"ท่านกินมื้อเย็นหรือยัง" เซวียเสี่ยวหรั่นเอียงคอมองเขา รู้สึกได้ว่าเขาดูเหมือนจะอ่อนเพลีย
เหลียนเซวียนส่ายหน้า หลังออกจากวัง เขาก็เปลี่ยนอาภรณ์แล้วมาทันที เนื่องจากต้องสลัดหางที่สะกดรอยอยู่ข้างหลัง จึงต้องเสียเวลามากหน่อย
"เช่นนั้นให้แม่ครัวทำของกินให้สักหน่อยเถอะ ท่านอยากกินบะหมี่หรือกินข้าวล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นมองท้องฟ้ามืดมิด "แม่ครัวฟางทำบะหมี่เนื้อวัวรสชาติไม่เลวเลย"
ค่ำมากแล้วยังไม่กินมื้อเย็น ยุ่งมากขนาดนั้นเชียว?
"เช่นนั้นกินบะหมี่แล้วกัน" เหลียนเซวียนฟังตามที่นางแนะนำ
"ข้าจะไปหาแม่ครัวฟางเ้าค่ะ" อูหลันฮวากลอกตาก่อนสาวเท้าก้าวใหญ่ไปทางโรงครัว
เซวียเสี่ยวหรั่นเดินเข้าไปใกล้เหลียนเซวียนอีกสองก้าว ดวงตากลมโตสุกใสจ้องมองเขา "ท่านเหนื่อยมากเลยหรือ"
ดวงตาของเขายังสว่างสดใส สีหน้าก็ไม่เผยแววอ่อนเพลีย แต่เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกได้ว่าเขาง่วงนอน
เหลียนเซวียนลดสายตาลงมาที่นาง ดวงเนตรสะท้อนภาพดวงหน้าที่คุ้นเคยเป็อย่างดี มุมปากโค้งขึ้นเป็รอยยิ้มอ่อนจางโดยไม่รู้ตัว
เหนื่อยหรือ? ก็เหนื่อยมากอยู่
วันนี้ทั้งวัน ลมเมฆในเมืองหลวงเปลี่ยนทิศกะทันหัน เกิดวิกฤติร้ายแรง
วันนี้ผูหยางชิงหลันกับอวี๋เฟิงหยางเข้าวังแต่เช้า ถึงตอนนี้ก็ยังออกจากวังไม่ได้
พระพลานามัยของอู่เซวียนตี้รุนแรงกว่าที่ตาเห็นภายนอก
พิษจากโอสถลูกกลอนซึมซาบเข้าสู่กระดูกแล้ว หากล่าช้าไปกว่านี้ ต่อให้เป็มหาเซียนจาก์ก็รักษาชีวิตของพระองค์ไม่ได้
สถานการณ์ตอนนี้ก็เพียงพอให้ผูหยางชิงหลันปวดศีรษะแล้ว
เหล่าหมอหลวงทั้งสำนักล้วนกระจ่างใจในพระพลานามัยของอู่เซวียนตี้ หากแม้แต่หมอหลวงยังไม่อาจเกลี้ยกล่อมให้ทรงรับฟังได้ แล้วพวกเขาจะกล้าทูลเตือนได้อย่างไร
จากการวินิจฉัยของผูหยางชิงหลันวันนี้ ถ้าพระองค์ไม่เลิกกินโอสถลูกกลอนเพิ่มพลังหยางก็คงรั้งชีวิตได้ไม่นานแล้ว
พอคำพูดนี้กล่าวออกมา สีหน้าดำคล้ำของอู่เซวียนตี้ก็พร้อมะเิได้ทุกเมื่อ
เหลียนเซวียนเตรียมรับมือในทางเลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว ถ้าเกิดอู่เซวียนตี้อาละวาดขึ้นมา อย่างไรก็ตามต้องรักษาชีวิตผูหยางชิงหลันไว้ให้ได้
เคราะห์ดีหลังจากอู่เซวียนตี้อาละวาดอยู่พักใหญ่ สัญชาตญาณเอาตัวรอดก็อยู่เหนืออารมณ์
ตัดสินใจเลิกโอสถลูกกลอนอย่างเด็ดขาด กระทั่งนักพรตผู้หลอมยาที่ทรงยกย่องนับถือตลอดมายังถูกส่งเข้าคุกหลวง
แต่ถึงกระนั้นการช่วยฟื้นฟูพระวรกายที่ทรุดโทรมอย่างหนักก็ไม่ใช่เื่ง่าย
เดิมทีพระพลานามัยของอู๋เซวียนตี้ก็ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ก่อนที่ผูหยางชิงหลันจะเข้าวัง ก็ทรงฝืนพระกำลังขึ้นว่าราชกิจในท้องพระโรง แต่ความจริงจากการวินิจฉัยโรควันนี้ะเืพระทัยอย่างรุนแรง ถึงกับประชวรหนักอยู่บนพระแท่นบรรทม
ผูหยางชิงหลันเสียเวลาทั้งวัน ถึงช่วยตรึงสถานการณ์ประชวรของอู่เซวียนตี้ไว้ได้
ไข้มาดุจฟ้าถล่ม ไข้ไปดุจปั่นเส้นไหม อู่เซวียนตี้ประชวรกะทันหันเกินไป
ราชสำนักั้แ่เบื้องบนถึงเบื้องล่างล้วนไม่มีผู้ใดคาดคะเนได้ ปรกติอู่เซวียนตี้ดูเหมือนพระพลานามัยแข็งแรงดี คาดไม่ถึงว่าจะประชวรหนักถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ
หลังอู่เซวียนตี้ฟื้นขึ้นมา ก็เรียกให้องค์ชายและขุนนางใหญ่เข้าวัง มีพระบัญชาให้เฟิงอ๋องหวงผู่เหลียนปี้เป็มหาอุปราช ดูแลราชกิจแทนพระองค์ชั่วคราว ลี่อ๋อง หลิ่งอ๋อง องค์ชายหก และองค์ชายเจ็ดเป็ผู้ช่วยในการจัดการงานราชการบ้านเมือง
พอราชโองการนี้ออกมา ผู้คนต่างแตกตื่นโกลาหล
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเฟิงอ๋องซึ่งปรกติไม่ค่อยได้รับความสนพระทัยจากฝ่าาสักเท่าไรจะกลายเป็องค์ชายอุปราช
ส่วนลี่อ๋องกับองค์ชายหกซึ่งเป็คนโปรดของอู่เซวียนตี้กลับเป็เพียงองค์ชายผู้ช่วยราชการแผ่นดิน
ยิ่งไปกว่านั้นหลิ่งอ๋องกับองค์ชายเจ็ดซึ่งไม่มีคุณสมบัติสืบทอดบัลลังก์กลับได้ผงาดขึ้นมาเป็องค์ชายผู้ช่วยราชการแผ่นดิน
สถานการณ์เปลี่ยนแปลงกะทันหันสร้างความสับสน แต่ละฝ่ายต่างเตรียมวางกำลังกันลับๆ
อู่เซวียนตี้มอบหน่วยองครักษ์หลวงซึ่งดูแลความปลอดภัยในพระนครให้อยู่ในความดูแลขององค์ชายเจ็ดหวงผู่เหลียนเซวียน
คลื่นลมภายใต้กระแสมืดจึงไม่อาจก่อตัว
มีองค์ชายเจ็ดหวงผู่เหลียนเซวียนช่วยพิทักษ์เมืองหลวง ต่อให้ขวัญกล้าแค่ไหนก็ไม่มีใครหุนหันพลันแล่นเอาชีวิตมาเสี่ยง
หวงผู่เหลียนเซวียนคือใคร?
องค์ชายผู้มีวรยุทธ์กล้าแกร่งที่สุดในพระนคร มิเพียงเชิงยุทธ์ล้ำเลิศ ยังอาจหาญแกล้วกล้าในสนามรบ พิทักษ์รักษาหัวเมืองชายแดนให้สงบมั่นคง เอาชนะศึกซีฉีได้ถึงห้าครั้งต่อเนื่องกัน ตีจนซีฉีต้องร่ำร้องหาบิดามารดาเร่งเจรจาสงบศึก จ่ายค่าชดเชย ทั้งยังส่งโฉมสะคราญอันดับหนึ่งคนใหม่ของซีฉีมาเป็บรรณาการ
แต่น่าเสียดาย องค์ชายเจ็ดผู้ไม่หลงใหลในอิสตรีปฏิเสธโฉมงามที่พร้อมโถมเข้าสู่อ้อมแขน ด้วยการส่งกลับไปให้อู่เซวียนตี้ถึงตำหนักใน
อู่เซวียนตี้จึงได้หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งซีฉีถึงสองรุ่น
เพียงแต่ทิวทัศน์งามมักไม่ยืนยาว อู๋เซวียนตี้ซึ่งยังพระชนมายุไม่ถึงห้าสิบชันษากลับประชวรกะทันหัน ซ้ำร้ายพระอาการยังรุนแรงจนต้องหยุดพักแรมเดือน ต้องให้เฟิงอ๋องสำเร็จราชการ และให้องค์ชายอีกสี่พระองค์เป็ผู้ช่วยดูแลราชกิจบ้านเมือง
จำต้องปิดข่าวชั่วคราวมิให้แพร่งพรายออกไป แต่ถึงยามออกว่าราชการพรุ่งนี้ ข่าวการประชวรของอู่เซวียนตี้คงปิดไม่อยู่แล้ว
สองสามวันมานี้เหลียนเซวียนจึงงานยุ่งมากถึงมากที่สุด เขาก้มมองสตรีที่ตัวเล็กกว่าหนึ่ง่ศีรษะพลางทอดถอนใจ
"ไม่มีอะไรหรอก" เขายืนอยู่ตรงนั้นเรือนกายหยัดตรงดั่งต้นสน
เซวียเสี่ยวหรั่นกลับเบะปาก คนผู้นี้มีเื่ทีไรก็มักบอกว่าไม่มี เป็คนไม่น่ารักเอาเสียเลย
องค์ชายแล้วอย่างไร เป็ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ? นึกถึงยามเขาถูกคนวางแผนทำร้าย ถูกวางยาพิษประหลาดซ้ำยังเฆี่ยนจนเป็แผลไปทั้งตัว สีหน้าของเซวียเสี่ยวหรั่นพลันเคร่งขรึมขึ้นมา มองซ้ายมองขวา แล้วกดเสียงกระซิบถาม
"ท่านหาคนที่ลอบทำร้ายพบหรือยัง แล้วเตรียมจะจัดการอย่างไร"
สีหน้าห่วงใยและวิตกกังวลของนางทำให้ดวงตาของเหลียนเซวียนอาบไปด้วยรอยยิ้มล้ำลึก
"เ้าอย่ากังวลกับเื่วุ่นวายเหล่านี้เลย"
เขามิปรารถนาให้นางเห็นรากเน่าฟอนเฟะภายใต้บุปผางามสะพรั่ง ดวงตาของนางบริสุทธิ์สดใส ควรมีชีวิตภายใต้แสงตะวันอันเรืองรองมากกว่า
"ฮึ เชิญท่านปกปิดตามสบาย ต่อไปอยากฟังอะไรจากที่นี่ก็อย่าหวังว่าจะได้ยินอีกเลย"
เซวียเสี่ยวหรั่นโมโหฮึดฮัดเดินเข้าไปในห้องโถง
เหลียนเซวียนอมยิ้ม เขาลืมไปได้อย่างไรว่านางเป็สตรีที่ไม่อาจใช้สามัญสำนึกมารับมือ
เขาค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องโถง แสงโคมสว่างไสวทาบไล้ลงมาบนดวงหน้าขาวเนียนละเอียด ดูเปล่งประกายชุ่มชื่น
วันนี้นางหวีผมทรงใหม่งดงามน่ามอง เรือนผมเกล้าขึ้นเหนือกระหม่อมแล้วแบ่งออกเป็สองวง ปักปิ่นดอกหูเตี๋ยหลันไว้ข้างมวยผมทอประกายระยิบระยับภายใต้แสงตะเกียง
นางเบือนสายตาหนีไม่มองเขาอีก หลุบตาลง ขณะที่เชิดคางขึ้น ริมฝีปากแดงเต็มไปด้วยความชุ่มชื้นยื่นออกมาน้อยๆ แสดงโทสะออกมาอย่างเต็มที่
เห็นนางแสร้งทำเป็โมโห มุมปากของเหลียนเซวียนก็โค้งขึ้นอย่างอดไม่ได้
"วันนี้ในวังเกิดเื่ใหญ่ อยากฟังไหม?" น้ำเสียงต่ำและแ่เบาดังขึ้นในห้องโถง เื่นี้บอกนางก่อนก็ไม่เป็ไร พรุ่งนี้คนทั่วเมืองก็น่าจะรู้เื่หมดแล้ว
เซวียเสี่ยวหรั่นหันมาทันควัน ดวงตาจดจ้องเขาเขม็ง "เื่ใหญ่อันใด"
"วันนี้คงยังไม่ได้พบญาติผู้พี่ของเ้าสินะ" เหลียนเซวียนเกริ่นนำประโยคหนึ่ง
"ใช่สิ ไม่เห็นเขาเลยทั้งวัน" ตามหลักเหตุผลแล้ว หากเขาอยู่ในจวน ก็น่าจะมาดูสถานการณ์ของพวกเขาที่นี่หลังจากเข้ามาอยู่ เซวียเสี่ยวหรั่นหาใช่คนเขลาเบาปัญญา ไม่ช้าก็คิดเชื่อมโยงเข้ากับคำพูดของเขาได้ "เกิดเื่กับญาติผู้พี่หรือ"
เซวียเสี่ยวหรั่นใมาก เพิ่งเข้าเมืองหลวงวันที่สอง ผูหยางชิงหลันก็ไปก่อเื่แล้วหรือ?
"อืม มีเื่นิดหน่อย" เหลียนเซวียนพยักหน้า
"คงมีผู้เป็ใหญ่พระองค์ไหนในวังเกิดเื่ ก็เลยให้ญาติผู้พี่ไปแบกหม้อกระมัง?" เซวียเสี่ยวหรั่นนึกถึงที่เขาเพิ่งบอกว่าในวังเกิดเื่ใหญ่
แบกหม้อ? หมายถึงแบกหม้อดำหรือ? เหลียนเซวียนพินิจความหมายจากถ้อยคำของนาง ก็เลิกคิ้วในฉับพลัน
ที่นางคาดเดาก็ไม่ผิด หากอู่เซวียนตี้ตกะทันหัน ผู้แบกหม้อใบนี้ไม่แคล้วต้องเป็ศิษย์พี่
