ประโยคนี้ของท่านฉางไท่เป็การปฏิเสธพวกเขาทั้งหมด อันที่จริงที่พวกเขามาเรียนที่นี่ส่วนหนึ่งก็วาดฝันไว้ว่าจะมีโอกาสกลายเป็ลูกศิษย์ของท่านฉางไท่ แต่ทว่าวันนี้ท่านฉางไท่กลับพูดปฏิเสธพวกเขาทั้งหมดด้วยปากของตนเอง
“พวกคุณไม่ขยันแต่คิดอยากให้คนอื่นยอมรับพวกคุณ เื่แบบนี้มันไม่มีทางเป็ไปได้หรอกนะ! พวกคุณมีชีวิตอยู่บนหอคอยงาช้างของตนเองนานเกินไปแล้ว ผมรู้จักเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อหลินเยว่ เขามีอายุมากกว่าพวกคุณไม่กี่ปี เรียนจบจากมหาวิทยาลัยธรรมดา แต่เพื่อหาโอกาสศึกษาการแกะสลักเขาจึงไปเป็ช่างในโรงงานหยก 2 ปี แต่เวลา 2 ปีนี้กลับไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย แต่เขาก็ยังไม่ได้ล้มเลิกความตั้งใจ หลังจากนั้นผมบังเอิญมีโอกาสเจอกับเขา ผมจึงตั้งบททดสอบให้กับเขาเหมือนที่ตั้งให้กับพวกคุณ แต่โจทย์ที่ผมตั้งให้เขามันยากกว่าของพวกคุณมากนัก เงื่อนไขที่ผมตั้งให้พวกคุณก็คือพวกคุณลงมีด 10 ครั้งต้องผ่าโดนธูป 2 ครั้งภายในเวลา 1 ปี แต่ผมบอกเขาว่าให้เขาลงมีด 10 ครั้งผ่าถูก 6 ครั้งภายใน 1 เดือน”
“ฟังให้ชัดเจนนะ ไม่ใช่หนึ่งปี แต่เป็หนึ่งเดือน!!!”
“ไม่ใช่ 2 มีด แต่เป็ 6 มีด!!!”
ท่านฉางไท่พูดะโอย่างกึกก้องใส่หน้าทุกคน
เมื่อได้ยินเสียงของท่านฉางไท่ะโอย่างโมโห พวกเขาทุกคนจึงเกร็งตัวขึ้นทันที ในขณะเดียวกันในใจของพวกเขาก็เกิดความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา “มันจะทำได้อย่างไรล่ะ?”
“คิดว่ามันเป็ไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ผมก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ว่าเขากลับสามารถทำสำเร็จภายในหนึ่งเดือน และก็ไม่ได้ทำสำเร็จอย่างธรรมดาด้วยนะ เพราะเขาสามารถทำได้จำนวนมากกว่านั้นอีกด้วย เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 4 วันก่อนนี้เอง ที่บ้านผมเลย เขาผ่าธูปต่อหน้าผม 10 ครั้ง พวกคุณรู้ไหมว่าเขาผ่าถูกกี่ครั้ง?”
“รู้ไหมล่ะ!!!”
6 ครั้ง?
ทุกคนต่างคิดกันอย่างเงียบๆ
“9 ครั้ง!!!”
“10 ครั้งผ่าถูก 9 ครั้ง!!!”
เมื่อได้ยินเสียงะโของท่านฉางไท่ ทุกคนก็ถึงกับเกร็งไปทั้งตัว ใบหน้าพวกเขามีแต่ความตกตะลึง
มันจะเป็ไปได้อย่างไรกันล่ะ?
เป็ไปได้อย่างไรที่สามารถผ่าถูก 9 ครั้งภายในหนึ่งเดือน?
พวกเขาทั้งหลายต่างนิ่งอึ้งไปเหมือนกับคนเสียสติ สำหรับพวกเขาแล้วข้อมูลนี้สร้างความใไม่น้อยไปกว่าขีปนาวุธนิวเคลียร์ะเิ สหภาพโซเวียตล่มสลายเลยทีเดียว พวกเขารู้สึกไม่อยากเชื่อ และไม่ได้เตรียมใจให้เชื่อกับเื่แบบนี้
10 มีด ผ่าถูก 9 มีด?
คนผู้นี้เป็ใครกันแน่?
เขาชื่อหลินเยว่อย่างนั้นหรือ?
แล้วหลินเยว่เป็ใครกันล่ะ?
คำถามนี้เกิดขึ้นในความคิดของพวกเขาทุกคน และพวกเขาก็อยากจะเจอคนที่สามารถทำสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้ได้ พวกเขาอยากมองให้เห็นกับตาว่าบุคคลผู้นี้มี 3 เศียร 6 กรหรือเปล่า? หรือว่าเขาจะมีความเป็พิเศษเหนือคนธรรมดาทั่วไปตรงไหนบ้าง?
“ตอนนี้เขาได้กลายเป็ลูกศิษย์ของผมแล้ว หากผมพูดอีกสถานะของเขาให้พวกคุณฟัง พวกคุณอาจจะไม่อยากเชื่อก็ได้ เขาไม่ได้เป็เพียงลูกศิษย์ของผมเท่านั้น เขายังเป็ลูกศิษย์ของเฮ่อฉางเหอที่เป็ปรมาจารย์แห่งการพิสูจน์เครื่องเคลือบที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ! ไม่ได้มีแค่เท่านี้นะ เพราะพวกเราสองคน้าจะแย่งลูกศิษย์คนนี้กันจนเกือบจะถึงขั้นลงไม้ลงมือกันเสียด้วย รู้หรือยังว่าพวกคุณแตกต่างจากเขามากขนาดไหน!!! ไม่ได้เป็เพราะพวกคุณมีความสามารถไม่เท่ากับเขา แต่เป็เพราะพวกคุณไม่ได้ฝึกฝนอย่างหนักแบบเขา!!!”
“พวกคุณมีแต่คนคอยโอ๋ คอยประคบประหงม แล้วมีส่วนไหนที่สามารถทำให้ตัวเองสามารถลำพองใจได้อีกบ้าง......”
……
หลังจากเลิกเรียนแล้ว คำพูดของท่านฉางไท่ยังคงสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ในสมองของทุกคนที่อยู่ในห้องเรียนนั้น พวกเขายังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องเรียนอยู่เลย
วันนี้ มีคนที่ชื่อหลินเยว่ใช้เื่ราวที่เกิดขึ้นจริงของเขาเป็บทเรียนที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับนักศึกษาทั้งหมด
และบทเรียนในวันนี้ก็เป็ข้อคิดสำคัญที่ทุกคนต้องกลับไปคิดทบทวนอย่างลึกซึ้ง และทำให้เื่ราวของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อหลินเยว่เป็ที่จดจำสำหรับพวกเขาไปตลอดชีวิต
หลังจากเลิกเรียนแล้ว บรรดานักศึกษาหญิงต่างล้อมอยู่รอบๆ ตัวของหลี่ชิงเมิ่ง และก็สอบถามขึ้นมาไม่หยุด
“รุ่นพี่คะ คนที่ชื่อหลินเยว่คนนั้นเก่งสุดยอดขนาดนั้นจริงๆ หรือคะ?”
“เขาผ่า 10 ครั้ง ผ่าถูก 9 ครั้งจริงๆ หรือคะ? เขาทำได้อย่างไรคะ?”
“หลินเยว่เก่งสุดยอดจริงๆ เขาเป็ลูกศิษย์ของอาจารย์ รุ่นพี่ต้องรู้จักเขาแน่ๆ เลยใช่ไหมคะ แล้วจะพาเขามาเจอพวกเราได้เมื่อไรคะ?”
……
บทเรียนวันนี้ของท่านฉางไท่เป็การพูดให้กับนักศึกษาชายฟังมากกว่า ส่วนนักศึกษาหญิงอาจจะรู้สึกสะท้อนใจบ้าง แต่ส่วนมากจะรู้สึกว่าไม่ค่อยมีความเกี่ยวข้องกับตนเองสักเท่าไร
แต่หลี่ชิงเมิ่งก็รู้สึกผิดหวังกับรุ่นน้องผู้หญิงของเธออยู่เหมือนกัน เธอจึงพยักหน้าอย่างอ่อนใจ “พี่รู้จักเขา และเขาก็ลงมีด 10 ครั้งผ่าถูก 9 ครั้งจริงๆ แต่ว่าพวกเราไม่ได้สนิทกันสักเท่าไร เขาไม่น่าจะมาที่นี่ แล้วตอนนี้เขาก็ไม่ได้อยู่ในคุนิด้วย”
เมื่อพูดถึงหลินเยว่ ดวงตาของหลี่ชิงเมิ่งก็สะท้อนประกายบางอย่างที่แตกต่างออกไป
********************
สองชั่วโมงครึ่งผ่านไป หลินเยว่และเฮ่อโย่วจ้างก็เดินทางมาถึงเถิงชง พวกเขาไม่ได้ไปที่ถนนหินหยกของเถิงชงเพื่อไปพนันหินหยกทันที แต่กลับไปโรงแรมแถวๆ นั้นเพื่อเปิดห้องพัก 2 ห้องก่อน การพนันหินหยกเป็การทดสอบจิตใจและสายตาเป็อย่างดี ดังนั้น จึงไม่ควรไปพนันหินหยกในเวลาที่จิตใจและร่างกายไม่พร้อม เพราะการกระทำเช่นนี้จะทำให้มองพลาดได้ง่าย ผลของการมองพลาดก็คือ หากเบาหน่อยก็แค่เสียทรัพย์ หากหนักหน่อยก็ถึงขั้นล้มละลาย ดังนั้น จึงควรพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้วค่อยไปพนันหินหยกจะดีกว่า
ตอนบ่ายหลังจากพักผ่อนแล้วพวกเขาจึงมายังถนนหินหยกของเถิงชง เมื่อเทียบกับถนนหินหยกของคุนิที่มีความหรูหราอลังการแล้ว ถนนหินหยกที่นี่ก็ดูค่อนข้างเก่าและโทรมอยู่บ้าง หากถนนหินหยกของคุนิถือเป็แหล่งธุรกิจชั้นดี ถ้าเช่นนั้นถนนของเถิงชงก็จะถือว่าเป็ตลาดสดนั่นเอง เพราะหากเดินอยู่ในนี้จะได้ยินเสียงของเ้าของแผงและเ้าของร้านคอยเชิญชวนให้เข้ามาในร้านอยู่เป็ระยะๆ แต่ถึงจะเป็เช่นนี้ จำนวนหินหยกของที่นี่ก็เยอะกว่าคุนิจนคุนิเทียบไม่ติด
เมื่อมองออกไปไกลๆ ก็จะเห็นเป็ถนนที่มีความคดเคี้ยว และบนถนนจะเต็มไปด้วยหินหยก เมื่อเดินบนถนนเส้นนี้จะรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนทะเลหินหยก และหากลองจินตนาการดูว่าในหินหยกก้อนใดก้อนหนึ่งในนี้จะมีหยกสวยงามเป็ประกายสะดุดตา มันก็สามารถสร้างความตื่นเต้นขึ้นมาอย่างมากมายจริงๆ
ไม่ว่าใครที่มาถึงที่นี่ก็จะมีโอกาสเหมือนๆ กัน หากคุณมีสายตาเฉียบแหลม ย่อมมีโอกาสเจอหยกที่เป็ของตนเอง แต่ทว่าหินหยกในที่แห่งนี้มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน แต่สามารถตัดพบหยกได้อาจมีเพียงหนึ่งในหมื่น คงไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะเป็ผู้โชคดีผู้นั้น ดังนั้น จึงเรียกสิ่งนี้ว่า “การพนัน”
คำว่า “การพนัน” นี้จะแฝงไปด้วยความเสี่ยงสูงและความตื่นเต้น
เนื่องจากเป็เวลาบ่ายแล้ว อากาศจึงไม่ถือว่าร้อนจนเกินไป บนถนนหินหยกมีผู้คนเดินขวักไขว่เต็มไปหมด มีบางส่วนที่มาเพื่อัักับวัฒนธรรมการพนันหินหยก แต่ส่วนมากจะมาเพื่อพนันหินหยกโดยตรง
เฮ่อโย่วจ้างและหลินเยว่ยืนอยู่ตรงมุมถนนของถนนหินหยกเส้นนี้ เมื่อมองสภาพรวมถนนหินหยกทั้งเส้นแล้ว ชายหนุ่มทั้งสองคนนี้จึงเป็ที่สะดุดตาของคนจำนวนไม่น้อย เนื่องจากชายหนุ่มที่อายุน้อยขนาดนี้มาพนันหินหยก ก็เป็สิ่งที่เจอได้ไม่ค่อยบ่อยนัก
“แยกกันเดินหรือว่าเดินด้วยกันล่ะ?” เฮ่อโย่วจ้างหันไปถามหลินเยว่
ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งสองคนจะมาด้วยกัน แต่พวกเขาไม่ได้มีเป้าหมายเดียวกัน เฮ่อโย่วจ้างมาเพื่อหรงเล่อเซวียน ส่วนหลินเยว่มาเพื่อตัวเขาเองโดยเฉพาะ
“แยกกันเดิน แล้วพวกเราค่อยมาเจอกันที่นี่ตอนหกโมงเย็น แบบนี้ได้หรือเปล่า?”
หากมีคนคอยอยู่ข้างๆ การใช้พลังพิเศษตาทิพย์ก็คงจะลำบากมากทีเดียว
เฮ่อโย่วจ้างพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปด้านในเพื่อเสาะหาของที่้าก่อนทันที
เมื่อเฮ่อโย่วจ้างเดินจากไปแล้ว หลินเยว่จึงวิ่งไปที่แผงเล็กๆ ร้านหนึ่งที่อยู่แถวๆ นั้นอย่างร่าเริง แล้วก็เริ่มสำรวจหินหยกเช่นกัน
“พ่อหนุ่ม มาดูหินหยกที่นี่สิ นี่เป็หินหยกเหล่าพ่ากั่นแบบดั้งเดิมเลยนะ ที่นั่นเป็เหมืองเก่าแก่ โอกาสตัดเจอสีเขียวค่อนข้างสูงมากเลยล่ะ”
เ้าของแผงเห็นว่าหลินเยว่เป็เพียงเด็กหนุ่มเท่านั้น ดังนั้น เขาจึงร้องเชิญชวนหลินเยว่เข้ามาอย่างกระตือรือร้น
เมื่อหลินเยว่มองไปตามมือที่เ้าของแผงชี้ไป เขาจึงเห็นหินหยกที่เปลือกนอกเป็สีเขียวเทาก้อนหนึ่ง หลังจากนั้นจึงได้แต่มองเ้าของแผงอย่างสบประมาท คนคนนี้คิดว่าเขาเป็พวกมือใหม่อ่อนหัดหรืออย่างไร?
หินหยกจากเหล่าพ่ากั่นจะมีเปลือกนอกค่อนข้างบาง และจะเป็สีขาวเทาหรือขาวเหลืองเป็หลัก แต่ยังไม่เคยเห็นสีเขียวเทามาก่อน
หลินเยว่ไม่ได้คิดจะแฉเ้าของแผง เขาจึงมองหินหยกก้อนอื่นๆ ที่วางตั้งอยู่บนแผงนี้ เมื่อเห็นว่าไม่มีหินหยกที่น่าสนใจเขาจึงวิ่งออกไปดูแผงอื่นๆ ต่อ
เขาเดินชมไปเรื่อยๆ ทีละแผงๆ และเพียงไม่นานนักเขาก็พบหินหยกที่น่าสนใจก้อนหนึ่ง หินหยกก้อนนี้มีโอกาสพนันได้ค่อนข้างสูงมาก ลักษณะภายนอกดีมาก แต่ทว่ากลับไม่มีคนสนใจสอบถามถึงหินหยกก้อนนี้เลยสักคน
หรือว่าหินหยกก้อนนี้จะมีจุดไหนที่เป็ตำหนิอย่างนั้นหรือ?
หลินเยว่เกิดความสงสัยอยู่ในใจ เขาเดินไปหยุดข้างๆ หินหยกก้อนนั้น และเริ่มสำรวจอย่างละเอียด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้