ใบหน้าของหลินเมิ้งหยาเริ่มกลายเป็สีแดง ์โปรดนับั้แ่วันที่ข้ามภพมา เหตุใดนางจึงยิ่งอยู่ยิ่งโรคจิตกันนะ?
ทุกวันนางถูกชิงหู หลินจงอวี้ห้อมล้อมยังไม่เท่าไรแต่ทุกครั้งที่พบกับหลงเทียนอวี้สมองที่ตนเองมักจะภาคภูมิใจอยู่เสมอพลันหยุดทำงานกะทันหัน
“จริงสิ คืนนี้ฮ่องเต้ิชวนข้าดื่มเหล้าที่กระโจมงานเลี้ยงเ้าพักผ่อนเร็วหน่อยแล้วกัน”
นั่นเท่ากับว่าคืนนี้นางจะต้องนอนคนเดียว
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ๆ หัวใจพลันรู้สึกผิดหวังขึ้นมา
เฮ้อ เหมือนจะมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าประหลาด
“อีกเื่ ฮ่องเต้ิ้านำตัวหงอวี้กลับเหตุเพราะนางสร้างปัญหาให้กับเ้า ดังนั้นเขาจึงฝากมาขอโทษเ้าด้วย”
เมื่อนึกถึงใบหน้างดงามเย้ายวนขึ้นมาได้มุมปากพลันกระตุกยิ้มชั่วร้ายขึ้นมา
นางเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าสตรีคนนั้นจะต้องไม่ได้มาดีดังนั้นจึงใช้วิธีนั้นจัดการ
ฮ่องเต้ิสบายใจเสียยิ่งกระไรอย่าว่าแต่เื่ที่บอกว่าจะเอากลับก็เอากลับไปได้แต่เขายังแอบอ้างชื่อของนางในการเอากลับไปด้วย
เมื่อคิดได้ว่าบรรยากาศในจวนจะกลับมาสงบอีกครั้ง ความว้าวุ่นในสมองจึงหายไปมากเลยทีเดียว
“เพคะ เช่นนั้นรีบไปรีบกลับนะเพคะ”
หลินเมิ้งหยาอุ้มลูกหมาป่าแล้วนั่งลงบนเตียง ่บ่ายไม่มีอะไรมากทุกคนเพียงดื่มกินกันอยู่ในกระโจม
นางี้เีออกไปด้านนอก ดังนั้นจึงอยู่เล่นกับอาเสวี่ยภายในกระโจม
ชิงหูเลิกอำพรางกาย เขาปรากฏตัวต่อหน้าหลินเมิ้งหยาและเล่นกับอาเสวี่ย
“คิดไม่ถึงเลยว่าเ้าจะเลี้ยงพวกหมาป่าได้ดีขนาดนี้”
อาเสวี่ยตั้งท่าป้องกันชิงหูอย่างดี ทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้ มันจะเข้าไปกัดพร้อมทั้งส่งเสียงขู่“ฮึ่มฮึ่ม”
“อะไรกันเล่า ข้าเลี้ยงเพียงอาเสวี่ยตัวเดียวเท่านั้น”
ชิงหูเบะปาก พร้อมยกตัวอาเสวี่ยด้วยมือข้างเดียวมาวางไว้ตรงหน้าของตนเอง
“เ้าเลี้ยงดูเ้าเด็กหลินจงอวี้ด้วย เผลอๆเขาอาจจะเป็หัวหน้าของพวกหมาป่าก็ได้”
เื่ของเสี่ยวอวี้ หลินเมิ้งหยาคำนวณไว้ในใจแล้ว
เมื่อได้เห็นทักษะการต่อสู้ของป๋ายซูหลินเมิ้งหยาจึงลองตั้งทฤษฎีขึ้นมา ทว่า เมื่อคิดได้ว่าพอเขาเติบใหญ่และอาจจะจากนางไปอยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็รู้สึกไม่ยินยอม
“ไม่ว่าจะเป็หมาป่าหรือเสือ ไม่ช้าก็เร็ว พวกมันต้องขึ้นเป็ผู้นำอยู่ดีข้าไม่กังวลหรอก จริงสิ เ้าได้เบาะแสอะไรจากการไปจับตามองหูลู่หนานบ้าง?”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ สีหน้าของชิงหูพลันเปลี่ยนไป
“ไอ้องค์ชายรองนั่นเป็คนลามกจกเปรตยิ่งนัก ไม่เหมือนกับพ่อหรือพี่ชายเลยแม้แต่น้อยเมื่อคืนข้าได้เห็นลูกน้องของเขาไปลักพาตัวหญิงสาวในหมู่บ้านที่ตีนเขามาสนองตัณหาเกรงว่าศพของหญิงสาวคนนั้นคงถูกเจอในอีกไม่ช้า”
หัวใจของชิงหูไม่เคยมีคำว่าสงสาร
ดังนั้นจึงมิได้เข้าไปช่วยเหลือหลินเมิ้งหยาโกรธเกรี้ยวขึ้นมาในทันใด องค์ชายรองตัวดี เพื่อสนองตัณหาของตนเองถึงขนาดลักพาตัวผู้บริสุทธิ์มาปู้ยี่ปู้ยำ น่ารังเกียจเหลือเกิน
“เ้าไปตรวจสอบดูว่าศพของนางถูกซ่อนไว้ที่ใดนางมีประโยชน์กับข้ามาก”
ชิงหูหยักยิ้ม รู้ได้ทันทีว่าหลินเมิ้งหยาคิดจะแก้แค้นผู้อื่น
“ได้ เ้ารอข่าวดีจากข้าก็แล้วกัน”
“นายหญิง องค์หญิงิเยว่ของฮ่องเต้ิขอเข้าเฝ้าเพคะ”
ทันทีที่ร่างของชิงหูหายออกไปจากกระโจม เสียงของป๋ายจีพลันดังขึ้น
องค์หญิงของฮ่องเต้ิ? หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดก่อนจะนึกออกว่าฮ่องเต้ิพาองค์หญิงมาด้วยสองพระองค์
หนึ่งในนั้นรู้สึกจะชื่อิเยว่
“ในเมื่อมาแล้วอย่าให้แขกต้องรอเลย เชิญเสด็จเถิด”
“เพคะ”
ทันทีที่สิ้นเสียงลงหญิงสาวหน้าตางดงามสวมใส่ชุดสีเขียวเยื้องย่างเข้ามาภายใน
หญิงสาวจากซีฟานแตกต่างจากหญิงสาวแห่งต้าจิ้น
รูปร่างสูงยาวมีเอกลักษณ์
ใบหน้าสวยงามได้รูป ท่วงท่าสง่างาม
หากอยู่ในยุคปัจจุบัน นางก็นับว่าเป็หญิงสาวที่สวยมากใบหน้าของหลินเมิ้งหยาประดับรอยยิ้มงดงามมีมารยาท ขณะมองดูหญิงสาวตรงหน้า
“ถวายคำนับพระชายา”
“องค์หญิงหมิวเยว่อย่าได้มากพิธีไปเลย”
ทั้งสองทำความเคารพซึ่งกันและกัน ก่อนจะจ้องมองอีกฝ่าย
ฮ่องเต้แห่งซีฟานมีหน้าตาหล่อเหลาดังนั้นลูกชายและลูกสาวของเขาจะมีหน้าตางดงามไม่แพ้กัน
องค์หญิงิเยว่มีท่วงท่าสง่างามสมเป็ชนชั้นสูงเพียงมองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่ามิใช่เพียงคนธรรมดา
“เคยได้ยินท่านพี่เทียนเป่ยเล่าว่าท่านอ๋องอวี้และชายาอวี้ล้วนเหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยกพอมาได้เห็นจึงได้รู้สึกว่าทั้งสองพระองค์งดงามสมคำล่ำลือ”
น้ำเสียงขององค์หญิงิเยว่หวานใส แม้จะมิได้เยินยอแต่ก็มิส่งความรู้สึกไม่สบายใจมาให้
น้ำเสียงจริงใจ จนทำให้รู้สึกอยากฟัง
หลินเมิ้งหยาหัวเราะ คำพูดเช่นนั้นหาใช่ความจริงตกลงองค์หญิงิเยว่มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?
“ป๋ายจี เข้ามาชงชาให้แขก”
สาวใช้ทั้งสี่ยืนอยู่ด้านหลังหลินเมิ้งหยาเมื่อเทียบกับสาวใช้ของคนอื่นแล้ว พวกนางเหมือนคุณหนูของตระกูลมากกว่า
สายตาขององค์หญิงิเยว่มองสำรวจใบหน้าของสาวใช้ทั้งสี่หลินเมิ้งหยาพอจะเดาสถานการณ์ได้แล้ว
ที่แท้ก็มาเพราะป๋ายจื่อ
“ตอนที่ยังอยู่ซีฟานทุกคนล้วนพูดว่านางกำนัลของหม่อมฉันมีความสามารถ แต่เมื่อเทียบกับพระชายาแล้วหม่อมฉันไม่คิดเห็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้วเพคะ”
เบี่ยงเบนความสนใจไปที่สาวใช้ หลินเมิ้งหยาทำเพียงยิ้ม
หูเทียนเป่ยจอมเ้าเล่ห์ เขาไม่กล้าพูดดังนั้นจึงส่งน้องสาวมาเจรจาอย่างนั้นหรือ?
“หม่อมฉันได้ยินมาว่าท่านพี่ไม่ยอมเลือกคุณหนูผู้ดีแห่งต้านจิ้นแต่กลับชอบสาวใช้ของพระชายามาก น่าแปลกเหลือเกินเกรงว่าสายตาของท่านพี่ช่างแหลมคมยิ่งนัก”
ดูเหมือนจะพึงพอใจในตัวป๋ายจื่อมาก แต่หลินเมิ้งหยาสงสัยเล็กน้อยเหตุใดครอบครัวนี้จึงไม่เหมือนกัน
“องค์หญิงเอ่ยชมเกินไปแล้วเพคะ ป๋ายจื่อเติบโตมาพร้อมกับหม่อมฉันอีกทั้งยังเป็เพื่อนที่ดีต่อกัน ดังนั้นหม่อมฉันจึงไม่อาจทนได้หากนางต้องแต่งงานไปอยู่ซีฟาน”
พูดไปพูดมา สุดท้ายมาเพียงเพราะอยากได้ป๋ายจื่อไปแต่งงาน
“พระชายาพูดถูกแล้วเพคะ เหตุเพราะใช้งานนางมาอย่างเนิ่นนานดังนั้นจึงรู้สึกผูกพัน แต่ว่าพี่ชายของหม่อมฉันพึงใจในตัวป๋ายจื่อมากแม้ว่าสาวใช้ของหม่อมฉันจะมิได้มีความสามารถมากมายนักแต่ถึงกระนั้นก็ยังถือว่าใช้งานได้เป็อย่างดี เช่นนั้นพระชายาลองพิจารณาเลือกสาวใช้ประจำตัวของหม่อมฉันไปรับใช้แทนนางได้หรือไม่เพคะ”
คำพูดขององค์หญิงิเยว่เริ่มทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกไม่พอใจ
นางเอ่ยออกไปหลายครั้งแล้วว่าป๋ายจื่อมิใช่เพียงเครื่องมือหรือสาวใช้แต่เปรียบเสมือนน้องสาว
เหตุใดคนพวกนี้จึงคิดว่าสาวใช้มิใช่คนเหมือนพวกเขากันเล่า?
“ใช่ว่าหม่อมฉันไม่ไว้หน้าองค์หญิงแต่เื่นี้หม่อมฉันพูดออกไปอย่างชัดเจนแล้วป๋ายจื่อเปรียบเสมือนน้องสาวของหม่อมฉัน นางหาใช่สาวใช้ธรรมดาไม่หากองค์ชาย้าแต่งงานกับนาง เช่นนั้นจำเป็ต้องได้รับความยินยอมจากนางด้วย”
รอยยิ้มขององค์หญิงิเยว่เจือไว้ซึ่งความเ็า
นางไม่เข้าใจ ทั้งที่เป็เพียงสาวใช้เท่านั้นอีกทั้งนางเดินทางมาขอร้องด้วยตัวเองแล้ว เหตุใดพระชายาจึงไม่ตอบตกลง
“หากทั้งสองแคว้นได้เชื่อมความสัมพันธ์กันจะต้องเกิดความรุ่งโรจน์อย่างยิ่ง อย่าว่าแต่สาวใช้ของพระชายาเลยแม้จะเป็องค์หญิงแห่งต้าจิ้นก็ไม่สามารถปฏิเสธได้หม่อมฉันเข้าใจความรู้สึกของพระชายา แต่เพื่อความสงบสุขของทั้งสองแคว้นแล้วพวกเราควรจะเสียสละบ้างมิใช่หรือเพคะ?”
วาทศิลป์เฉียบคม หาได้มีความโอบอ้อมอารีเหมือนอย่างตอนมาไม่
หลินเมิ้งหยาเข้าใจได้ในทันที เกรงว่าองค์หญิงคงจะหมดความอดทนแล้วสินะ
ไม่มีทางเลือก เช่นนั้นนางคงต้องเถียงกับองค์หญิงดูสักตั้ง
คิดหรือว่าหลินเมิ้งหยาจะเถียงแพ้?
“าล้วนเป็ความทะเยอทะยานของผู้ฝักใฝ่ในอำนาจจะมีราษฎร์สักกี่คนที่ยินยอมพลีชีพเพื่อทำาเ่าั้? คนบริสุทธิ์มากมายต้องล้มหายตายจากเหตุใดผู้กุมอำนาจจึงมิยอมปล่อยวางความทะเยอทะยานของตนเองเล่าเพคะ? เพียงเพื่อความ้าส่วนตัว แต่ความสุขของคนจำนวนมากต้องถูกทำลายแต่กลับกล่าวอ้างว่าเป็ความสมัครใจของราษฎร์เอง สิ่งนี้มิต่างอะไรจากโจรเลยนะเพคะ”
ทุกคนในห้องคิดไม่ถึงเลยว่าพระชายาของตนเองจะมีวาจาล้ำลึกถึงเพียงนี้
“คำพูดของพระชายาดูจะรุนแรงไปสักนิด ั้แ่สมัยโบราณแน่นอนว่าความขัดแย้งเกิดขึ้นเพราะความทะเยอทะยานแต่ถ้าหากบ้านเมืองของเราถูกกดขี่และเหยียบย่ำเช่นนั้นท่านจะยังยอมอดทนต่อไปหรือไม่?”
ซีฟานคือเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของต้าจิ้นทุกปีจะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้
ทรัพยากรที่ดีที่สุดล้วนถูกต้าจิ้นริบไว้ ดังนั้นสำหรับแคว้นนี้แล้วจึงมิต่างอะไรจากการถูกปล้นความยุติธรรมไป
“การแต่งงานจะสามารถแก้ไขปัญหาระหว่างแคว้นได้อย่างนั้นหรือเพคะ? ความขัดแย้งระหว่างแคว้นมีมาอย่างเนิ่นนาน ใช่ว่าพูดเพียงประโยคสองประโยคจะสามารถแก้ไขปัญหาเ่าั้ได้เมื่อหนึ่งร้อยยี่สิบปีก่อน ทหารม้าของซีฟานแข็งแกร่งมากกำลังทหารของต้าจิ้นเองก็มิได้ด้อยไปกว่ากัน ซีฟานยกพลประชิดเมืองฮ่องเต้แห่งต้าจิ้นยอมจำนวน แต่สุดท้ายทหารของต้าจิ้นถูกสังหารไปหนึ่งแสนห้าหมื่นคนอีกทั้งฮ่องเต้แห่งซีฟานยังประพฤติมิชอบกับราชสกุลแห่งต้าจิ้นเช่นนั้นท่านคิดว่าต้าจิ้นควรเผชิญหน้ากับซีฟานเช่นไร?”
เวลาที่หลินเมิ้งหยาไม่มีอะไรทำนางมักจะนั่งอ่านประวัติศาสตร์เ่าั้
ซีฟานและต้าจิ้นมีความแค้นต่อกันมาอย่างช้านาน แม้จะแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กันแต่เกรงว่าอีกไม่นานทั้งสองจะต้องก่อาอีกเป็แน่
เมื่อถึงเวลานั้น ป๋ายจื่อจะตกเป็เบี้ยตัวหนึ่งเท่านั้น
“คิก คิก หม่อมฉันยังห่างชั้นกับพระชายามาก วางใจเถิดหากป๋ายจื่อไปอยู่ที่ซีฟาน นางจะไม่ได้พบกับความทุกข์ทรมานแต่อย่างใด”
ในเมื่อยื่นมือเข้าไปตบหน้าไม่ได้น้ำเสียงขององค์หญิงิเยว่จึงอ่อนโยนลง ใบหน้าประดับไว้ซึ่งรอยยิ้มหลินเมิ้งหยาเองก็ทำใจให้เย็นลง แต่ถึงกระนั้นยังคงไม่ยอมเปิดทางให้ง่ายๆ
“จะได้รับความทุกข์ทรมานหรือไม่ค่อยว่ากันวันหลังเถิดเพคะรบกวนองค์หญิงกลับไปบอกองค์รัชทายาทด้วยว่าหาก้าแต่งงานกับเด็กคนนี้จริงขอให้เขาแสดงความจริงใจออกมา มิเช่นนั้น ต่อให้ฮ่องเต้ิเสด็จมาด้วยตนเองหม่อมฉันก็ไม่มีวันตอบตกลง”
เมื่อได้เห็นหลินเมิ้งหยายึดมั่นถือมั่นในคำพูดของตนเองสีหน้าขององค์หญิงหมิวเยว่เริ่มไม่น่ามอง
นางลุกขึ้น และเดินออกจากกระโจมของหลินเมิ้งหยาไปคาดว่าจะต้องด่านางในใจอย่างแน่นอน
มองดูใบหน้าดีอกดีใจของป๋ายจื่อ หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด
หากยังไม่จัดการเื่นี้ เกรงว่าจะต้องลำบากนางอีกนาน
“นายหญิง เกิดเื่ใหญ่แล้วเ้าค่ะ เสือขาวตัวนั้นกระโจนออกจากกรงตอนนี้คนในค่ายกำลังออกไปตามล่าเ้าค่ะ”
ป๋ายซ่าววิ่งเข้ามาสีหน้าเลิ่กลั่ก ด้านนอกเกิดความวุ่นวาย
หลินเมิ้งหยาอุ้มอาเสวี่ยวิ่งออกไปดูสถานการณ์
“เสือตัวนี้หนีออกไปได้อย่างไร?”
องครักษ์ตั้งแนวป้องกันสามชั้นในทุกกระโจมทว่าด้านนอกกลับเกิดเสียงโหวกเหวกโวยวายดังลั่น
“ได้ยินมาว่าเพื่อการล่าในอีกสามวันดังนั้นจึงต้องบำรุงเสือตัวนั้นให้แข็งแรงที่สุด แต่เพราะคนให้อาหารไม่ทันระวังเมื่อปลดโซ่ตรวนออก เสือตัวนั้นก็กระโจนออกมาทันที”
ป๋ายซ่าววิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าให้ฟังจากเสียงโหวกเหวกโวยวายด้านนอก
