปข้างนอก
“ที่บ้านไม่มีข้าวสารแล้วน่ะ” เซี่ยเจิงพูด “คุณหมอให้แม่กินโจ๊ก พวกอาหารอ่อนๆ อะไรทำนองนี้”
“งั้นพอดีเลยเดี๋ยวฉันไปด้วย ฉันมามือเปล่า” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าตัวเองมาเยี่ยมคนป่วยก็ควรจะซื้ออะไรติดไม้ติดมือไปด้วย
“ระหว่างพวกเราสองคนยังต้องแกล้งทำเื่แบบนี้ด้วยเหรอ? ” เซี่ยเจิงหัวเราะ
“ไม่ใช่การแกล้งทำ แต่เป็มารยาท” ชวีเสี่ยวปออธิบาย แต่คำพูดประโยคนั้นของเซี่ยเจิงกลับทำให้เขามีความสุขมาก มันเป็ควารู้สึกเหมือนกับว่าความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่ถูกพัฒนาจนเป็อันหนึ่งอันเดียวกันโดยไม่รู้ตัว แบบที่ว่ารู้สึกสนิทสนมใกล้ชิดกันมากเป็พิเศษ
พวกเขาทั้งสองคนมาถึงยังซูเปอร์มาเก็ตที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่พอสมควรซึ่งตั้งอยู่บริเวณแถวบ้านของเซี่ยเจิง เมื่อเข้าไปข้างในก็พบว่าซูเปอร์มาเก็ตใน่เวลานี้แทบจะคึกคักยิ่งกว่าตลาดสดเสียอีก ข้างนอกกับข้างในราวกับอยู่คนละโลก ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอเริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้งจึงอดไม่ได้ที่จะะโออกมาเสียงดัง เพราะเขารู้สึกว่าถ้าพูดเสียงปกติเซี่ยเจิงก็คงไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร
“ให้ตายเถอะ คนเยอะขนาดนี้เลย !” ชวีเสี่ยวปอมองหารถเข็น ในขณะนั้นก็เหลือบไปเห็นคนมากมายยืนมุงกันอยู่ตรงโซนผักสด จึงทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะชะโงกหัวออกไปดู
“น่าจะมีผักลดราคาอยู่” เซี่ยเจิงเห็นจนชินตา “เป็กิจกรรมวอร์มร่างกายของเหล่าคุณปู่คุณย่าเขาน่ะ”
หลังจากที่พวกเขาไปซื้อข้าวสารที่โซนธัญพืชและน้ำมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เซี่ยเจิงบอกว่าไม่ได้รีบกลับสักเท่าไหร่ ทั้งสองคนจึงถือโอกาสเดินเล่นในซูเปอร์มาเก็ตสักพักหนึ่ง
อันที่จริงชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้มาเดินเล่นที่ซูเปอร์มาเก็ตแบบนี้นานแล้วเหมือนกัน โดยปกติแล้วเขาซื้อของที่้าเสร็จก็จะกลับเลย ก่อนหน้านี้ที่มาเดินซูเปอร์มาเก็ตเขามากับเวินลี่ เขารู้สึกว่าเวลาที่ผู้หญิงเดินซูเปอร์มาเก็ตและห้างสรรพสินค้าดูเหมือนว่าจะไม่รู้สึกเหนื่อยอย่างไรอย่างนั้นเลย เพราะครั้งก่อนชวีเสี่ยวปอก็เดินจนรู้สึกว่าขาของเขาเล็กลงไปเยอะมากเลยทีเดียว แต่ทว่ามาเดินเล่นกับเซี่ยเจิงในครั้งนี้เขากลับไม่รู้สึกรำคาญใจเลยสักนิด ทั้งสองคนดูอันนี้ทีอันโน้นที ถือว่าเป็การผ่อนคลายหลังจากเวลาเลิกเรียน
“พวกเราไปดูว่ามีผักอะไรลดราคาบ้างกัน” ชวีเสี่ยวปอเข็นรถเข็นตรงไปยังโซนผักสดด้วยความรู้สึกสนใจเป็อย่างมาก
“นายอยากจะแสดงฝีมือเหรอ” เซี่ยเจิงเดินอยู่ข้างหลังเขา ในขณะนั้นก็มองไปยังชวีเสี่ยวปอที่กำลังเข็นรถและเดินไปข้างหน้าอย่างมีความสุข
“ไม่ใช่” ชวีเสี่ยวปอหรี่ตาลง “ฉันก็ทำไม่เป็เหมือนกัน แต่ว่ามีของถูกอยู่ถ้าพลาดก็โง่แล้ว”
“มันเรียกว่าอย่างนั้นเหรอ? ” เซี่ยเจิงมองไปยังดวงตาของชวีเสี่ยวปอที่ประกายขึ้นมาทั้งมีแสงสว่างวาบขึ้นมาด้วย เขาจึงรู้สึกอยากขำขึ้นมา
บนชั้นวางสินค้าในโซนผักสดแถวหนึ่งเต็มไปด้วยแครอทสีส้มที่มองแล้วละลานตาสุดๆ ทั้งยังมีป้ายสีเหลืองขนาดใหญ่แขวนเอาไว้อยู่ด้วย : ลดกระหน่ำ 1.99 หยวน
“ถูกมาก !” ชวีเสี่ยวปอเอื้อมตัวเข้าไป แล้วรีบหยิบแครอทสองสามหัวโยนลงถุงพลาสติกทันที
“เฮ้” เซี่ยเจิงยื่นมือไปขว้างเขาไว้ “แครอทเอาไปทำอะไรกินได้”
“ผัดกับข้าว? ” ชวีเสี่ยวปอเอียงคอคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ซื้อไปก่อนค่อยว่ากัน นายไม่เห็นราคาที่ลดเหรอ”
“นายก็ดูราคาเดิมด้วยสิ” เซี่ยเจิงยื่นมือไปชี้บนป้ายสีเหลือง “สองหยวนหนึ่งเหมาเก้าเฟิน”
“ให้ตายสิ สองเหมาเองเหรอเนี่ย” แล้วจู่ๆ ชวีเสี่ยวปอรู้สึกเหมือนโดนหลอก จึงเสียอารมณ์เป็อย่างมาก “แล้วคนเขาจะเปลืองแรงแย่งกันไปทำไมเนี่ย !”
“เหมือนนายไง ไม่ใช่ว่ามีของถูกอยู่ถ้าพลาดก็โง่แล้วเหรอ”
“น่ารำคาญจริงๆ !” พอได้ยินเซี่ยเจิงใช้เขาในการยกตัวอย่างขึ้นมา ชวีเสี่ยวปอจึงรู้สึกขายหน้าขึ้นมานิดนึงแล้ว “ไป ไปๆ พวกเราไปซื้ออย่างอื่นดีกว่า”
แล้วทั้งสองคนก็เดินมาจนถึงโซนขนมและของกินเล่น ในขณะนั้นเซี่ยเจิงก็โยนมันฝรั่งทอดกรอบลงไปในรถเข็นสองถุง “ฝ่าาทำไมช่างขาดประสบการณ์ชีวิตเช่นนี้”
“ไม่เคยซื้อกับข้าวไง” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ “ฉันเคยบอกนายหรือยังว่าตอนฉันอยู่บ้าน โดยเฉพาะตอนอยู่ต่อหน้าแม่ของฉัน เขาชอบรู้สึกเหมือนว่าฉันอายุแค่สามขวบ”
“ไอคิวน่ะเหรอ? ” เซี่ยเจิงปากวอนหาเื่
“เดี๋ยวต่อยเลย !” ถึงแม้ว่าชวีเสี่ยวปอจะพูดเช่นนั้น แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เพราะจู่ๆ เขาก็นึกถึงตอนก่อนหน้านี้ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาหิวขึ้นมากลางดึก อยากจะต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกิน แต่ทันทีที่เขาเปิดแก๊สเวินลี่ก็รีบใส่รองเท้าแตะและเดินออกมาจากห้องนอนอย่างรีบร้อน ท่าทางของเวินลี่ทำราวกับว่าชวีเสี่ยวปอไม่ได้จะต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่กำลังจะเผาห้องครัวอย่างไรอย่างนั้น
“งั้นวันนี้นายก็ลองดูสิ” จู่ๆ เซี่ยเจิงก็พูดขึ้นมา “อาหารเย็นวันนี้เลย เป็ไง? ”
“ได้อยู่แล้ว” ชวีเสี่ยวปอพับแขนเสื้อขึ้นมาราวกับกำลังจะทำการใหญ่ “ถ้างั้นนายก็รอชิมฝีมือของฮ่องเต้คนนี้ได้เลย !”
หลังจากซื้อซี่โครงหมูและซื้อผลไม้ด้วยแล้ว สุดท้ายชวีเสี่ยวปอยังหยิบนมมาด้วยสองกล่อง จากนั้นเขาก็รีบเข้าไปแย่งคิดเงินตัดหน้าเซี่ยเจิง ในตอนที่ทั้งสองคนเดินออกมาจากซูเปอร์มาเก็ตฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ไม่รู้ว่ากลิ่นผัดกับข้าวของบ้านไหนส่งกลิ่นหอมถึงเพียงนี้ ทั้งยังลอยไปปะทะเข้ากับจมูกของผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา
“ให้ตายเถอะ ชีวิตฉัน” ชวีเสี่ยวปอจ้ำเอาๆ พลางบ่นพึมพำไปด้วยว่า : “ทำไมฉันมาบ้านนายทีไรนอกจากเื่กินก็มีแต่เื่กินเนี่ย”
“โชคชะตานำพาแหละมั้ง” เซี่ยเจิงเดินตามอยู่ด้านหลัง เหยียบไปบนเงาของชวีเสี่ยวปอที่ถูกไฟตามทางสะท้อนออกมา “ดีจะตายไป นายไม่คิดงั้นเหรอ? ”
“ก็ดีมากจริงๆ นั่นแหละ”
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าคำพูดที่เซี่ยเจิงพูดออกมาที่จริงแล้วไม่ได้มีแค่เพียงเื่กินข้าวเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วมันคืออะไร ชวีเสี่ยวปอเองก็ไม่สามารถเรียงลำดับหนึ่งสองสามพูดออกมาอย่างชัดเจนได้ เขารู้เพียงแค่ว่าตอนที่เขาพูดออกมาว่า “ดีมากจริงๆ ” ล้วนไม่มีคำโกหกปะปนอยู่เลยแม้แต่นิด ความชัดเจนแจ่มแจ้งที่ส่งออกมาจากก้นบึ้งหัวใจเช่นนี้ มันช่างทำให้เขาผ่อนคลายและมีความสุขเสียจริงๆ
และเซี่ยเจิงก็คงจะเป็เช่นเดียวกัน
หลังจากที่กลับมาถึงบ้านของเซี่ยเจิง ชวีเสี่ยวปอก็ไปเยี่ยมแม่ของเซี่ยเจิงก่อน นอกจากอาการท้องเสียที่ทำให้ดูอ่อนเพลียไปบ้าง เื่อื่นก็ไม่มีอะไรต้องน่าเป็ห่วงแล้ว ชวีเสี่ยวปอยังพูดคุยกับเขาอยู่สักพัก จากนั้นจึงค่อยเดินออกมาแล้วเข้าห้องครัวไป
พอเดินเข้ามาก็เห็นเซี่ยเจิงกำลังซาวข้าวอยู่
“พูดแล้วไงว่าให้ฉันทำ” ชวีเสี่ยวปอพูดขึ้นมาโดยไม่รอฟังคำอธิบายพร้อมทั้งรับหม้อจากมือของเซี่ยเจิงมา จากนั้นจึงค่อยๆ รินน้ำซาวข้าวออกมา
เซี่ยเจิงยืนเอามือไขว้หลังพร้อมทั้งมองเขาไปด้วย “ก็ดูเป็งานเป็การเหมือนกันอยู่นะเนี่ย”
“ยอดกุ๊กแดนั” พอชวีเสี่ยวปอได้ยินจึงยักคิ้วขึ้นมาอย่างทะเล้น “คือฉันเอง”
“พ่อครัวน้อยรู้หรือเปล่าว่าต้มโจ๊กต้องใส่น้ำเท่าไหร่? ” เซี่ยเจิงยิ้ม
“เท่านี้ไหม” ชวีเสี่ยวปอทำมือไปขีดๆ ที่หม้อเพื่อบอกความสูง ตามที่เขาเข้าใจก็คือการต้มโจ๊กนี้ใส่น้ำยิ่งเยอะก็ยิ่งดี
“ถ้าอย่างนั้นนายไม่ต้มน้ำร้อนเฉยๆ ไปเลยละ” เซี่ยเจิงหยิบหม้อจากมือของชวีเสี่ยวปอกลับคืนมา จากนั้นก็ค่อยๆ เติมน้ำลงไปพลางพูดไปด้วยว่า “แบบนี้ ประมาณหนึ่งส่วนสาม ถ้าทำแบบนี้ข้าวที่หุงออกมาน้ำก็จะไม่น้อยเกินไปแล้วก็ไม่แห้งเกินไปด้วย”
“จิ๊” ชวีเสี่ยวปอพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “เซี่ยเจิง ฉันรู้สึกว่า...”
“ว่าอะไร? ” เซี่ยเจิงหันหน้าไปมองเขา
“นายดูมีสติปัญญาและคุณธรรมเพียบพร้อมมากเลย” หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอพูดจบก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยจะถูกสักเท่าไหร่ คำว่ามีสติปัญญาและคุณธรรมเพียบพร้อมคำนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเข้ากับเซี่ยเจิงมากนัก แต่ท่าทางซาวข้าวอย่างชำนาญเมื่อครู่นี้ ทำให้เขานึกถึงคำนี้ขึ้นมา ดังนั้นเขาเลยพูดออกไปเช่นนั้น
“โอ๊ะ” เซี่ยเจิงตาเป็ประกาย “ดังนั้นยังไม่รีบกอดขาฉันไว้อีก ตามพี่เจิงมามีโจ๊กให้กิน”
“มีโจ๊กกินแล้วต้องกอดแน่นๆ เหรอ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะจนไหล่สั่นอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงยื่นมือออกไปบีบเข้าที่ต้นขาของเซี่ยเจิง เขาไม่ได้รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าการกระทำเช่นนี้มันดูสนิทสนมใกล้ชิดเพียงใด “พี่เจิง”