ยื่นมือออกไป? ยื่นออกไปเพื่ออะไร?
ร่องรอยของความสับสนปรากฏขึ้นในดวงตาของหลงเซี่ยวเจ๋อ
ทันใดนั้นหัวของหลงเซี่ยวเจ๋อก็สว่างวาบขึ้นมา เมื่อนึกถึงยามที่เขาดึงแขนเสื้อของมู่จื่อหลิง ในยามนั้นเขารู้สึกว่ามีการจ้องมองที่แหลมคมราวกับน้ำแข็งส่องออกมาจากรถม้า
เป็เพราะการจ้องมองที่น่าสะพรึงกลัวนั้นที่บังคับให้เขาปล่อยมือจากมู่จื่อหลิงอย่างเชื่อฟัง
เป็ไปได้ไหมที่เขาดึงแขนเสื้อของมู่จื่อหลิง และยามนี้พี่สามของเขากำลังจะตัดมือของเขาแล้ว?
สับ สับมือ? หัวใจของหลงเซี่ยวเจ๋อสั่นสะท้าน เขาตกตะลึงกับความคิดที่น่าสะพรึงกลัวและนองเืนี้
เมื่อมองไปที่ใบหน้าสงบของหลงเซี่ยวอวี่แล้ว หลงเซี่ยวเจ๋อก็ไม่สามารถสงบลงได้ และยิ่งเขาคิดเกี่ยวกับเื่นี้มากเพียงใด โอกาสที่เขาจะถูกตัดมือก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
นอกจากเื่นี้แล้ว หลงเซี่ยวเจ๋อก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะสับมือเขาโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร
เมื่อคิดถึงเื่นี้ หลงเซี่ยวเจ๋อเด็กผู้โง่เขลาก็จับแขนของตนโดยไม่รู้ตัว ราวกับ้าเกราะกำบังด้วยใบหน้าตื่นตระหนกและหวาดกลัว ก่อนจะมองไปที่หลงเซี่ยวอวี่ด้วยอาการใจสั่น “ทำ ทำอะไรนะ?”
“ไม่ใช่กินเ้าเป็แน่ ยื่นออกมา” นี่เป็ครั้งแรกที่ฉีอ๋องต้องอดทนกับอารมณ์ที่เลวร้ายของตน และพูดด้วยน้ำเสียงเ็าอีกครั้ง
“เหตุใด ยื่นมือออกไปด้วยเหตุใด? ท่านจะทำอะไรกันแน่?” หลงเซี่ยวเจ๋อกำลังจะร้องไห้ กำแขนแน่นแล้วย่องถอยหลังไปอีกสองก้าว
มู่จื่อหลิงรู้สึกขบขันกับท่าทางที่ดูโง่เขลาของหลงเซี่ยวเจ๋อ
เด็กโง่ผู้นี้ยกมือขึ้นมากอดอกเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? เหตุใดเหตุการณ์นี้ถึงได้ดูเหมือนกับว่าฉีอ๋องกำลังฉุดคร่าบุตรสาวพลเรือนเลยเล่า?
มู่จื่อหลิงโอบแขนของตนไว้รอบหน้าอกอย่างสบายอารมณ์ การแสดงออกของนางเต็มไปด้วยความสนใจ ดวงตาใสของนางก็กลอกไปมา ภายในเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด
พูดตามตรง นางก็อยากรู้เช่นกันว่าก่อนหน้านี้หลงเซี่ยวอวี่เคยลงโทษหลงเซี่ยวเจ๋ออย่างไร ถึงได้ทิ้งเงาทางจิตใจที่ร้ายแรงไว้ให้เขาได้เช่นนี้
นางคุ้นเคยกับการได้เห็นหลงเซี่ยวเจ๋อเด็กผู้โชคร้ายผู้นี้ทำตัวเหมือนคนโง่ แต่ยามนี้ นี่เป็ครั้งแรกที่นางได้เห็นหลงเซี่ยวเจ๋อที่แทบจะหดแขนหดขาของตนทั้งหมดเข้ามา
รอยยิ้มของมู่จื่อหลิงนั้นงดงามและมีเสน่ห์ราวกับดอกไห่ถัง [1] ในเดือนสาม และความเงียบก็ทำให้มันดูน่าััมากกว่ายามที่มีเสียงดัง
เนื่องจาก…
ดวงตาของหลงเซี่ยวอวี่มองต่ำลงไปที่มู่จื่อหลิง ซึ่งกำลังแย้มยิ้มอย่างสดใส ก่อนที่แสงแห่งความชั่วร้ายจะส่องประกายผ่านดวงตาสีเข้มของเขาแล้วหายไปในพริบตา
จากนั้น ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะหัวเราะเสร็จ นางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แต่ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ จู่ๆ ลมที่มองไม่เห็นก็พัดมากระทบนาง และมันยังทำให้นางได้กลิ่นดอกเหมยเย็นๆ ที่คุ้นเคยอีกด้วย
ในยามนั้น ไม่มีผู้ใดเห็นแน่ชัดว่าหลงเซี่ยวอวี่เคลื่อนไหวอย่างไร
กล่าวได้ว่า ในยามนี้มู่จื่อหลิงซึ่งอยู่ห่างจากเขาสามจั้ง ได้ล้มลงบนตักของเขาแล้วโดยที่ยังไม่ทันได้รู้ตัว ทั้งยังถูกแขนที่เรียวยาวและทรงพลังจับไว้อย่างแ่า
รอยยิ้มของมู่จื่อหลิงที่มีอยู่บนมุมปากพลันแข็งทื่อไป นางมึนงงราวกับตกอยู่ในเหตุการณ์ะเืขวัญ แต่หลงเซี่ยวเจ๋อที่อยู่ด้านข้างนั้นตกอกใจนกรามค้างไปแล้ว
ในที่สุดเขาก็ปล่อยแขนที่กำแน่นไว้ออก แล้วใช้มือทั้งสองขยี้ตา จากนั้นก็ขยี้ตาอีกครั้ง
์! เขากำลังเห็นสิ่งใดกัน?
พี่สามที่มีความสะอาดล้ำลึกและไม่ชอบใกล้ชิดหญิงใด กำลังโอบกอดผู้หญิงจริงหรือ?
หลงเซี่ยวเจ๋อตื่นตะลึงอย่างแท้จริง มันน่าเหลือเชื่อจนเกินไป...
อย่างไรก็ตาม เขาพูดถูกจริงๆ คนที่เยือกเย็นและหยิ่งผยอง ทั้งยังรังเกียจการถูกคนััเป็อย่างยิ่ง โดยเฉพาะการถูกผู้หญิงแตะต้องอย่างฉีอ๋อง ยามนี้กำลังกอดมู่จื่อหลิงอย่างใกล้ชิด
การเคลื่อนไหวนี้ไม่ใช่แค่ใกล้ชิด แต่มันเป็การใกล้ชิดมาก
ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้เริ่มดีขึ้นั้แ่เมื่อใด?
ไม่สิ ควรจะพูดว่าสองคนนี้เริ่มมีความสัมพันธ์กันตอนไหน? เหตุใดจู่ๆ จึงแสดงความรักต่อกันอย่างสนิทสนมเช่นนี้ได้?
หลงเซี่ยวเจ๋อจ้องไปที่ทั้งสองคนที่อยู่ข้างหน้าเขาด้วยความตกตะลึง รู้สึกเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
เดิมทีเขาคิดว่าพี่สามของเขาจะไม่ชอบผู้หญิงไปตลอดชีวิต แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าในเวลานี้ พี่สามของเขาที่ไม่เคยแสดงออกกลับใกล้ชิดผู้หญิงขนาดนี้ หากคนได้เห็นได้รู้รับรองตะลึงงันจริงๆ
กอดก็กอดไปแล้ว ยังต้องกอดรัดจนแน่น ราวกับกลัวว่าคนในอ้อมแขนจะหนีไปอีก
อย่างไรก็ตาม ความใกลับกลายเป็ความตื่นตระหนก หลังจากนั้นไม่นาน หลงเซี่ยวเจ๋อก็เริ่มร้องไห้คร่ำครวญในใจของตนอย่างลับๆ และเขาก็เข้าใจแล้ว
พี่สามกับพี่สะใภ้สามของเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในยามนี้ เช่นนั้นเมื่อครู่ที่เขาดึงแขนเสื้อของมู่จื่อหลิง ซึ่งมันเทียบเท่ากับการดึงแขนเสื้อของพี่สาม เช่นนั้นเื่ที่เขาจะถูกสับมือออกก็จะกลายเป็เื่จริง!
เช่นเดียวกับหลงเซี่ยวเจ๋อที่จมดิ่งอยู่ในภาพที่น่าเหลือเชื่อซึ่งเต็มไปด้วยความสุขและความเศร้าโศกอย่างยิ่ง น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธอย่างไม่กลัวความตายก็ดังขึ้น ทำให้เขาใจนกลับเข้าสู่ความเป็จริงในทันที
“หลงเซี่ยวอวี่ ท่านกำลังทำอะไร ปล่อยข้านะ” มู่จื่อหลิงเงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่หลงเซี่ยวอวี่อย่างโกรธเคือง
ชายน่ารังเกียจคนนี้ กำลังมองหาความผิดของหลงเซี่ยวเจ๋ออยู่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาง? นางแค่ยืนหัวเราะอยู่ด้านข้างก็ไม่ได้หรือ? อยู่ดีๆ จะมาจับนางไว้เพื่ออะไร?
มู่จื่อหลิงรู้สึกหดหู่ใจจนอยากจะทุบกำแพง นางรู้ว่านางไม่อยากแม้แต่จะเข้ามาทักทาย ดังนั้นนางจึงอยากที่จะจากไปพร้อมกับฝูหลิน
แต่ในเวลานี้ เมื่อไม่นานมานี้เขาถูกจี้จุดโดยฉีอ๋อง ฝูหลินจึงต้องยืนอยู่ด้านข้างอย่างสงบ
แม้ว่าเขาจะขยับไม่ได้ มองไม่เห็น และไม่สามารถส่งเสียงได้ แต่เขาก็ยังมีสติอยู่ เขาจึงใมากกับเสียงโกรธเคืองของมู่จื่อหลิง มีนายหญิงเช่นนี้...ชีวิตช่างยากเย็นเหลือเกิน!
ในยามนี้ ดูเหมือนว่าฝูหลินจะหยุดชะงักไปแม้กระทั่งหัวใจก็ยังหยุดเต้น หากไม่ใช่เพราะเขาไม่สามารถขยับขาได้ เขาคงคุกเข่าลงไปแล้ว
ในทางกลับกัน ทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูวังหลวง แม้ว่าพวกเขาจะไม่กล้าแม้แต่จะเงี่ยหูฟัง ไม่กล้าจ้องมอง แต่ก็ยังได้ยินเสียงของฉีหวางเฟยแม้พวกเขาจะไม่อยากฟังก็ตาม!
จะเห็นได้ว่าทหารยามแยกตัวอยู่ในระยะไกลอย่างชัดเจน และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ ณ ที่ตรงนี้ แต่เมื่อพวกเขาได้ยินน้ำเสียงโกรธเคืองของมู่จื่อหลิงที่ยั่วยุพระพิโรธของฉีอ๋อง ก็ทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนต้องคุกเข่าลง
โอ้! ฉีหวางเฟยจะท้าทายอำนาจของฉีอ๋อง นอกจากจะน่ากลัวแล้ว แต่ยังต้องใช้ความกล้าหาญอย่างยิ่งสำหรับผู้ฟังด้วย
เมื่อมองไปยังภาพตรงหน้า หลงเซี่ยวเจ๋อก็เกือบปัสสาวะราดด้วยความใ ปรากฏว่าผู้ที่ไม่แสดงออก แต่หากคนได้เห็นได้รู้รับรองตะลึงงันนั้นไม่ใช่พี่สามของเขา แต่กลับเป็พี่สะใภ้สามต่างหาก!
หลงเซี่ยวเจ๋อใกับการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญของมู่จื่อหลิง ปากของเขาอ้าออกกว้างมากจนสามารถยัดไข่เข้าไปได้ ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ความกล้าดุจเสือของพี่สะใภ้สามมันมากขึ้นเรื่อยๆ ได้อย่างไร? ไม่สมเหตุสมผลเลย
การเรียกฉีอ๋องตามพระนามไม่ใช่ปัญหา แต่ยังเผชิญหน้ากับเขาได้อย่างกล้าหาญ เช่นนี้จะปล่อยกำปั้นใส่เขาหรือไม่?
นี่มันอะไรกัน หากเปลี่ยนเป็ผู้หญิงคนอื่นที่ต้องถูกฉีอ๋องจับไว้เช่นนี้ นางจะไม่ตื่นตระหนกจนตายไปก่อนหรอกหรือ?
“พี่สะใภ้สาม?” หลงเซี่ยวเจ๋อเอียงคอ ก่อนจะร้องเรียกมู่จื่อหลิงอย่างระมัดระวังราวกับจะเอ่ยเตือน
แต่ในเวลานี้ มู่จื่อหลิงจะยังมีเวลาให้เขาได้อย่างไร นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนจะมองมาด้วยดวงตาสีขาว [2] อย่างขุ่นเคือง ราวกับบอกว่า เป็เพราะเ้า
หลงเซี่ยวเจ๋อยอมรับดวงตาสีขาวที่แฝงความขมขื่นและขุ่นเคืองของมู่จื่อหลิงที่จ้องมาที่เขาอย่างมีความสุข
เขามองไปที่มู่จื่อหลิงผู้ไม่กลัวความตาย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างเต็มที่โดยไม่ปิดบัง
เนื่องจากเขาโตถึงเพียงนี้แล้ว เขายังไม่เคยเห็นผู้ใดกล้าดุฉีอ๋องด้วยความโกรธถึงเพียงนี้มาก่อน และพี่สามของเขาจะไม่มีวันยอมให้ผู้ใดมาปะทะกับเขาเช่นนี้
กล่าวได้ว่า หลงเซี่ยวเจ๋อกลับไม่รู้ว่าเป็เพราะเหตุใด เขาถึงได้ไม่กังวลว่ามู่จื่อหลิงจะถูกลงโทษอย่างรุนแรงแม้แต่น้อย
แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงโชคที่กำลังหมุนเวียน [3] เล็กน้อย และยามนี้ก็ถึงคราวที่การชื่นชมยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นจะต้องถูกลงโทษแล้ว
เรียกได้ว่าเป็การมีสุขร่วมสุข มีทุกข์ร่วมต้าน แม้ว่าพี่สะใภ้สามของเขาจะไม่พูดแทนเขา แต่นางก็หัวเราะเยาะเย้ยอย่างมีความสุขอยู่ด้านข้างไม่ต่างกัน
นางยังไม่ทันได้รอให้เขาถูกลงโทษ ยามนี้นางเองก็...ฮึ่ม! สมควรได้รับมัน!
มู่จื่อหลิงดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง และยังคงเหวี่ยงหมัดใส่อ้อมแขนของหลงเซี่ยวอวี่
ไม่เพียงแต่หลงเซี่ยวอวี่ไม่ยอมปล่อยมือเท่านั้น แต่เขากลับดักทางมือเล็กๆ ของมู่จื่อหลิงแล้วพลิกไปไว้ด้านหลังของนางอย่างง่ายดายด้วยมือเดียว ส่งผลให้นางไม่อาจขยับกายได้อีก ทั้งยังใช้อีกมือหนึ่งปิดกั้นปากเล็กๆ ของมู่จื่อหลิงที่พูดพล่ามเอาไว้
“อือ——” มู่จื่อหลิงไม่สามารถพูดได้ไปชั่วขณะหนึ่ง มือของนางก็ไม่มีอิสระอีกต่อไป นางเริ่มบิดตัวของนางอย่างกระสับกระส่าย ใบหน้าของนางแดงระเรื่อเพราะหายใจไม่สะดวก
“อย่าขยับ นั่งลงอย่างเชื่อฟัง” หลงเซี่ยวอวี่ปล่อยมือจากปากของมู่จื่อหลิง น้ำเสียงของเขาเ็าและทรงอำนาจ ผู้อื่นไม่อาจเอ่ยขัดได้
แต่ใครบางคนจะยอมเชื่อฟังได้อย่างไร? มู่จื่อหลิงซึ่งปากเป็อิสระในที่สุด แสดงความโกรธออกมาโดยไม่พักหายใจ “ท่าน...”
แต่...เพียงแค่นางเปล่งเสียง การจ้องมองที่เร่าร้อนและทรงพลังของหลงเซี่ยวอวี่ก็กลับมาอีกครั้ง
สายตาอันเร่าร้อนของฉีอ๋อง มันไม่ได้หมายความเช่นนั้น มู่จื่อหลิงไม่สามารถคุ้นเคยกับมันได้มากกว่านี้แล้ว
เพราะเมื่อไม่นานนี้ ชายผู้นี้มักจะมองนางด้วยสายตาเช่นนี้ และแล้ว...หลังจากนั้นนางก็จะ ‘พ่ายแพ้’
ดังนั้นปากของมู่จื่อหลิงจึงกระตุกทันที และร่างกายของนางก็สงบลงเช่นกัน แต่ดวงตาของนางยังคงลุกโชนด้วยเปลวไฟ พร้อมจับจ้องมองไปทางหลงเซี่ยวอวี่
ช่างน่าชัง! นางทำบาปกรรมอะไรไว้กัน?
ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวตาย [4] ได้จริงๆ! เหตุใดนางถึงติดตามชมการแสดงที่ดีของหลงเซี่ยวเจ๋อต่อกันนะ? นี่ไม่ใช่การไม่มีเื่ก็ยังสรรหาเื่หรอกหรือ ไม่มีความผิดก็ยังจะวิ่งหาความผิดอีก?
แม้ว่าจะอารมณ์เสียเป็อย่างมาก แต่มู่จื่อหลิงก็ไม่ดิ้นรนอีกต่อไป
ผู้ชายที่คาดเดาไม่ได้คนนี้มักจะเล่นนอกลู่นอกทาง [5] โดยไร้เหตุผลอยู่เสมอ ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะทำอะไรที่อาจทำให้ ‘โลกแตก’ อีกหรือไม่ ดังนั้นยามนี้นางจึงทำได้เพียงทำตามอย่างถ่อมตนเท่านั้น
ในท้ายที่สุด ในการต่อสู้อันเงียบงันนี้ มู่จื่อหลิงก็เป็ฝ่ายพ่ายแพ้ นางถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงว่า “ข้าขอนั่งข้างท่านได้ไหม?”
หากเป็ที่อื่น กอดกันในที่สาธารณะเช่นนี้นางยังทนได้!
แต่ยามนี้เป็ที่สาธารณะที่คนจำนวนมากมารวมตัวกันในสถานที่ที่ไม่ใช่สถานที่อื่นใด...
แต่นี่คือประตูวัง ประตูวังหลวง!
วังหลวงหมายถึงอะไร? มีหญิงสาวสูงศักดิ์เป็ชายาหรือนางสนมมากมายในวังหลวง
เขาไม่รู้หรือว่ามีดวงตาที่ชั่วร้ายกำลังจ้องมองมาจากในวังอยู่กี่คู่ ผู้ชายที่น่ารังเกียจคนนี้แน่ใจหรือว่าเขาจะไม่เกลียดนางอีก?
ในยามนี้ มู่จื่อหลิงกลับไม่รู้ว่า สิ่งที่เรียกว่าความเกลียดชังนี้ มันเป็ความเกลียดชังที่รุนแรงซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้ามันก็จะถูกดึงออกไป
ฉีอ๋องผู้เย่อหยิ่งเมินนางด้วยคำพูดสี่คำที่มีทัศนคติที่ชัดเจนว่า ไม่มีการต่อรอง!
เขาเหยียดแขนที่เรียวยาวออก หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนุ่มที่เปียกชื้นและสะอาดออกจากในรถม้า ใช้มันเช็ดคราบเืบางๆ บนคอของมู่จื่อหลิงอย่างระมัดระวังและเบามือ
ความอ่อนโยนอย่างฉับพลันทำให้ร่างกายของมู่จื่อหลิงสั่นไหวในทันที ส่วนที่อ่อนไหวที่สุดซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายบริเวณหน้าอกดูเหมือนจะได้รับผลกระทบมากในยามนี้ และมีร่องรอยของความอบอุ่นเล็กน้อยบนพื้นผิวที่สั่นไหว
ยามนี้มู่จื่อหลิงอยู่ในความสงบอย่างสมบูรณ์ ดวงตางุนงงของนางที่จ้องราวกับระฆังทองแดง [6] ไปที่ใบหน้าที่สมบูรณ์แบบของหลงเซี่ยวอวี่อย่างว่างเปล่า
จากบนลงล่างทีละน้อย มองดูจนทั่วอย่างระมัดระวังและรอบคอบ
ในที่สุด ดวงตาของนางก็จับจ้องไปที่ริมฝีปากสีแดงก่ำอันทรงเสน่ห์ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงการเคลื่อนไหวที่แสนจะมีเสน่ห์ในยามที่เขาดื่มเหล้าผูเถาเมื่อครู่นี้
ริมฝีปากที่มีความกระหายเืและมีเสน่ห์ของหลงเซี่ยวอวี่ขยับขึ้นเล็กน้อย ทำให้เกิดส่วนโค้งที่ดุร้ายและน่าหลงใหล แต่ดวงตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่คอของมู่จื่อหลิง
ในเวลาเดียวกัน……
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ดอกไห่ถัง (海棠) เป็ชื่อดอกไม้ ที่รูปลักษณ์มีเสน่ห์มาก ในสมัยโบราณจึงมีการนำมาใช้ในบทกวีเพื่อเป็ตัวแทนของหญิงสาวสวย โดยจะบานใน่ฤดูใบไม้ผลิ ก็คือประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม
[2] มองมาด้วยดวงตาสีขาว (白眼) มีความหมายว่าแสดงความดูถูกหรือรังเกียจผู้คน
[3] โชคที่กำลังหมุนเวียน (风水轮流转) เป็วลี มีความหมายว่า ชีวิตคนมีขึ้นมีลง โชคดีไม่ได้อยู่กับคนคนเดียวเสมอไป และสิ่งดีๆ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นซ้ำกับคุณอยู่ตลอด เป็ไปไม่ได้ที่ชีวิตจะราบรื่นตลอดไป
[4] ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวตาย (好奇心害死猫) เป็วลี มีความหมายว่า เตือนว่าอย่าเป็คนที่อยากรู้อยากเห็นมากเกินไป มิฉะนั้นจะนำไปสู่หายนะ
[5] เล่นนอกลู่นอกทาง (不按常理出牌) เป็วลี มีความหมายว่าชอบทำสิ่งต่างๆ โดยไม่ยึดตามเหตุผลทั่วไป มักมีเล่ห์เหลี่ยมที่แปลกประหลาด และไม่ทำตามกฎ
[6] จ้องราวกับระฆังทองแดง (铜铃) มีความหมายว่าจ้องมองมาด้วยท่าทางน่ารัก น่าเอ็นดู
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้