ถึงแม้พลังของเฉายวนิจะเหนือกว่าเขามากนัก แต่ลู่เต้าก็มิอาจซ่อนความไม่พอใจไว้ได้
‘ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีโอกาสได้แสดงฝีมือ...’ ลู่เต้าได้แต่คร่ำครวญในใจอย่างไม่ยอมแพ้ ‘ดันถูกแย่งไปอย่างหน้าด้านๆ!!!’
ดูเหมือนในบรรดาฝูงชนตอนนั้น เฉายวนิจะจำลู่เต้าได้ ดวงตาจึงเบิกกว้างขึ้น ร่างกายพลันหายวับไปในพริบตา ก่อนจะปรากฏขึ้นตรงหน้าลู่เต้า
‘แย่แล้ว!’ ลู่เต้าร้องลั่นในใจ ‘เร็วมาก!’
ยังไม่ทันได้ตั้งตัว มือใหญ่เย็นเฉียบของเฉายวนิก็คว้าใบหน้าลู่เต้าเอาไว้ ความหนาวเย็นสุดขั้วทะลุผ่านิัเข้าไปถึงกระดูก บังคับให้ลู่เต้ามองสบตาเขา
‘คนผู้นี้... คิดจะทำอะไรกัน’ จิตสังหารอีกฝ่ายกดดันจนลู่เต้ารู้สึกอึดอัดไปหมด หายใจแทบไม่ออก ใบหน้าที่ถูกจับรู้สึกเจ็บแปลบ
ตอนที่เฉายวนิเดินทางมาถึงเมืองัทมิฬใหม่ๆ เขาก็รู้สึกถึงรังสีบางอย่างที่คุ้นเคยแผ่ออกมาจากร่างของลู่เต้า ดังนั้นเขาจึง้ามองผ่านดวงตาทั้งสองข้างของลู่เต้าเพื่อสอดส่องดูิญญาภายใน ว่าเป็ของลู่เต้า หรือเป็ของคนที่ควรจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้วกันแน่
หลังจากมองดูครู่หนึ่ง เฉายวนิที่ขึ้นชื่อเื่สีหน้าเรียบเฉยกลับขมวดคิ้ว!
ไม่นานนัก ลู่เต้าก็รู้ว่าเฉายวนิกำลังเสียเวลาเปล่า เพราะคืนนี้ไป๋เสียอยู่ที่จวนสกุลหง ไม่ได้ตามเขามา ดังนั้นจึงเป็ไปไม่ได้ที่จะหาไป๋เสียเจอ!
เมื่อไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าลู่เต้าเกี่ยวข้องกับไป๋เสีย เฉายวนิจึงได้แต่ยอมปล่อยมือ ลู่เต้าที่เป็อิสระก็ประท้วงขึ้นเสียงดัง “มองพอหรือยังเล่า!”
เฉายวนิยังคงมีสีหน้าไม่อยากเชื่อสายตา ผู้ฝึกตนตรงหน้าไม่ได้ถูกไป๋เสียยึดร่าง
หรือว่าเมื่อครู่เป็เพียงแค่การเข้าใจผิดเท่านั้น
ลู่เต้าซ่อนขลุ่ยสะกดมารเอาไว้ ตราบใดที่ไม่มีใครเห็นสัญลักษณ์ของไป๋เสีย อีกฝ่ายก็ยิ่งไม่มีทางคิดว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับไป๋เสีย
ในเมื่อไป๋เสียยังคงถูกผนึกอยู่ เฉายวนิก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ต่อ เขามีนิสัยหยิ่งผยอง จึงไม่ได้เอ่ยขอโทษกับความผิดพลาด เขาหมางเมินไม่สนใจลู่เต้า ก่อนจะเหินไปกลางทะเลสาบัทมิฬที่มีแสงปีศาจส่องสว่าง บนผิวน้ำปรากฏเส้นทางน้ำแข็งบางๆ จนสุดท้ายร่างของเขาก็เร้นหายไปในอนธการ
หลังจากเฉายวนิจากไปไม่นาน หิมะก็หยุดตก สภาพอากาศที่แปรปรวนกลับมาเป็ปกติ
ลู่เต้ามองไปทางที่เฉายวนิจากไปพลางบ่นพึมพำ “เ้าขี้เก๊กเอ๊ย”
“เอ่อ...” กู่เสี่ยวอวี่โผล่มาข้างลู่เต้าด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้า!” นางเอ่ยด้วยความซาบซึ้งใจ
ลู่เต้าเห็นว่ากู่เสี่ยวอวี่ปลอดภัยดีก็ยิ้มออกมา ก่อนจะเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “ไม่จำเป็หรอก ข้าไม่ใช่คนปราบผีพรายสักหน่อย”
เขาเดินไปที่รูปปั้นน้ำแข็งของผีพราย ยื่นนิ้วไปจิ้มเบาๆ รูปปั้นน้ำแข็งก็แตกละเอียดเป็ผุยผงร่วงลงพื้นไป
“ตะ...แต่คนที่ปกป้องข้าอยู่หน้าผีพรายก็คือเ้าไม่ใช่หรือ” เห็นเขามีสีหน้าหมองหม่น กู่เสี่ยวอวี่จึงให้กำลังใจ
ดั่งคำกล่าวที่ว่า คำพูดดีๆ เพียงคำเดียวอบอุ่นไปทั้งสามเหมันต์ คำพูดร้ายๆ เพียงคำเดียวทำร้ายจิตใจไปทั้งหกคิมหันต์ คำพูดธรรมดาๆ ของนางทำให้ลู่เต้ารู้สึกอบอุ่นหัวใจนัก ไม่นานเขาก็แย้มยิ้มออกมาด้วยสีหน้าสดใสอีกครั้ง
“ที่แท้ก็มีแต่เสี่ยวอวี่เท่านั้นที่เข้าใจข้า” ลู่เต้าหลุดปากพูดออกมาด้วยรอยยิ้มขวยเขิน
“เอ๋” กู่เสี่ยวอวี่นิ่งอึ้งไป “เ้ารู้ชื่อของข้าด้วยหรือ”
“แย่แล้ว” ลู่เต้ารีบยกมือขึ้นปิดปาก
กู่เสี่ยวอวี่ยกโคมไฟขึ้นส่องใบหน้าของลู่เต้าด้วยความสงสัย
“พวกเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือ” นางเอ่ยถามด้วยความฉงน ขณะที่เดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเคยรู้จักเ้ามาก่อนนะ”
‘จริงๆ พวกเราก็รู้จักกันมาก่อน’ ลู่เต้าอยากจะพูดเช่นนี้ใจจะขาด แต่ก็ได้แต่ข่มใจเอาไว้
ในชาตินี้พวกเขาทั้งสองเพิ่งจะพบหน้ากันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ยังไม่ได้รู้จักกันอย่างเป็ทางการ
“อืม พวกเราเคยเจอกันที่เขายลดาบน่ะ” ลู่เต้ายอมรับตรงไปตรงมา
“จริงด้วย ข้านึกออกแล้ว” กู่เสี่ยวอวี่รู้สึกตัว “เ้าคือคนประหลาดคนนั้นนี่เอง!”
“ข้าไม่ใช่คนประหลาดสักหน่อย...”
ถึงแม้ทั้งสองคนจะเคยอยู่ด้วยกันเพียง่เวลาสั้นๆ แต่สัญชาตญาณของกู่เสี่ยวอวี่ก็บอกว่าลู่เต้าไม่ใช่คนเลว นางจึงยิ้มออกมา “ข้ารู้แล้ว ตอนที่เ้าเสี่ยงชีวิตปกป้องข้าเอาไว้ ข้าก็รู้ว่าเ้าเป็คนดี”
ลู่เต้ารู้สึกซาบซึ้งจนเกือบจะร่ำไห้ออกมา เขานึกในใจ ‘เสี่ยวอวี่...ช่างอ่อนโยนจริงๆ!’
ในขณะเดียวกันเขาก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะปกป้องนางให้ดี!
ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอม!
“จริงสิ ข้ายังไม่รู้ชื่อของเ้าเลย”
“ลู่เต้า”
“ลู่เต้า...ลู่เต้า...” กู่เสี่ยวอวี่พึมพำด้วยสีหน้าครุ่นคิด “แม้แต่ชื่อก็ฟังดูคุ้นหู แปลกจริงๆ”
ลู่เต้ารู้สึกเศร้าสร้อย ความทรงจำดีๆ เ่าั้ไม่อาจหวนคืน หลังจากที่เขาเปลี่ยนแปลงอนาคต พูดให้ถูกก็คือมันไม่เคยเกิดขึ้น กลายเป็เพียงภาพรางๆ ที่ปรากฏอยู่ในความทรงจำของเขาเท่านั้น
ไม่เป็ไร ถึงแม้ความทรงจำจะหายไป...แต่ก็สร้างความทรงจำใหม่ขึ้นมาได้มิใช่หรือ
เขามองการแต่งกายของกู่เสี่ยวอวี่ ในมือของนางถือที่ตกปลา เอวผูกข้องใส่ปลา เห็นได้ชัดว่านางมาทำสิ่งใด เขาจึงถามด้วยความสงสัย “มาตกปลาป่านนี้หรือ”
กู่เสี่ยวอวี่ซ่อนที่ตกปลาไว้ด้านหลัง พลางกล่าวด้วยความขวยใจ “อันที่จริงแล้ว ข้ามาเตรียมตัวสำหรับการสอบน่ะ”
“สอบหรือ”
“เ้าไม่รู้หรือ เมืองัทมิฬกำลังจะมีการสอบพ่อครัวิญญา หากสอบผ่านก็จะได้รับตำแหน่งพ่อครัวิญญาระดับสามัญชน”
นางกวัดแกว่งที่ตกปลาในมือกล่าวต่อ “การสอบครั้งนี้ ข้าตั้งใจจะใช้ปลาเป็วัตถุดิบในการทำอาหาร แต่ปลาที่ซื้อมานั้นเล็กเกินไป ข้าเลยคิดว่าจะมาตกเอง น่าเสียดาย...”
กู่เสี่ยวอวี่เปิดข้องเปล่าๆ ออกมาให้ดู แล้วส่ายหน้า “ข้ายังไม่ได้อะไรเลย ่นี้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ปลาในทะเลสาบถึงได้ตัวเล็กลง แถมยังมีน้อยลงอีก”
“โอ้”
ลู่เต้าเชื่อมโยงแสงปีศาจในทะเลสาบเข้ากับเื่ที่ปลาลดน้อยลง หากคิดเช่นนี้ การปรากฏตัวของเฉายวนิคงมิใช่เื่บังเอิญ
ในทะเลสาบต้องมีบางอย่างที่ดึงดูดให้ผู้ฝึกตนระดับหกดาวเดินทางมาที่นี่ได้
เื่นี้ต้องกลับไปบอกให้ไป๋เสียรู้เสียแล้ว
“แล้วเ้าเล่า เห็นจากการแต่งกายของเ้าแล้วน่าจะเป็แขกของจวนสกุลหง ทำไมถึงได้วิ่งมาที่ทะเลสาบเอาป่านนี้ได้เล่า”
เมื่อกู่เสี่ยวอวี่ถามเช่นนี้ ก็ทำให้ลู่เต้านึกขึ้นได้ว่าที่จริงแล้วเขาตั้งใจจะมาตามหาเถ้าแก่ แต่กลับเอาแต่พูดคุยกับนางจนลืมเื่สำคัญไปเสียสนิท
แต่อุตส่าห์ได้โอกาสอยู่กับนางสองต่อสองแบบนี้ทั้งที ลู่เต้าไม่อยากจะพลาดโอกาสทองเช่นนี้ไป เสี่ยวอวี่ผู้เข้าอกเข้าใจอ่านสีหน้าของเขาออก นางจึงยิ้มพลางกล่าวว่า “เ้ารีบไปทำธุระของเ้าเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะไปหาเ้าที่จวนสกุลหงเอง”
ลู่เต้าเก็บความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ รีบถามต่อ “พวกเราจะได้เจอกันอีกหรือ”
“อืม! เ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้ แน่นอนว่าข้าต้องทำอาหารอร่อยๆ เลี้ยงเ้าสักมื้อสิ!” นางตบบอกอย่างมั่นใจ “ฝากท้องไว้กับข้าได้เลย!”
“ตกลง!”
แต่เพื่อความปลอดภัย ลู่เต้าก็ยังคงไปส่งกู่เสี่ยวอวี่ในเมือง ก่อนจะแยกทางกัน
ทว่าตอนที่ลู่เต้าหันหลังกลับเตรียมจะไปที่ทะเลสาบัทมิฬเพื่อตามหาเถ้าแก่ต่อ ก็มีร่างกำยำร่างหนึ่งถือคบไฟเดินออกมาจากในความมืดตรงเข้ามาหาเขา
ลู่เต้ายังไม่ทันเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็เอ่ยทักด้วยน้ำเสียงประหลาดใจก่อน “อ๊ะ นั่นคุณชายนี่นา”
ตอนแรกลู่เต้ายังกังวลว่าเขาจะถูกผีพรายทำร้ายเหมือนกับกู่เสี่ยวอวี่หรือไม่ แต่เมื่อเห็นว่าเขาปลอดภัยดีก็รู้สึกโล่งใจ ก่อนจะเล่าเื่ราวที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง
เมื่อชายร่างั์ฟังจบก็หัวเราะลั่น แล้วตบบ่าลู่เต้าอย่างแรง “ข้ารู้หรอกว่าเ้าเด็กนั่นพูดจาเหลวไหล! เขากลัวความมืดจะตาย จะกล้าไปทะเลสาบัทมิฬตอนกลางดึกคนเดียวได้เช่นไรกัน”
“แต่เ้าก็ยังไปอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
“ก็เพราะเช่นนี้อย่างไรเล่า” ชายร่างั์หัวเราะพลางเปิดข้องที่เอว
ต่างจากกู่เสี่ยวอวี่ ข้องของชายร่างั์เต็มไปด้วยของ แต่ทว่า...ไม่ใช่ปลา
“นี่มันกุ้งก้ามกรามนี่”
ชายร่างั์หยิบกุ้งตัวหนึ่งออกมาอวดลู่เต้า กุ้งก้ามกรามในมือของเขามีลวดลายหินอ่อน ขาคู่แรกจนถึงคู่ที่สามมีก้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่แรก มีพัฒนาการจนแข็งแรงเหมือนก้ามปู
“่นี้ถึงแม้ว่าปลาจะมีจำนวนลดน้อยลง แต่กุ้งก้ามกรามแบบนี้กลับเยอะขึ้น” ชายร่างั์หยิบอุปกรณ์ตกปลาแบบง่ายๆ ของเขาออกมา เป็เพียงกิ่งไม้ที่มีเชือกผูกตับหมูห้อยอยู่
“เ้าพวกนี้ชอบของคาวเป็พิเศษ แค่เอาตับหมูแช่น้ำไว้ ทุกครั้งที่ดึงขึ้นมาก็จะได้สักสามถึงห้าตัว ไม่นานข้องก็เต็มแล้ว ถึงแม้กุ้งก้ามกรามจะเนื้อน้อย แต่ข้อดีคือมีจำนวนมาก หลังจากที่จับกลับมาแล้วก็นำไปผัดพริกกระเทียมใส่เหล้าหอมฉุยไปทั่วสารทิศ! ลูกชายที่บ้านข้าชอบกินนัก!”
“คราวหลังอย่าออกมาตอนกลางดึกอีกเลย ในทะเลสาบนี้มีผีพรายอาละวาด เ้าไม่ได้รับาเ็ก็โชคดีมากแล้ว! ฮูหยินท่านเป็ห่วงเ้าจนเกือบเป็ลมล้มพับไปแล้ว”
เมื่อชายร่างั์ได้ยินเช่นนั้นก็ใ “ฮูหยินข้าไม่สบายหรือ”
ลู่เต้าพยักหน้าอย่างแรง ชายร่างั์รีบร้อนกลับบ้านอย่างร้อนรน เขาเอ่ยกับลู่เต้าด้วยความกังวล “คุณชาย ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน คราวหน้าแวะมาดื่มชาที่ร้านได้ทุกเมื่อ ถือว่าข้าเลี้ยง!”
หลังจากทั้งสองคนแยกทางกันแล้ว ลู่เต้ามองทะเลสาบัทมิฬที่ดูสงบนิ่งแต่แฝงไปด้วยภยันตราย ก่อนจะตัดสินใจ “คืนนี้หาต้นไม้นอนแถวนี้ก็แล้วกัน”
*****
หงฮูหยินกำลังสำราญใจกับเจี่ยเหยียนอันชู้รักอยู่บนเตียง ทั้งสองเปลือยกายกอดรัดกันแแ่ เสียงครางสุขสมดังไม่หยุด หาได้สนใจไม่ว่าบ่าวไพร่จะได้ยิน
พูดง่ายๆ คือบ่าวไพร่ต่างรู้ดีกันอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ผู้ที่กุมอำนาจในจวนสกุลหงคือหงฮูหยิน พวกเขาจึงทำได้เพียงแสร้งไม่ได้ยิน ทำหน้าที่เฝ้าอยู่หน้าประตูอย่างซื่อสัตย์ต่อไป
ผ่านไปเนิ่นนาน หงฮูหยินที่สุขสมอารมณ์หมายแล้ว ก็ซบศีรษะลงบนอกเจี่ยเหยียนอัน ยกนิ้วเรียวลูบไล้พลางบ่น “เ้าเด็กหงฝูนั่น ่นี้ข้าคุมมันไม่อยู่แล้ว”
เจี่ยเหยียนอันโอบเอวบางของหงฮูหยิน บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มพึงพอใจ “หืม ทำไมหรือ”
“ไม่รู้ว่ามันไปพาผู้ฝึกตนไร้หัวนอนปลายเท้าที่ไหนมา”
มือซุกซนของเจี่ยเหยียนอันหยุดชะงักลง ทันใดนั้นเขาก็มีสีหน้าเคร่งเครียด “่นี้มีผู้ฝึกตนมาที่เมืองัทมิฬสองคน หรือว่าจะเป็สองคนนั้น”
หงฮูหยินส่ายหน้า “ไม่ใช่ ถึงขั้นต้องแสร้งทำเป็เคลื่อนย้ายหินฮวงจุ้ยก้อนนั้น ถามว่าเป็ศิษย์สำนักใดก็ตอบไม่ได้ คงไม่ใช่ผู้ฝึกตนฝีมือดีแน่!”
หลังจากที่เจี่ยเหยียนอันฟังหญิงงามในอ้อมแขนเล่าจบ เขาก็กล่าวว่า “เ้าโง่นั่นคงถูกหลอกแล้วกระมัง หาจอมยุทธ์ฝีมือดีกลับมา คิดจะทำอะไรกันแน่”
หงฮูหยินลุกขึ้นนั่งเผยเรือนร่างงดงามสู่สายตา ผิวพรรณที่บำรุงด้วยการแช่บ่อน้ำพุบำรุงผิวทุกวันเปล่งปลั่งผุดผ่องดุจดรุณี ผมยาวสลวยราวกับแพรไหมชั้นเลิศ
“ยังจะเื่อะไรอีก” นางเอ่ยเอาแต่ใจ “ก็ก่อฏอย่างไรเล่า! เ้าเด็กนั่นมันหมายตาตำแหน่งเ้าสำนักมานานแล้ว! มันอยากจะแย่งชิงจากมือข้าแทบใจจะขาด!”
มือซุกซนของเจี่ยเหยียนอันหยุดชะงัก สีหน้าพลันเคร่งเครียด “จะเป็เช่นนั้นได้อย่างไร พรุ่งนี้ข้าจะไปจัดการกับจอมยุทธ์ที่เ้าโง่นั่นพากลับมาเอง จะได้สั่งสอนมันเสียหน่อย!” พูดจบ เขาก็พลิกตัวกดหงฮูหยินลงบนเตียง เสียงครางอย่างสุขสมของนางดังขึ้น ทั้งสองคนกอดรัดกันฟัดเหวี่ยงกันอีกครา
บ่าวไพร่ที่อยู่ด้านนอกทำเป็ไม่ได้ยินเสียงครางที่ดังออกมาไม่หยุด ทำได้เพียงยืนถือกระบองเฝ้าอยู่หน้าประตูต่อไป
