ขาดเหลียนเซวียนไปคนหนึ่ง บรรยากาศของขบวนรถก็ยิ่งน่าอึดอัด
นอกจากยามพักกินข้าว คณะเดินทางของพวกเขาก็เดินทางมิได้หยุด
ท่านหญิงหย่งเจียอารมณ์หม่นหมอง ผูหยางชิงหลันจงใจหลบเลี่ยง ทั้งสองฝ่ายพบกันเพียงครั้งเดียวคือตอนเข้าพักในโรงเตี๊ยม นอกเหนือจากนั้นก็ไม่พบหน้ากันอีกเลย
"จวิ้นจู่ ไยท่านถึงต้องทรมานตนเองเช่นนี้ ดูคุณชายผูหยางทำเข้า มันเกินไปแล้วจริงๆ มิเพียงแต่หลบหน้า ยามพบเจอก็ทำเป็มองไม่เห็น เขาปฏิบัติต่อท่านเช่นนี้ได้อย่างไร เพื่อเขาแล้ว แม้แต่สมรสพระราชทานของฝ่าาท่านล้วนปฏิเสธทั้งหมด เขา..."
เสียงล้อหมุนบดถนนไปเรื่อยๆ อย่างน่าเบื่อหน่าย ภายในรถม้าคันใหญ่ ท่านหญิงหย่งเจียมองทิวทัศน์ที่ถอยไปด้านหลังไม่หยุดนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าเลื่อนลอยราวกับท่อนไม้
"ลวี่จิ่น หุบปาก"
เสียงของนางเยียบเย็น ทำให้ลวี่จิ่นซึ่งมีสีหน้าขุ่นเคืองต้องเงียบเสียงทันที
ห้องโดยสารรถกว้างขวาง มีโต๊ะเตี้ยไม้หวงฮวาหลีแกะสลักลายหงส์ั ถ้วยชาลายดอกบัวงามวิจิตรตั้งอยู่บนโต๊ะซึ่งเจาะเป็หลุมสำหรับตั้งถ้วยชาโดยเฉพาะ ขณะรถม้าเคลื่อนที่โคลงเคลงไปมา จึงไม่มีน้ำชาหกบนโต๊ะแม้แต่หยดเดียว
ท่านหญิงหย่งเจียจ้องถ้วยชาลายดอกบัว ดวงตาสุกใสหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด
"ตอนนี้เขาทำอะไรอยู่"
"เรียนจวิ้นจู่ คุณชายผูหยางกำลังสนทนากับคุณหนูเซวียเ้าค่ะ" หงโฉวซึ่งอยู่อีกด้านตอบอย่างระมัดระวัง
หากไม่เพราะทราบว่าคุณหนูเซวียผู้นั้นคือสตรีที่พี่เจ็ดหมายปอง ท่านหญิงหย่งเจียก็คงนึกว่าผูหยางชิงหลันต้องตาญาติผู้น้องจากแดนไกลของตนเองไปแล้ว
สองวันมานี้ พอถามว่าเขาอยู่ที่ไหน ถ้าไม่รถม้าของตนเองก็ไปสนทนากับคุณหนูเซวีย
พวกเขามีเื่คุยมากมายเพียงนั้นเชียวหรือ
ท่านหญิงหย่งเจียเม้มริมฝีปากแน่น
"หงโฉว ให้คนจับตามองรถม้าของคุณหนูเซวีย เขาไปเมื่อไรให้มาบอกข้า"
เมื่อเขาจงใจหลบเลี่ยง ก็หลบให้ถึงที่สุดไปเลยแล้วกัน
ท่านหญิงหย่งเจียกัดฟัน
"เ้าค่ะ"
หงโฉวเหลือบมองจวิ้นจู่อย่างรวดเร็ว มิใช่ว่ามีคนเฝ้าตลอดเวลาอยู่แล้วหรอกหรือ?
ผูหยางชิงหลันไม่รู้ตัวเลยว่าความสนุกสนานเพียงหนึ่งเดียวที่ตนเองมี ถูกผู้อื่นจดจ้องอยู่
"เสี่ยวหรั่น เ้าบอกว่าวิธีฆ่าเชื้อด้วยปูนขาวใช้ได้แต่กับคอกม้าเท่านั้นหรือ"
เขายังคงสอบถามแิแปลกใหม่กับเซวียเสี่ยวหรั่นไม่หยุดหย่อน
เมื่อวานขบวนของพวกเขาเข้าพักที่โรงเตี๊ยมไม่ใหญ่มากแห่งหนึ่ง คอกม้าของพวกเขาทั้งเล็กและสกปรก ฝากม้าไว้ได้ไม่กี่ตัว
เซวียเสี่ยวหรั่นกับอูหลันฮวานั่งรถม้ามาตลอดวัน กระดูกกระเดี้ยวแทบจะหลุดเป็ชิ้นๆ ดังนั้นทั้งสองจึงเดินไปทั่วโรงเตี๊ยม
ยามเห็นคอกม้ามีระบบสุขาภิบาลที่แย่มาก หัวคิ้วของเซวียเสี่ยวหรั่นก็ขมวดเข้าหากัน
เธอก็เลยบ่นเื่ความสกปรกของคอกม้า พร้อมกับบอกแนวทางการฆ่าเชื้อเพื่อสุขอนามัยที่ดีว่าทำอย่างไร
ผูหยางชิงหลันหูไวได้ยินเข้า ก็สนใจอย่างมาก
"แน่นอนว่าไม่ใช่ ทั้งเล้าไก่ เล้าหมู คอกแพะ คอกวัวล้วนใช้ได้ทั้งหมด สามารถป้องกันโรคระบาดจากสัตว์ปีกได้อีกด้วย" เซวียเสี่ยวหรั่นขบคิด "อ้อ ก่อนจะเข้าฤดูหนาว การทาน้ำปูนขาวบนโคนต้น ช่วยรักษาความอุ่นและฆ่าแมลงได้อีกด้วย"
อย่างไรเสีย เื่ทั้งหมดนี้ก็ผลักไปให้คุณปู่ได้อยู่แล้ว
ดวงตาของผูหยางชิงหลันสว่างเจิดจ้าราวกับดวงตะวันแผดเผาท้องนภา "เสี่ยวหรั่น จริงหรือที่น้ำปูนขาวสามารถป้องกันโรคระบาดหลังน้ำท่วม"
"อื้อ แต่จะหวังพึ่งแต่น้ำปูนขาวอย่างเดียวไม่ได้ ยังต้องปรับปรุงสภาพแวดล้อม สุขอนามัย จัดการขยะให้ดีด้วย สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็วิธีการรักษาของแพทย์อย่างพวกท่าน การฆ่าเชื้อก็เป็ส่วนหนึ่งที่ได้ผลจริง"
เซวียเสี่ยวหรั่นพยักหน้าอย่างจริงจัง เธอมีความสุขที่ได้ให้ข้อมูลเป็ประโยชน์ต่อการป้องกันโรคระบาด
ในยุคสมัยนี้หากที่ใดเกิดโรคระบาด อัตราการตายย่อมจะสูงมาก
ผูหยางชิงหลันมองนางอย่างขบคิด สมองของแม่นางผู้นี้บรรจุสมบัติล้ำค่าไว้มากมาย ยิ่งขุดก็ยิ่งน่าตกตะลึง
เขาต้องให้เสี่ยวชีดูแลนางอย่างดี สตรีประเสริฐเช่นนี้ หากตกไปอยู่ในมือผู้อื่น ก็น่าเสียดายจริงๆ
ผูหยางชิงหลันมีแผนการในใจแล้ว ก็ยิ้มและถามว่า "แล้วเสี่ยวหรั่นทราบวิธีเตรียมน้ำปูนขาวหรือไม่"
เซวียเสี่ยวหรั่นย่อมรู้จริง จึงบอกเขาด้วยรอยยิ้ม
ในหมู่บ้านของพวกเขามีคนปลูกผลไม้ไม่น้อย ทุกปีก่อนถึงฤดูหนาว ทุกคนล้วนยุ่งอยู่กับการทาน้ำปูนขาวใส่ผลไม้ของตนเอง เพื่อฆ่าเชื้อฆ่าแมลงและรักษาความอบอุ่น
ตอนเด็กๆ เซวียเสี่ยวหรั่นกับคุณปู่ก็เคยใช้ทาต้นไม้
ผูหยางชิงหลันฟังแล้วก็ผงกศีรษะต่อเนื่องกัน
"เื่เหล่านี้ พี่ใหญ่ผูหยางไม่ควรแค่ฟังคำพูดของข้า ยังต้องทดสอบให้เห็นผลด้วยตาของตนเองด้วย เริ่มทดสอบจากสถานที่เลี้ยงไก่เลี้ยงหมู ดูว่าได้ผลหรือไม่"
เซวียเสี่ยวหรั่นพูดโน้มน้าว ความจริงล้วนมาจากการปฏิบัติ
"ย่อมเป็เช่นนั้นอยู่แล้ว เสี่ยวหรั่น พวกเราในฐานะแพทย์ ย่อมต้องสะสมวิธีการรักษาโรคแต่ละอย่างทีละเล็กทีละน้อย ไม่มีเื่ไหนที่ทำสำเร็จได้ในหนเดียว"
ผูหยางชิงหลันติดตามอาจารย์รักษาคนป่วยมาั้แ่เด็ก เข้าใจหลักการนี้ดีกว่าผู้ใด
เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มพลางพยักหน้า "พี่ใหญ่ผูหยางเป็หมอที่ประเสริฐ"
ผูหยางชิงหลันอมยิ้ม หมอที่ประเสริฐหรือ?
เพราะเชิญตัวยาก ถูกคนด่าลับหลังไม่รู้เท่าไร
เซวียเสี่ยวหรั่นใช้สายตาส่งผูหยางชิงหลันออกไป ยังไม่ทันพักดื่มชาสักคำ ท่านหญิงหย่งเจียก็มาหา
แม้ในรถจะไม่เล็ก แต่มีคนเบียดเข้ามาสี่ห้าคน ย่อมจะอึดอัด
ดังนั้นอูหลันฮวากับลวี่จิ่นจึงไปรถม้าคันอื่น เหลือเพียงหงโฉวนั่งรอปรนนิบัติอยู่นอกม่านไม้ไผ่
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบถ้วยชาลายดอกบัวสะอาดสะอ้านออกมา ขณะคิดจะรินน้ำชาให้ แต่พอดูแล้วก็ลังเลอยู่บ้าง
"จวิ้นจู่ น้ำชาเย็นแล้ว ท่าน..."
"ไม่เป็ไร อากาศร้อน ดื่มชาเย็นก็สดชื่นดี" ท่านหญิงหย่งเจียยิ้มบางๆ
ดวงตาเป็ประกายดุจหยาดน้ำ ดวงหน้าละมุนดั่งภาพวาดขุนเขาในม่านหมอก ยามนี้นางลดความเคร่งขรึมมีพิธีรีตองลงมาไม่น้อย จึงแลดูนุ่มนวลอ่อนหวานขึ้นอีกหลายส่วน
และดูเข้าหาง่ายและเป็มิตรอย่างมาก
เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มให้โดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นก็รินน้ำชาให้ครึ่งถ้วย ก่อนจะวางบนตำแหน่งที่เป็หลุมบนโต๊ะ
ท่านหญิงหย่งเจียยกชาขึ้นดื่มก่อนวางลงอย่างเนิบช้า
"ดินสอถ่านที่คุณหนูเซวียเอ่ยถึงวันก่อน ขอข้ายืมดูได้หรือไม่"
ไม่ง่ายเลยที่จะหาข้ออ้างได้สักอย่าง
เซวียเสี่ยวหรั่นตระหนักได้ทันที นางยังจำเื่นี้ได้หรือ นึกว่ามาหาเพราะมีธุระสำคัญอย่างอื่นเสียอีก
เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้ม ก่อนจะหยิบดินสอถ่านที่ห่อกระดาษน้ำมันอย่างดีออกมาจากช่องด้านหน้าของกระเป๋าสะพายหลัง
วันนี้เธอยังไม่ทันได้ใช้ดินสอ พวกเขาแต่ละคนก็แล่นมาหา
ท่านหญิงหย่งเจียมองกระเป๋าหลากสีที่กองอยู่มุมหนึ่ง ดวงตาทอประกายวาบ ดูเหมือนว่านางจะหาข้ออ้างอย่างอื่นที่ใช้ได้แล้ว
"คุณหนูเซวีย ของเ่าั้เ้าทำเองหมดเลยหรือ"
เมื่อสองวันก่อนนางเห็นเซวียเสี่ยวหรั่นกับสาวใช้สะพายกระเป๋าไว้บนหลัง ชื่อเรียกกระเป๋าก็เป็หงโฉวที่ไปแอบสอบถามสาวใช้ของนางมา
อ้อ ใช่แล้วล่ะ เพราะเดินทางตลอดเวลา ระหว่างทางรู้สึกเบื่อ ข้ากับหลันฮวาก็เลยทำของเหล่านี้ฆ่าเวลา จวิ้นจู่ชอบหรือไม่" เซวียเสี่ยวหรั่นเอ่ยถามอย่างใจกว้าง
