อวิ๋นซีมองไปยังข้ารับใช้ที่อยู่อีกด้าน ก่อนจะเอ่ยเสียงแน่นว่า “มัวอึ้งอยู่ทำไม? ยังไม่รีบไปประคองพ่อบ้านจากจวนสกุลลู่ไปพักผ่อนในเรือนอีก” นางเชื่อว่าหากตนเองกล่าวเช่นนี้ หลังจากนี้ไปไม่ว่าลู่เหวินเจินจะพูดอะไรหัวเด็ดตีนขาดพ่อบ้านผู้นี้ก็จะไม่เชื่ออีกแล้ว
ทาสรับใช้ที่คิดจะนอกใจั้แ่แรกอยู่แล้ว เห็นทีคงมีแค่ลู่เหวินเจินเท่านั้นที่กล้าใช้ เขาคงคิดว่าตนเองมีน่าเกรงขามมากจริงๆ ขนาดที่ว่าบีบคั้นชีวิตของผู้อื่นได้ตามใจ
ข้ารับใช้ช่วยประคองพ่อบ้านเข้าไปนั่งบนม้านั่งในลานหลังเรือน อวิ๋นซีและอวิ๋นซานเองก็ตามเข้ามาด้วย ข้ารับใช้ที่อยู่ด้านนอกเองก็ลองไปตรวจสอบดูว่ามีสิ่งของชิ้นไหนที่เสียหายบ้าง เพราะคุณหนูของพวกเขาบอกเองว่าสิ่งของเหล่านี้ล้วนต้องให้ท่านนายอำเภอลู่ชดเชยตามราคาเดิมทั้งหมด
อวิ๋นซานรู้ว่าบุตรสาวของตนมีเื่จะพูดกับเฉิงเถียน เขาเหลือบมองนางทีหนึ่งก่อนจะเดินตรงเข้าไปในโรงเก็บยาสมุนไพร อวิ๋นซีจึงลงนั่ง ต้าเฮยเดินไปถูข้างกายนางเบาๆ หลายครั้งอย่างเอาอกเอาใจ นางลูบหัวต้าเฮยด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นมองพ่อบ้านเฉิงเถียนก่อนจะพูดว่า “เ้าอยากใช้ชีวิตอิสระกับนางผู้เป็ที่รักในดวงใจของเ้าไหม?”
หลังจากเฉิงเถียนได้ฟังเช่นนั้นก็มองไปยังอวิ๋นซี ชีวิตอิสระ? ผู้ใดไม่้าบ้างล่ะ? กระทั่งนอนหลับฝันเขาก็ยัง้า แต่ว่าเื่เหล่านี้ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น สำหรับผู้ที่ลงนามขายตนเองและกลายเป็ทาสรับใช้แล้วนั้น การที่จะหนีจากสถานการณ์เป็ทาสได้นั้นไม่ใช่เื่ที่ง่ายดายเลย
อวิ๋นซีลูบขนฟูๆ บนหลังของต้าเฮยเบาๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องมองมาที่ข้าด้วยสายตาสงสัยเช่นนั้น ในเมื่อข้าออกปากถามเ้าแล้ว หลังเสร็จงานข้าย่อมมีวิธีที่จะทำให้เ้าหลุดพ้นจากการเป็ทาส จากนั้นก็พาคนงามของเ้าไปใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีได้ เมื่อเ้าหลุดพ้นจากการเป็ทาสได้แล้ว วันเวลาหลังจากนั้นเ้าก็จะสร้างครอบครัวมีบุตรชายบุตรสาวกับผู้เป็ที่รักของเ้าได้อย่างซื่อตรงเปิดเผย ทั้งยังสามารถให้การศึกษาที่ดีแก่บุตรชายของเ้าได้ด้วย อีกหน่อยก็เข้าร่วมการสอบคัดเลือกขุนนางเพื่อเปลี่ยนโชคชะตาได้ แต่หากเ้ายังอยู่ในบ้านสกุลลู่ แล้วนายอำเภอลู่จับได้คาหนังคาเขาว่าเ้ากับหญิงของเขาลอบมีสัมพันธ์กันลับหลังจริงๆ เขาย่อมเอาชีวิตเ้าแน่ แล้วก็จะเอาชีวิตหญิงผู้เป็ที่รักของเ้าด้วย”
คำพูดของนางเหมือนลมหนาวในฤดูเหมันต์ เย็นะเืจนแทงทะลุเข้าไปในหัวใจของเฉิงเถียนโดยตรง ต้องบอกว่าการวิเคราะห์เหล่านี้ของอวิ๋นซีนั้นมีเหตุผลอย่างมาก เขาอยู่ข้างกายท่านนายอำเภอมาหลายปีดีดักแล้ว ย่อมเข้าใจว่าท่านนายอำเภอปฏิบัติต่อคนอย่างไรอย่างทะลุปรุโปร่ง วันนี้อีกฝ่ายคงให้ตนเองมาที่นี่เพียงเพื่อหยั่งเชิงดู หากท่านนายอำเภอรู้ว่าตนเองลอบเป็ชู้กับอี๋เหนียงที่สิบห้าจริงๆ อีกฝ่ายย่อมไม่สนใจความพยายามตั้งใจทำงานอย่างหนักตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ของตนอยู่แล้ว
“เ้า้าอะไร?” เขาฟังจนสะท้อนใจแล้ว ในใจเองก็โหยหาที่จะได้มาซึ่งอิสรภาพ และก็หวังว่าจะได้พาแม่นางผู้เป็ที่รักของตนออกมาจากบ้านสกุลลู่เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ หากนางช่วยเขาได้จริงๆ ก็ย่อมเป็เื่ที่ดีเสียยิ่งกว่าอะไร เพียงแต่ ก่อนอื่นจำต้องดูให้ออกก่อนว่าหญิงผู้นี้้าจะทำอะไรให้สำเร็จกันแน่
อวิ๋นซีพูดด้วยสีหน้าเรียบเรื่อยว่า “ข้าไม่ได้คิดอะไรไว้ ข้าเพียงแค่อยากพาท่านพ่อของข้าไปใช้ชีวิตสงบสุขที่หานโจวก็เท่านั้น วันนี้คุณหนูของบ้านพวกเ้าผูกใจเจ็บกับข้าแล้ว เ้าคิดว่าตามนิสัยของเ้านายเ้าแล้วจะยอมปล่อยข้าไปอย่างนั้นหรือ? ย่อมไม่เป็เช่นนั้นอย่างแน่นอน ดังนั้นข้าจึงต้องเตรียมตัวไว้ก่อนสักหน่อย”
เฉิงเถียนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยกับคำสารภาพของนาง เขามองไม่ออกว่าในใจของเด็กสาวผู้มีอายุเพียงสิบห้าปีนี้คิดอะไรอยู่กันแน่ ยิ่งพูดต่อไป ก็ยิ่งพบว่าจิตใจของคนผู้นี้ยากจะหยั่งถึง ไม่ต่างจากเ้านายของตนมากนักเลย เมื่อต้องรับมือกับคนเช่นนี้ทีไร ก็ยิ่งต้องระแวดระวังไว้ให้ดี มิฉะนั้นก็จะไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองจะถูกโยนทิ้งแล้วจับไปฉีกเป็ชิ้นๆ เมื่อใดกันแน่
อันที่จริงแล้ว เื่ของคุณหนูบ้านนั้นกับนางผู้นี้ แรกเริ่มเดิมทีเขาก็รู้มาไม่เยอะ เื่เดียวที่รู้มาแน่ชัดคืออวิ๋นซียั่วโทสะท่านนายอำเภอจริงๆ อีกทั้งยังยั่วไปจนถึงจุดที่หากไม่เอาออกจากอก ก็จะอยู่เป็หนามยอกอกอยู่อย่างนั้น
“ถ้าเช่นนั้นเ้าอยากให้ข้าช่วยเ้าทำสิ่งใด?” เขาไม่เชื่อว่าโลกนี้จะมีการช่วยเหลือโดยไร้เหตุผล ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับผลประโยชน์เป็หลัก
อวิ๋นซียิ้มบางๆ “เ้านายของเ้า้าจะมีบุตรชายมากไม่ใช่หรือ บนโลกนี้มีคนประเภทหนึ่งที่ร่างกายของนางจะแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป เป็ผู้ที่ตั้งครรภ์ได้ง่าย อีกทั้งยังมีชะตาที่คลอดบุตรออกมาล้วนเป็บุตรชายทั้งสิ้น หากเ้าจงใจหรือไม่จงใจให้เ้านายของเ้ารู้เื่นี้เข้า เขาย่อมต้องพยายามคิดหาวิธีที่จะหาตัวหญิงสาวแบบนี้อย่างสุดความสามารถแน่นอน หากเป็เช่นนี้แล้วละก็หญิงอันเป็ที่รักของเ้าก็จะปลอดภัยแล้ว”
นางหยัดกายขึ้นและมองเฉิงเถียน “หากเ้ายอมร่วมมือด้วย นี่ก็คือของขวัญที่ข้ามอบให้เ้า เ้ารู้ว่าเื่ใดจำเป็ก็บอกข้าเท่านั้น หากมีเื่ที่เ้ารู้เกี่ยวกับลู่เหวินเจินด้วยมาบอกข้าก็จะยิ่งดี ถ้าเป็เช่นนี้แล้ว ก็ย่อมไม่กระทบเ้าจนเกิดความเสียหายใดๆ อย่างแน่นอน”
เมื่อเฉิงเถียนได้ฟังแล้วก็พบว่าเื่ทุกอย่างเป็อย่างที่นางพูดจริงๆ หากง่ายดายขนาดนี้ ความร่วมมือก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเลยสักนิด
“ตกลง ข้ารับปากเ้า แต่เ้าเองก็ต้องรับปากข้าด้วยเช่นกันว่าเ้าจะทำตามที่พูด มิฉะนั้นเ้าก็อย่าหวังเลยว่าเ้าจะได้ข่าวคราวที่เกี่ยวกับลู่เหวินเจินจากข้า” ในใจของเขามีเส้นด้ายที่เรียกว่าความบ้าคลั่งอยู่และเส้นด้ายนั้นกำลังโดนกระตุกโดยอวิ๋นซี ตอนนี้เขาถึงกับเรียกชื่อลู่เหวินเจินในใจโดยไม่มียศนำหน้าแล้วด้วยซ้ำ เขา้าหลุดพ้นจากการควบคุมของลู่เหวินเจิน และพาแม่หญิงของตนไปใช้ชีวิตของตนเอง
“วางใจเถิด ตราบใดที่เ้าไม่ใช่นกสองหัว ข้าก็จะไม่บิดพลิ้วคำพูดตัวเอง” นางยื่นมือออกไป “หนึ่งหมื่นตำลึง เอามาซะ”
ก็ยังจะเป็ขโมยจริงๆ เขาอยากจะกลืนเงินหนึ่งหมื่นตำลึงของตนเองลงไปเลยโดยไม่กลัวว่าจะติดคอตายด้วย
เฉิงเถียนมองนางแล้วมองนางอีก จนในที่สุดก็เอาเงินหมื่นตำลึงยื่นออกไปให้ด้วยความเ็ป แม้ว่ามันจะเจ็บใจนิดหน่อย แต่เมื่อนึกถึงวันข้างหน้าที่ตนเองอาจจะหลุดพ้นจากการเป็ทาส เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาน้อยๆ
หลังจากที่รอจนเฉิงเถียนพาคนออกไป อวิ๋นซานก็ถึงเดินออกมาจากคลังเก็บยา เขามองอวิ๋นซีด้วยสายตาซับซ้อนน้อยๆ นี่คือบุตรสาวของตน ไม่ผิดแผกไปแม้แต่นิด แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่านางมีบรรยากาศรอบตัวที่ทรงพลังเช่นนี้ อีกทั้งยังเ้าอุบายถึงเยี่ยงนี้
“ท่านพ่อ ถ้าเราไม่ลงมือทำ สักวันผู้ที่เดือดร้อนก็ย่อมต้องเป็บุตรสาวอย่างข้าไม่ก็ท่านพ่อแน่นอน แม้แต่ชีวิตของเราพ่อลูกก็จะรักษาไว้ไม่ได้ ข้าเพียงแค่หวังว่าจะมีชีวิตที่ดี แต่ช่วยไม่ได้เลยที่ผู้อื่นไม่ให้โอกาสนี้แก่เรา” จากสายตาที่ซับซ้อนจนแยกไม่ออกของอวิ๋นซานแล้ว อวิ๋นซีก็โทษตัวเองในใจ หากไม่ใช่เพราะตัวนางเอง อวิ๋นซานก็จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเื่ผิดชอบชั่วดีเช่นนี้แต่แรก
เขาถอนหายใจก่อนจะลูบศีรษะบุตรสาวเบาๆ “เ้าโตแล้ว มีความคิดอ่านเป็ของตัวเองแล้ว พ่อก็ไม่ควรจะเข้าไปยุ่มย่ามมากเกินไป เหมือนกับเมื่อตอนเด็กที่เ้าบอกว่าอยากศึกษาวิชาแพทย์ สิ่งเดียวที่พ่อทำได้ก็คือสนับสนุนเ้า”
หลังจากที่อวิ๋นซีได้ฟัง ทั้งจมูกทั้งตาก็ขึ้นสีแดงเรื่อทันที เช่นเดียวกันกับที่ท่านพ่อเฉียวของนางเคยกล่าวไว้เช่นกัน เมื่อนางยังคงเป็เฉียวอวิ๋นซี นางอายุได้เพียงห้าขวบ ก็อยากจะเรียนวิชาการต่อสู้กับบิดาและพี่ชายของนางด้วย แต่ว่า พวกเขาก็หวังเสมอว่าตัวนางจะกลายเป็หญิงผู้เพียบพร้อมอ่อนโยนได้อย่างแท้จริง ดังนั้นจึงมักไม่สุขใจเมื่อนางรำดาบฟันกระบี่
แต่ว่าเมื่อนางยืนกราน สุดท้ายแล้วเฉียวกั๋วกงเองก็พูดบางอย่างเช่นนี้ออกมาเหมือนกัน แล้วยังสอนวิชาการต่อสู้ให้นางเป็การส่วนตัวอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ยังรักษาภาพลักษณ์ของหญิงผู้เพียบพร้อมของนาง การฝึกวิทยายุทธ์ของนางจึงเป็ความลับมาโดยตลอด แม้กระทั่งลู่หลิงฉิงผู้สนิทชิดเชื้อที่สุดก็ยังไม่รู้เื่นี้
เมื่อได้เกิดใหม่อีกชาติหนึ่ง ทันทีที่นางได้ยินคำพูดเดียวกันจากบิดาอีกคน นางก็รู้สึกะเืใจและเศร้าโศกเป็อย่างยิ่ง
“ท่านพ่อ พวกเรายอมแพ้ไม่ได้แล้ว ไม่ว่าเราจะเจอศัตรูที่แข็งแกร่งเพียงใด ตราบใดที่เราไม่สิ้นชีพ ก็จะมีสักวันหนึ่งที่เราสู้จนได้กลับมาอย่างแน่นอน แม้ว่าเราจะถูกไล่ต้อนไม่ต่างจากหมูจากหมา เราก็จะต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมีชีวิตอยู่ต่อไป” นางจะไม่หลบหนีอีกแล้ว ไม่ว่าจะเจอความยากลำบากเพียงใด นางก็จะกัดฟันต่อสู้ให้ผ่านไปให้ได้