ฉินรั่วตอบกลับ “หนูฉายรีบไปที่โรงหมอ แล้วเอาขวดนี้ไปให้หัวหน้าหมอหลวงเสิ่นตรวจสอบ ใต้เท้าเสิ่นบอกว่า ผงยาที่อยู่ในขวดนี้เป็ยาเสน่ห์ ขอแค่ใส่ลงไปในอาหาร คนที่ทานเข้าไปนิสัยจะเปลี่ยนไปอย่างมาก”
มู่หรงฉือลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก “ไปตำหนักจิ่งหง”
ฉินรั่วรีบตามเข้ามา
ที่ตำหนักจิ่งหง มู่หรงฉางที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จกำลังเตรียมตัวพักผ่อน นางกำนัลคนหนึ่งเก็บเสื้อผ้าในห้องอาบน้ำจากนั้นจึงถามด้วยความแปลกใจ “องค์หญิง วันนี้ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตำหนักบูรพาหรือเพคะ? เหตุใดถึงยังสวมชุดนี้?”
หยวนซิ่วพูดด้วยความแปลกใจ “องค์หญิงไม่ได้เปลี่ยนชุดที่ตำหนักบูรพา อีกอย่างตำหนักบูรพาก็ไม่มีเสื้อผ้าขององค์หญิง จะเปลี่ยนเสื้อผ้าได้อย่างไร? เหตุใดเ้าถึงได้พูดเช่นนี้?”
นางกำนัลคนนั้นยิ่งรู้สึกแปลกใจมากขึ้นไปอีก “ไม่ใช่สิ องค์หญิงไปตำหนักบูรพามิใช่หรือ นางกำนัลที่ดูแลองค์รัชทายาทมาที่ตำหนักจิ่งหงเพื่อมาเอาเสื้อผ้าไปให้องค์หญิงเปลี่ยน บอกว่าองค์หญิงทำชุดสกปรกที่ตำหนักบูรพา”
ใบหน้าเล็กของมู่หรงฉางเ็าขึ้นมา แววตาเข้มขึ้นมาเล็กน้อย “มีเื่นี้ด้วยหรือ?”
นางกำนัลคนนั้นพยักหน้าอย่างแข็งขัน จากนั้นก็ถอยออกไป
“องค์หญิง เื่นี้ไม่ค่อยปกติแล้วเพคะ” หยวนซิ่วเองก็รู้สึกว่าเื่นี้มันแปลกเกินไป “ตอนที่อยู่ตำหนักบูรพา หนูปี้ก็เห็นแค่หรูอี้ ไม่เห็นฉินรั่ว”
“ถึงเป็เช่นนั้นจริง แต่ก็ไม่นับว่าเป็อะไรได้” จู่ๆ มู่หรงฉางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะรีบพูด “รีบไปดูว่าผงยาเสน่ห์ยังอยู่หรือไม่!”
“เพคะ” หยวนซิ่งรีบไปหาในตู้ไม้ฮวาลี่
ในตอนนั้นกลับมีคนเข้ามา!
มู่หรงฉางดวงตาเบิกกว้าง มู่หรงฉือสาวเท้าเดินเข้ามาไวๆ โดยมีฉินรั่วตามมาด้านหลัง
มู่หรงฉางส่งยิ้มหวานเหมือนน้ำตาลไปให้ “เสด็จพี่ เหตุใดถึงได้มาตอนนี้หรือเพคะ? หรือว่ามีเื่ด่วนอันใดหรือ?”
มู่หรงฉือยืนอยู่ตรงหน้านาง จับจ้องนางตาไม่กระพริบ อยากเอาใบหน้ารูปไข่ที่ชำนาญการเสแสร้งนี่มามองให้ชัดๆ จนทะลุปรุโปร่ง
“เสด็จพี่ เป็อะไรไปหรือเพคะ?” ในใจของมู่หรงฉางแม้รู้ดีอยู่แก่ใจแต่ก็ยังถามออกมา
“น้องสาว เปิ่นกงให้โอกาสเ้าหนึ่งครั้ง พูดความจริงออกมา” มู่หรงฉือกล่าวอย่างจริงจังหนักแน่นมาก
“เสด็จพี่อยากจะให้น้องพูดอะไรหรือเพคะ?” มู่หรงฉางถามด้วยความสงสัย
“เ้ารู้ดีว่าเปิ่นกงกำลังพูดถึงอะไร” มู่หรงฉือตบบ่าของนาง “ขอเพียงเ้าพูดความจริงกับเปิ่นกง เปิ่นกงจะคิดหาวิธีปกปิดเื่นี้”
“น้องไม่รู้ว่าเสด็จพี่กำลังพูดเื่อะไร” มู่หรงฉางหันตัวมา ท่าทีเ็า
มู่หรงฉือส่งขวดแก้วใบนั้นไปตรงหน้านาง พูดอย่างมีความนัย “เ้ายังคิดจะปกปิดอยู่อีกหรือ? น้องสาว กระดาษห่อไฟไม่มิดหรอกนะ”
มู่หรงฉางเกร็งคอแย้ง “หม่อมฉันไม่เคยปกปิดอะไร หม่อมฉันไม่รู้ว่าที่เสด็จพี่พูดหมายถึงอะไร”
“น้องสาว อย่าทำเหมือนคนอื่นเป็คนโง่ นี่เป็สิ่งที่ฉินรั่วค้นออกมาได้จากห้องบรรทมของเ้า ด้านในเป็สิ่งใดเ้าย่อมรู้ดี”
“เอาของออกมาตามใจชอบแล้วบอกว่าเอาออกมาจากห้องบรรทมของน้อง ใครเห็นหรือ?” มู่หรงฉางยิ้มเย็น สีหน้าเปลี่ยนดั่งพลิกฝ่ามือ
“น้องสาว เ้าทำให้เปิ่นกงผิดหวังเกินไปแล้วจริงๆ” ในใจของมู่หรงฉือเย็นเฉียบราวตกลงไปในน้ำแข็ง “หากเปิ่นกงจะใส่ร้ายเ้า เพียงแค่เอาขวดนี้ไปให้อวี้หวาง อวี้หวางก็คงออกมาตัดสินโทษเ้าด้วยตนเองแล้ว”
“ถึงเสด็จพี่จะเอาของสิ่งนี้ไปให้อวี้หวาง เขาก็ไม่มีทางเชื่อ” มู่หรงฉางเลิกคิ้วยังคงปากแข็ง
มู่หรงฉือส่ายหน้ายิ้มเย็น “เ้าไม่ยอมรับก็ไม่เป็ไร หากไม่ยอมรับ เช่นนั้นก็ไปร้องขอความเป็ธรรมเองแล้วกัน”
คิดไม่ถึงว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันมาหลายปี น้องสาวที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันกลับกลายมาเป็คนเช่นนี้ไปเสียแล้ว
มู่หรงฉางเชิดคางขึ้นเล็กน้อย พูดเยาะหยันอย่างอวดดี “ได้ยินมาว่าเสด็จพี่มีพร์เป็เลิศ ความสามารถในการสันนิษฐานคดีนั้นยังเก่งกาจกว่าเสิ่นเซ่าชิงเสียอีก น้องก็อยากฟังว่าเสด็จพี่จะสันนิษฐานเื่นี้อย่างไร”
มู่หรงฉือยิ้มน้อยๆ “น้องสาว กงจวิ้นหาวบอกเปิ่นกงว่าเ้าเรียกเขาเข้าวัง พอเขามาถึงตำหนักจิ่งหง เ้าก็เชิญเขาเข้ามาอย่างกระตือรือร้น ยกแตงโมสดใหม่ ขนมกับน้ำซิ่งเหรินมารับรองเขา ทั้งยังบอกเขาให้ทานมากหน่อย หลังจากที่เขาทานเข้าไปก็รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย เพราะว่าในซิ่งเหรินของเ้าใส่ผงยาเสน่ห์ ต่อมาเ้าเผลอทำเสื้อเปื้อนจึงเข้ามาผลัดอาภรณ์ในห้องบรรทม เพื่อล่อให้เขาเข้าไป เ้าแสร้งทำเป็เห็นแมลงสาบแล้วกรีดร้องออกมา เขากังวลว่าจะเกิดเื่ขึ้นกับเ้า ไม่คิดอะไรมากนักจึงรีบบุกเข้าไป”
มู่หรงฉางนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะด้วยท่วงทาสง่างาม นางค่อยๆ จิบชาอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังฟังเื่อัศจรรย์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตนแม้แต่น้อย
มู่หรงฉือเลิกคิ้วก่อนจะพูดต่อ “น้องสาว ความจริงแล้วเ้าไม่ได้กลัวแมลงสาบ นางกำนัลของเ้าสามารถยืนยันได้ ครั้นกงจวิ้นหาวบุกเข้ามาในห้องบรรทม เ้าก็พุ่งเข้าไปกอดเขา ยั่วยวนเขา ฤทธิ์ของผงยาเสน่ห์ก็เริ่มออกฤทธิ์ เขาเห็นเ้ายิ้มออดอ้อนเขา เห็นเ้ากอดเขาไม่ปล่อย บางทีสิ่งเหล่านี้อาจเป็เพียงภาพหลอน แต่สำหรับเขาแล้ว มันกลับจริงยิ่งกว่าจริง เขาเป็บุรุษที่ควบคุมตนเองได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้น แต่กลับถูกเ้ายั่วยวนจนเกิดความกำหนัด ดังนั้นเื่ที่เ้าเฝ้ารอจึงเกิดขึ้น”
หยวนซิ่วยืนอยู่ด้านข้าง อดใจนขมวดคิ้วไม่ได้ เป็เช่นนั้นจริงๆ หรือ? องค์หญิงยั่วยวนคุณชายกง?
ใบหน้างดงามของมู่หรงฉางเดิมยังเ็าราวน้ำแข็งที่ถูกแช่ไว้พันปี เมื่อได้ยินประโยคเหล่านี้ น้ำแข็งนั้นเริ่มเกิดรอยร้าวเล็กๆ ดวงหน้าสวยเอาแต่ใจจืดเจื่อนลง แพขนตางอนยาวสั่นน้อยๆ
“จากนั้นเ้าก็หยิบมีดสั้นที่เตรียมเอาไว้ก่อนแล้วออกมา” เสียงของมู่หรงฉือเป็ดังน้ำเย็นในฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวจับหัวใจ “กงจวิ้นหาวนิสัยเปลี่ยนไปอย่างมาก ขาดสติ อาศัยเพียงสัญชาตญาณในการลงมือจึงไม่ได้สังเกตว่าในมือของเ้ามีมีดสั้นเพิ่มเข้ามา ในตอนที่เขากำลังหลงใหลเ้าจนแทบคลั่ง คิดเพียงแต่จะปลดปล่อย เ้าก็ลงมืออย่างโหดร้ายตัดส่วนนั้นของเขาทิ้งในคราวเดียว”
“เตี้ยนเซี่ย องค์หญิงหาใช่คนเช่นนั้น” หยวนซิ่วพูดแก้ต่างให้เ้านายของตน
“บุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกของจวนเสนาบดีสกุลกงไม่อาจมีทายาทสืบสกุลได้อีก ท่านเสนาบดีไม่มีทางยอมง่ายๆ งานแต่งของเ้ากับกงจวิ้นหาวก็ไม่อาจดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น นี่คือหนึ่งในเป้าหมายที่เ้าวางแผนเอาไว้” น้ำเสียงของมู่หรงฉือเ็าและเฉียบขาด เสียดแทงใบหู
“เตี้ยนเซี่ย เหตุใดองค์หญิงจึงต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า? องค์หญิงไม่มีแรงจูงใจเลยนะเพคะ” หยวนซิ่วพูดขึ้นอีกครั้ง
มือที่อยู่ในแขนเสื้อกว้างของมู่หรงฉางกำแน่น ริมฝีปากแดงเม้มแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ
มู่หรงฉือจ้องมองนางอย่างบีบคั้น “น้องสาว คนอื่นไม่รู้ แต่เปิ่นกงรู้ดี ในใจของเ้าชมชอบอวี้หวางมานาน เ้าไม่อยากแต่งให้กงจวิ้นหาวแม้แต่น้อย เ้าทำเช่นนี้ หนึ่งการแต่งงานของเ้ากับเขาช้าเร็วก็ต้องถูกยกเลิก สองเสด็จพ่อใส่ใจเื่ที่เ้าถูกทำร้าย ภายในปีสองปีนี้ไม่มีทางพระราชทานงานแต่งให้เ้า เ้าสามารถทำเื่ที่ตัวเองอยากทำได้”
มู่หรงฉางเหลือบตาขึ้นน้อยๆ แววตาเย็นเยียบไปถึงกระดูก “การสันนิษฐานของเสด็จพี่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน หม่อมฉันนับถือยิ่งนัก เพียงแต่ท่านมีหลักฐานหรือไม่?”
มู่หรงฉือยกขวดนั้นขึ้นมา “เ้าคิดว่าอวี้หวางจะไม่เชื่อเปิ่นกง?”
จู่ๆ มู่หรงฉางก็คุกเข่าลงต่อหน้านาง มือเรียวขาวจับชายอาภรณ์ของนาง เงยดวงหน้าเล็กมองมาที่นาง เพราะแผนการทั้งหมดของตนถูกมองจนทะลุปรุโปร่ง ขนตาของมู่หรงฉางชื้นน้ำตาจนเป็ประกาย ในดวงตาเจือความน่าสงสารผสมเ็ป ทั้งยังแฝงความต่ำต้อย ดูแล้วน่าเวทนาสงสาร “เสด็จพี่ น้องผิดไปแล้ว...พอน้องคิดว่าจะต้องแต่งกับบุรุษที่ไม่ได้พึงใจแม้แต่นิด ต้องสูญเสียความสุขทั้งชีวิตไปก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ ในใจร้อนรุ่มไปหมด ความคิดอยากตายน้องก็มี...น้องแค่ไม่อยากแต่งงานถึงได้คิดวิธีนี้ออกมา...น้องเลอะเลือนไปชั่วขณะ ถึงได้ทำความผิดร้ายแรงลงไป น้องขอร้องเสด็จพี่อย่าเอาเื่นี้ไปบอกอวี้หวางได้หรือไม่เพคะ?”
“เ้าคิดว่าเสนาบดีกงจะยอมง่ายๆ หรือ? เขาสูญเสียโอกาสที่จะมีลูกหลานไป เื่นี้น่าโกรธกว่าการสังหารเขาเสียอีก”
“น้องรู้ว่าครั้งนี้น้องทำความผิดร้ายแรงนัก แต่น้องจะทำอย่างไรได้เล่า? เสด็จพี่ ท่านจะส่งน้องให้สกุลกงลงโทษหรือไม่?” ดวงตาสวยของมู่หรงฉางเบิกขึ้น เต็มไปด้วยความหวาดกลัว พริบตาก็เปลี่ยนมาเป็ยืนกรานหนักแน่นและกล้าหาญ “ได้ น้องจะรับผิดชอบความผิดของตนเอง จะไม่ให้เื่ลามไปถึงเสด็จพ่อและราชวงศ์ จะไม่ให้สกุลกงอาศัยโอกาสนี้ทำร้าย...”
อย่างไรก็เป็ความสัมพันธ์ ‘พี่น้อง’ ที่มีมาหลายปี มู่หรงฉือเห็นท่าทางของนางเช่นนี้ก็ใจอ่อน
ความจริงแล้วมู่หรงฉือเองก็ไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร นี่คือโจทย์ยากที่ทำให้คนลำบากใจจริงๆ
ความผิดอยู่ที่จาวฮวา หากส่งนางให้สกุลกงจัดการ เช่นนั้นก็คือให้สกุลกงตำหนิต่อว่าคนของราชวงศ์ได้ เช่นนั้นแล้วความน่าเกรงขามของครอบครัวโอรส์จะไปอยู่ที่ใด?
แต่เื่นี้เกี่ยวข้องกับทายาทสืบสกุล สกุลกงจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไร?
มู่หรงฉือประคองนางขึ้นมา “เปิ่นกงขอคิดสักหน่อย”
มู่หรงฉางพึมพำเสียงสั่นเครือ “เสด็จพี่ น้องชอบคนผิดแล้วใช่หรือไม่? เหตุใดอวี้หวางถึงไม่ชอบน้อง? เหตุใดเขาถึงเ็าไร้หัวใจเช่นนี้?”
“ความรักของชายหนุ่มหญิงสาวในโลกนี้ล้วนเป็เช่นนี้ น้อยนักที่จะเป็ไปตามใจปรารถนา หากสามารถรักกันได้ทั้งสองฝ่าย เช่นนั้นย่อมดียิ่ง หากไม่สามารถเป็ไปได้ เช่นนั้นก็อย่าฝืน ไม่เช่นนั้นจะเป็การหาเื่เ็ปให้กับตนเอง” มู่หรงฉือเห็นนางเ็ปใจถึงเพียงนั้นก็อดเสียใจแทนนางไม่ได้ “น้องสาว เหตุผลนี้เ้าคงจะเข้าใจกระมัง”
“แน่นอนว่าเข้าใจเพคะ แต่น้องจะทำอะไรได้เล่า? มันสายไปแล้ว...” มู่หรงฉางสะอึกสะอื้น น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง “น้องเองก็เคยบอกกับตัวเองว่าอย่าไปหลงใหลเขา บุรุษที่ยอดเยี่ยมในโลกนี้มีถมเถไป แต่น้องทำไม้ได้...ทำไม่ได้...”
“น้องปวดใจ....” นางซบลงที่บ่าของมู่หรงฉือ เสียงสะอึกสะอื้นก็เปลี่ยนมาเป็โหยไห้อย่างปวดใจ
...
กระทั่งถึงเวลาทานอาหารเช้าของวันต่อมา มู่หรงฉือยังไม่อาจแก้ไขปัญหานี้ได้
ฉินรั่วถามเสียงเบา “เตี้ยนเซี่ยจะบอกความจริงกับอวี้หวางหรือไม่เพคะ?”
หรูอี้พูดเสียงใส “ถึงแม้องค์หญิงจะน่าสงสาร แต่อย่างไรก็ทำผิดไปแล้ว เตี้ยนเซี่ยเองก็ยากจะปกป้องนาง อีกอย่าง อวี้หวางเฉลียวฉลาดยิ่งนัก เกรงว่าจะปิดบังไว้ไม่ได้ เตี้ยนเซี่ยจะหาเื่ใส่ตัวก็คงไม่ดีกระมัง”
ฉินรั่วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ครั้งนี้หรูอี้พูดถูก ทรงบอกเื่นี้ให้อวี้หวางจัดการเถิดเพคะ”
มู่หรงฉือครุ่นคิดอยู่ตลอดว่า หากนางขอร้องมู่หรงอวี้ เขายังจะลงโทษจาวฮวาหรือไม่?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางจึงรีบทานอาหารเช้าแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องตำรา
มู่หรงอวี้ประชุมเช้าเสร็จแล้วก็อ่านฎีกาอยู่ครู่หนึ่ง ในตอนที่กำลังจะทานอาหารก็เห็นนางมาหา เขาเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ในแววตามีความยินดีแผ่กระจายอยู่บางเบา
“เตี้ยนเซี่ยทานอาหารเช้ามาแล้วหรือไม่?” เขาถาม
“ทานมาแล้ว” มู่หรงฉือกวาดตามองฎีกาบนโต๊ะที่รกรุงรัง ตรงนี้สามสี่เล่ม ตรงนั้นกองใหญ่หนึ่งกอง ทางนี้ก็มีอีกหลายเล่มวางอยู่เต็มไปหมด นางถาม “เหตุใดขันทีถึงไม่เก็บกวาดให้เรียบร้อยเล่า?”
“ไม่เก็บกวาดเสียจะดีกว่า พวกเขายิ่งจะทำให้ยุ่งเหยิงกว่าเดิม หากเตี้ยนเซี่ยไม่ถือสา ก็ช่วยเปิ่นหวางจัดสักหน่อย”
นางรู้สึกยินดีเพราะจะได้ฉวยโอกาสนี้แอบอ่านฎีกาบ้าง “ท่านก็ทานให้เร็วหน่อย เปิ่นกงมีเื่ด่วนจะพูดกับท่าน”
พูดไป นางก็ยืนเก็บของหน้าโต๊ะ จัดประเภทของฎีกา แน่นอนว่านางย่อมเปิดดูว่าฎีกานี้ผู้ใดเป็คนเขียน แล้วก็จะได้อ่านไปด้วย...
มู่หรงอวี้ตั้งใจทานโดยที่หัวไม่เงยขึ้นมา มีเพียงดวงตาที่เหลือบขึ้นมาน้อยๆ ไม่ได้แสดงสีหน้าใด
มู่หรงฉือกำลังอ่านทุกอย่างด้วยความสนอกสนใจ จู่ๆ ก็มีคนบางคนส่งขนมมาจรดริมฝีปากของนาง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้