“ในยามปกติฝ่าามักจะนั่งอยู่ตลอดเวลา สมาธิจดจ่ออยู่เสมอ ทำให้หัวไหล่ตึงเครียดอยู่ตลอด ไม่ผ่อนคลายพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วกล่าว “ฝ่าาควรจะผ่อนคลายบ้าง ในเมื่อราชกิจนั้นทำไม่หมด แต่หากสุขภาพของฝ่าาเจ็บป่วยลง ราชสำนักคงต้องวุ่นวายแล้ว” หลี่ลั่วกล่าว
ไห่กงกงซึ่งปรนนิบัติอยู่อีกด้านหนึ่งคิด เสี่ยวโหวเหฺยพูดจาช่างขวัญกล้านัก
“เ้ามีความอดทน อบรมสั่งสอนเจิ้นเสียแล้ว” จ้าวหนิงฮ่องเต้ส่งเสียงฮึ แต่ฟังน้ำเสียงแล้วมีความสุขยิ่งนัก
หลี่ลั่วหัวเราะออกมาหลายครั้ง “อีกประเดี๋ยวกระหม่อมจะวาดจุดชีพจรเหล่านี้ให้ไห่เหฺยเหฺย ให้ไห่เหฺยเหฺยช่วยนวดถวายฝ่าาทุกวันพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีเลย บ่าวกำลังกลัดกลุ้มว่าต้องเรียนรู้เพิ่มเติมแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ไห่กงกงรีบพูด
“อืม” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตอบเสียงงึมงำขึ้นจมูกด้วยความง่วงงุนเล็กน้อย
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วไห่กงกงพลันดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย “ฝ่าาไม่ได้นอนหลับพักผ่อนดีๆ มาหลายวันแล้ว”
“หา? ฝ่าาหลับแล้วเื่ของข้าจะทำเช่นใดเล่า?” หลี่ลั่วมีสีหน้าผิดหวังอย่างรุนแรง
ไห่กงกงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ไม่สู้ท่านบอกกับข้าไว้ รอให้ฝ่าาตื่นบรรทมข้าจะบอกกับฝ่าาเอง”
“เช่นนั้นต้องรบกวนไห่กงกงแล้ว” แม้ปากหลี่ลั่วจะพูดเช่นนี้ แต่จังหวะจะโคนในการพูดจาของเขาไม่ได้ช้าลงเลย “เมื่อวานองค์ชายทั้งสามมาหาข้า ได้ยินเื่บ้านการกุศลและร้านหมอการกุศล พวกเขาคิดจะช่วยเหลือข้า เดิมทีข้าคิดจะเชิญท่านหมอเทวดาเมิ่งมานั่งรักษาไข้ ทว่าท่านหมอเทวดาเมิ่งไปซีเป่ยกับท่านพี่ฉีอ๋อง ข้าคิดดูแล้วหมอหลวงในสำนักหมอหลวงมีมากมาย ให้ไปนั่งตรวจรักษาไข้ที่ร้านของข้าวันละคน ย่อมไม่ติดขัดอันใด”
“เสี่ยวโหวเหฺยช่างขวัญกล้านัก” ไห่กงกงกล่าว “หมอหลวงนั้นมีไว้เพื่อรักษาไข้ให้กับฝ่าา”
“เช่นนั้นได้รับจากกษัตริย์ ใช้ไปโดยไพร่ฟ้าประชาชน ไพร่ฟ้าอยู่ดีมีสุข ย่อมจงรักภักดี ฝ่าาจึงจะดียิ่งขึ้นไปอีก” หลี่ลั่วกล่าว “กระแสน้ำสามารถพัดพาเรือได้ ย่อมสามารถพลิกเรือได้เช่นกัน ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าไพร่ฟ้าประชาชนอีกแล้ว หากไพร่ฟ้ารู้ว่านั่นเป็หมอหลวงที่ฝ่าาสั่งให้ไปรักษาพวกเขาโดยไม่คิดค่ารักษา พวกเขาจะต้องซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าาเป็แน่ขอรับ”
หลี่ลั่วและไห่กงกงกำลังพูดเื่ใดกันนั้น ฮองเฮาและคนอื่นที่อยู่ไกลออกไปฟังไม่ได้ยิน พวกเขาเพียงเห็นว่าหลังจากนั้นราวๆ ครึ่งชั่วโมง หลี่ลั่วลุกขึ้นและเตรียมตัวออกไป
ฮองเฮาพูดกับข้ารับใช้ข้างกายว่า “ไป ไปเชิญเสี่ยวโหวเหฺยมานั่งที่ตำหนักคุนหนิง เปิ่นกงจะกลับวังไปก่อน”
ฉินกุ้ยเฟยและคนอื่นๆ คิดจะหาหลี่ลั่วเช่นกัน แต่ทว่าฮองเฮาได้เอ่ยปากไปแล้ว พวกเขาไม่อาจทำอันใดได้ ดังนั้นฉินกุ้ยเฟยจึงกำชับคนรับใช้ข้างกายว่า “รอเมื่อเสี่ยวโหวเหฺยออกจากตำหนักคุนหนิงเมื่อใด ให้เชิญมานั่งที่เปิ่นกง”
หลี่ลั่วถูกขวางเอาไว้ระหว่างทาง ผู้ที่มาเป็สตรีอายุสามสิบต้นๆ ดูไปแล้วมีฐานะอยู่ในวังหลวงพอตัว ทว่าปฏิบัติต่อเขาด้วยท่าทีโอภาปราศรัย ให้เกียรติอย่างยิ่งยวด “บ่าวคารวะเสี่ยวโหวเหฺยเ้าค่ะ”
“ท่านคือ?” หลี่ลั่วมองนางด้วยความคลางแคลงใจ
“บ่าวเป็คนข้างกายฮองเฮา ชื่อสุ่ยชิวเ้าค่ะ สองวันที่แล้วฮองเฮาได้ลองชิมอ้อยที่ท่านส่งมาให้รู้สึกว่าหวานอย่างยิ่ง วันนี้จึงอยากเชิญเสี่ยวโหวเหฺยไปนั่งที่ตำหนักคุนหนิง เพื่อเป็การขอบคุณเสี่ยวโหวเหฺยด้วยตนเองเ้าค่ะ” สุ่ยชิวกล่าว
หลี่ลั่วคิดดูแล้วอ้อยนั้นเขามอบให้ฮ่องเต้ ต่อให้อยากจะขอบคุณก็ไม่ต้องรบกวนฮองเฮามาขอบคุณเขา เช่นนั้นฮองเฮา้าพบเขาด้วยเื่อันใดกัน? แน่นอนว่าหลี่ลั่วรู้ว่าตนเป็เพียงเด็กชายอายุหกขวบ ฮองเฮาย่อมไม่คิดร้ายต่อเขา ถ้าเช่นนั้นคืออะไรกันล่ะ? หลี่ลั่วครุ่นคิด เสแสร้งทำท่าทีลำบากใจ “กูกู[1] เปิ่นโหวเป็คนของวังหน้า ไปมาหาสู่กับเหนียงเหนียง[2]ในวังหลังจะเป็การดีหรือไม่?” วังหลังห้ามแทรกแซงเื่การเมือง ดังนั้นการไปมาหาสู่ระหว่างวังหน้าและวังหลังย่อมก่อให้เกิดความเข้าใจผิดมากมาย
แน่นอนว่าหลี่ลั่วผู้ซึ่งเป็เพียงเด็กน้อยไม่อาจถือว่าเป็วังหน้า นี่ไม่ใช่หลี่ลั่วเองที่เจตนาพูดขึ้นมาหรอกหรือ
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ของเขา สุ่ยชิวหัวเราะออกมาอย่างอดใจไม่ไหว “เสี่ยวโหวเหฺยโปรดวางใจ ไม่สู้ให้บ่าวส่งคนไปแจ้งกับไห่กงกง เพื่อจะได้ไม่เป็การเข้าใจผิด ท่านเห็นว่าเป็อย่างไรเ้าคะ?”
“เช่นนั้นต้องขอบคุณกูกูแล้ว”
ตำหนักคุนหนิง หลี่ลั่วมาเยือนเป็ครั้งแรก เขามองไปทางนั้นทางนี้อย่างประหลาดใจ ที่จริงแล้วที่นี่ไม่หรูหราเท่าจวนฉีอ๋อง แน่นอนว่าตำหนักคุนหนิงเป็เรือนที่กว้างขวางใหญ่โตตำหนักหนึ่ง จวนฉีอ๋องเป็คฤหาสน์ทั้งหลัง จะเปรียบเทียบได้อย่างไรกัน?
อีกทั้งหลี่ลั่วไปห้องทรงพระอักษรจนเคยชินเสียแล้ว ตำหนักคุนหนิงในสายตาของเขาจึงไม่นับเป็อะไรได้ เพียงแต่เขาต้องมีท่าทีเช่นเด็กคนหนึ่งจึงจะแเี
“เหนียงเหนียง จงหย่งโหวมาถึงแล้วเพคะ”
“เชิญเข้ามาได้”
หลี่ลั่วเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เห็นฮองเฮาถือเตาพกนั่งอยู่บนเตียงอุ่น เมื่อเห็นหลี่ลั่วเข้ามาจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “รีบเข้ามาอุ่นมือเสียหน่อย เดินมาตลอดทางคงหนาวแล้วกระมัง?”
หลี่ลั่วยิ้มบางๆ ทว่ายังคงคารวะอย่างรู้ธรรมเนียมมารยาท “กระหม่อมหลี่ลั่ว คารวะฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” เพียงแต่การคารวะของเขาไม่สู้เมื่อพบฝ่าาที่คุกเข่าลงทั้งสองข้างคารวะ เขาเพียงโค้งกายเล็กน้อย ฐานะเช่นเขาเมื่อพบพระสนมของวังหลัง ไม่จำเป็ต้องคุกเข่าทั้งสองข้างเพื่อคารวะตามธรรมเนียม
“มาๆ ไม่ต้องมากพิธีรีตอง มานี่” ฮองเฮาพอใจในมารยาทของเขาอย่างยิ่งยวด ผู้คนโดยส่วนใหญ่มักจะลืมตัว เมื่อตนถอยให้เพียงหนึ่งก้าวก็แสดงท่าทีใหญ่โต แต่เสี่ยวโหวเหฺยผู้นี้ไม่เป็เช่นนั้น ช่างเป็เด็กน้อยที่มีมารยาทยิ่งนัก “เปิ่นกงได้ยินมาว่าเ้าชอบกินของว่าง เ้าดูซิ ที่นี่มีของที่เ้าชอบกินหรือไม่?”
หลี่ลั่วนั่งลงข้างกายฮองเฮา จากนั้นจึงหยิบของว่างชิ้นหนึ่งกัดเข้าปากหนึ่งคำ “ชอบพ่ะย่ะค่ะ ของในวังหลวงล้วนอร่อยทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ” เขาอายุยังน้อย นั่งอยู่ข้างกายฮองเฮาก็เพียงแค่เด็กคนหนึ่ง ไม่เป็อันใด
“เช่นนั้นต่อไปเ้ามาบ่อยๆ เปิ่นกงจะเตรียมไว้ให้เ้า”
“ฮองเฮามิต้องยุ่งยากเช่นนี้ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ หากกระหม่อมอยากกินของว่างกระหม่อมไปจวนฉีอ๋องได้ ในจวนของท่านพี่ฉีอ๋องมีพ่อครัวเช่นกัน ของว่างล้วนทำได้ดีพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
ฮองเฮาหัวเราะออกมาเบาๆ “ใช่แล้ว ฝ่าาเอ็นดูจวิ้นเฉิน ยกพ่อครัวของห้องเครื่องไปให้ทางนั้น ฝ่าาช่างรักและเอ็นดูจวิ้นเฉินจริงๆ เ้าในฐานะของว่าที่พระชายาของเขา ฝ่าารักและเอ็นดูเ้ามากเช่นกัน”
“ฝ่าาเป็คนดีพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วกล่าว “ฝ่าาทรงสงสารที่กระหม่อมไม่มีบิดา กระหม่อมทราบดีพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาตกตะลึง เด็กคนนี้พูดจาน่าสนใจยิ่ง ตรงไปตรงมาและไร้เดียงสา มิน่าเล่าฮ่องเต้จึงชมชอบนัก “เช่นนั้นเ้าลองพูดมาให้ฟังหน่อยว่าเหตุไฉนฝ่าาจึงสงสารที่เ้าไม่มีบิดา ใต้หล้านี้เด็กที่ไม่มีบิดามากมายเหลือเกิน”
“ทว่าบิดาของกระหม่อมมีเพียงคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วกล่าว “ท่านอาหลี่เล่าเื่ซีเป่ยให้กระหม่อมฟัง ครั้งนั้นฝ่าาและบิดามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ฝ่าาเป็ฮ่องเต้ บิดาของกระหม่อมเป็ขุนนางผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดี กระหม่อมคิดว่า นี่คงเป็เพราะฮ่องเต้ล้วนชมชอบขุนนางที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีกระมัง”
พรืด...ฮองเฮาหัวเราะออกมาอย่างทนไม่ไหว สุ่ยชิวคาดไม่ถึงเล็กน้อย ฮองเฮาไม่ได้ยิ้มแย้มเช่นนี้มานานแล้ว
“ฮองเฮาอย่าได้หัวเราะเยาะกระหม่อมเชียว ต่อไปกระหม่อมจะเป็ขุนนางที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วกล่าว
“อ้อ เป็ขุนนางที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีของผู้ใดกันเล่า?” คำพูดประโยคนี้ กล่าวได้ว่าเป็การลองเชิง
“ย่อมต้องเป็ของฝ่าาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วเอ่ยขึ้นอย่างชอบธรรม “หรือว่ายังเป็ของผู้ใดได้อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ใช่ เป็ของฝ่าา” ฮองเฮาคิดในใจ เป็เพียงเด็กน้อยอายุหกขวบคนหนึ่ง เป็ตนเองคิดมากเกินไปแล้ว “วันนี้เ้าเข้าวัง มาตากแดดกับฝ่าาในอุทยานหลวงหรือไร?”
“มิใช่หรอกพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีกระหม่อมมีเื่จะมาปรึกษากับฝ่าา แต่ฝ่าาตรัสว่าให้ไปเดินเล่นที่อุทยานหลวง กระหม่อมจึงไปพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วถอนใจ ราวกับเื่ที่เขาเข้าวังมานี้สำคัญยิ่งนัก “จากนั้นฝ่าาบรรทมหลับไป เื่ของกระหม่อมยังมิได้พูดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ? ไม่สู้เ้าลองพูดกับเปิ่นกง เปิ่นกงอาจจะช่วยเ้าได้” ฮองเฮากล่าว
หลี่ลั่วส่ายหน้า “ช่างเถิดพ่ะย่ะค่ะ พูดไปแล้วก็เป็เื่ของฝ่ายหน้า ลูกผู้ชายอกสามศอก ไหนเลยจะรบกวนฮองเฮาได้พ่ะย่ะค่ะ”
พรืด...ฮองเฮาหัวเราะอีกแล้ว “เ้านี่ช่างเป็เ้าตัวเล็กจอมเ้าเล่ห์”
“ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เื่ราวใหญ่โตอันใดพ่ะย่ะค่ะ เมื่อวานนี้องค์ชายทั้งสามมาเยือนจวนโหว กระหม่อมได้บอกกับพวกเขาว่ากระหม่อมจะเปิดร้านการกุศล พวกเขาฟังแล้วอยากมาช่วยกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจึงเข้าวังมาเพื่อรายงานเื่นี้ต่อฝ่าา” หลี่ลั่วกล่าว “องค์ชายทั้งสามเป็คนดีจริงๆ ทันทีที่ได้ยินเื่การกุศลเพื่อช่วยเหลือไพร่ฟ้าประชาชน พวกเขายังคิดจะออกเงินด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“...” ฮองเฮาย่อมกระจ้างแจ้งดีว่าพวกเขามีจุดประสงค์อันใดอยู่เื้ัในการทำเช่นนี้ แต่กับเด็กน้อยบริสุทธิ์ไร้เดียงสาคนหนึ่งนั้น นางย่อมไม่พูดออกไป “ใช่แล้ว บรรดาองค์ชายชมชอบเ้าทั้งนั้น”
หลี่ลั่วนั่งอยู่ที่ตำหนักของฮองเฮาครู่หนึ่ง กินของว่างไปนิดหน่อย แล้วรับของขวัญมาเล็กน้อยจึงออกมา ของขวัญนี้มีทั้งของว่าง แล้วยังมีผ้าอีกหลายพับ ออกจากตำหนักคุนหนิงมาได้ไม่นาน เขาก็ถูกเชิญให้ไปตำหนักของฉินกุ้ยเฟย
หลี่ลั่วอยู่ตำหนักฮองเฮาพูดอะไรไปบ้าง เมื่ออยู่ในตำหนักของฉินกุ้ยเฟยเขาก็พูดเหมือนกัน เมื่อออกมานั้น ยังคงเป็ของว่างและผ้าจำนวนหลายพับ ทว่าผ้าที่ฉินกุ้ยเฟยให้เขานั้นน้อยกว่าฮองเฮาหนึ่งพับ เพียงแต่หนึ่งในนั้นราคาสูงอย่างยิ่ง กุ้ยเฟยคืออนุ สิ่งของที่นางประทานห้ามเกินหน้าเกินตาฮองเฮา แต่นางกลับลงมือในรายละเอียดของเนื้อผ้า
ไม่ว่าจะเป็กุ้ยเฟยหรือฮองเฮา ล้วนแล้วแต่เป็สตรีที่ไม่ง่ายดายทั้งสิ้น
สุดท้ายเจาอี๋มาเชิญอีกแล้ว เมื่อออกมานั้น ยังคงเป็ของว่างและผ้า เพียงแต่ผ้านั้นน้อยกว่าฉินกุ้ยเฟยพับหนึ่ง ทว่าเนื้อผ้ากลับเทียบเนื้อผ้าของฉินกุ้ยเฟยไม่ได้
เข้าวังครั้งนี้ หลี่ลั่วได้ของติดไม้ติดมือกลับไปมากมาย
ณ ห้องทรงพระอักษร
“ออกจากวังไปแล้วรึ?” จ้าวหนิงฮ่องเต้อ่านฎีกาไปพร้อมกับตรัสถามไปด้วย
“พ่ะย่ะค่ะ เสี่ยวโหวเหฺยได้ของไปไม่น้อย เหนียงเหนียงทั้งสามล้วนมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้พ่ะย่ะค่ะ” ไห่กงกงกล่าว
“อ้อ? เ้าผีน้อยเ้าเล่ห์นี้มีฝีมือในการปะเหลาะเอาของไม่เลวเลยทีเดียว จริงสิ หมอหลวงที่เขาเอ่ยถึง เ้าส่งไปคนหนึ่งก็พอ ให้หัวหน้าหมอหลวงไปนั่งประจำอยู่ที่ร้านค้าของเขาเถิด” จ้าวหนิงฮ่องเต้นึกถึงอะไรขึ้นมาได้
“พ่ะย่ะค่ะ”
“จวิ้นเฉินอยู่ซีเป่ยมาสามเดือนแล้ว อวี๋เจิ้นซียังคงไร้ข่าวคราว นั่นเป็หลานชายคนเดียวของแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋” จ้าวหนิงฮ่องเต้หลับตาลง บีบนวดขมับ ปวดศีรษะเล็กน้อย “เ้าคนหนุ่มที่อยู่ในราชสำนักอดรนทนไม่ไหวแล้ว ้าให้เจิ้นส่งคนไปทำหน้าที่แทนอวี๋เจิ้นซีปกป้องรักษาชายแดน เ้าว่าให้ใครไปดีเล่า?”
“เื่นี้บ่าวไฉนเลยจะรู้เื่พ่ะย่ะค่ะ?” ไห่กงกงตอบ
“เ้าไม่เข้าใจตรงไหนกันเล่า? ล้วนเป็หมาป่าดุร้ายโเี้ทั้งสิ้น รู้เพียงแต่อำนาจและผลประโยชน์ของตน ก็แค่ดูว่าผู้ที่พวกเขาเสนอมาเป็ใคร แล้วผู้ใดมิใช่คนของพวกเขา กองทัพซีเป่ยเป็กองกำลังทหารเพียงหนึ่งเดียวของจวิ้นเฉิน ใจคอพวกเขาช่างโเี้ทารุณนัก” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็น “หากแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋จะอายุน้อยสักหน่อยก็คงดี”
“ปีนี้ท่านอ๋องอายุสิบสี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ไห่กงกงออกปาก
“ใช่แล้ว สิบสี่ปีแล้ว พริบตาเดียวอีกสี่ปีก็เข้าพิธีสวมกวานแล้ว เคราะห์อายุยี่สิบปีผ่านพ้นไปแล้ว เจิ้นจะแต่งตั้งเขาเป็องค์รัชทายาท” ความปรารถนาก่อนตายของเสด็จพี่ นับว่าเขาไม่ได้ทำให้เสด็จพี่ต้องผิดหวัง
“ครั้งนั้นเมื่อฝ่าาดำรงพระยศฉีอ๋อง อายุขนาดนี้ก็อยู่ที่กองทัพซีเป่ยแล้ว หลี่โหวเหฺยเข้าร่วมกองทัพเมื่ออายุสิบปี ท่านอ๋องในเวลานี้ อายุไม่น้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ไห่กงกงกล่าว
“ความหมายของเ้า คือให้จวิ้นเฉินรับหน้าที่รักษาการแทนกองทัพซีเป่ยรึ?” จ้าวหนิงฮ่องเต้เคร่งขรึมลงทันที เขาลังเลใจเล็กน้อย “เสด็จพี่มีจวิ้นเฉินเป็บุตรชายเพียงคนเดียว เขาไปซีเป่ย เจิ้นวางใจไม่ลง” หากเกิดเื่อันใดขั้น เขาจะมีหน้าไปพบเสด็จพี่บนสรวง์ได้อย่างไร
“ข้างกายท่านอ๋องมีจวิ้นอีผู้มีวรยุทธ์สูงส่งอยู่ ทั้งยังมีหมอเทวดาเมิ่งติดตามไป และมีรองแม่ทัพหลี่จงิของหลี่โหวเหฺยอยู่ข้างกาย ไม่ว่าจะเป็สถานการณ์หรืออำนาจทางซีเป่ย จะมีผู้ใดคุ้นเคยยิ่งไปกว่าหลี่จงิได้พ่ะย่ะค่ะ? ฝ่าาไม่จำเป็ต้องกังวลพระทัย” ไห่กงกงเอ่ยย้ำ “และท่านอ๋องเพียงแต่อยู่ที่นั่นจนกว่าจะตามหาแม่ทัพน้อยอวี๋พบเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวหนิงฮ่องเต้ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน ให้กู้จวิ้นเฉินอยู่ซีเป่ยไม่ใช่ไม่ได้ แต่ขุนนางในราชสำนักต่างกำลังวิตกกังวล เกรงว่าจะทำให้พวกเขาเงียบเสียงได้ไม่ง่ายดายนัก
เป็ไปตามที่จ้าวหนิงฮ่องเต้คาดการณ์เอาไว้ เมื่อเข้าประชุม ณ ท้องพระโรงวันรุ่งขึ้น เหล่าขุนนางได้หยิบยกเื่สถานการณ์ทางซีเป่ยขึ้นมาถกเถียงกัน
“ฝ่าา แม่ทัพน้อยอวี๋หายตัวไปเป็เวลาสามเดือนแล้ว หากยังไม่ส่งแม่ทัพคนใหม่ไปที่นั่น เกรงกว่าทางฝูชิวจะเริ่มมีการเคลื่อนไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าา ซีเป่ยมีกำลังทหารจำนวนสิบหมื่น หากไร้แม่ทัพก็เปรียบเสมือนเม็ดทรายกระจัดกระจายจานหนึ่ง ถึงเวลานั้นหากจะจัดระเบียบเกรงว่าคงยากเย็นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ?” จ้าวหนิงฮ่องเต้มองพวกเขา “คนที่พวกเ้าเสนอมา เจิ้นล้วนดูแล้ว มี อ๋าวเหลียว ฉินเฟิง ิ่จื่อชง...ฉินเฟิงเป็หลานชายของเสนาบดีฉินกระมัง เจิ้นพอจะจำได้ เื่เมื่อครั้งหกปีก่อนเขามีผลงานไม่น้อย เวลานี้อยู่ในกองทหารห้าเมืองใช่หรือไม่? รั้งตำแหน่งผู้บังคับบัญชาขั้นสาม ถูกต้องหรือไม่?”
“กระหม่อมฉินเฟิง ถวายบังคมฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ” ฉินเฟิงออกมาจากในแถว “ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมอยู่กองทหารม้าห้าเมืองของเมืองหนานเฉิงพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเขาเสนอให้เ้าไปรักษาชายแดนซีเป่ย เ้าคิดอย่างไร?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ถาม
ฉินเฟิงไม่รู้ว่าจ้าวหนิงฮ่องเต้ถามคำถามนี้หมายความว่าอย่างไร เขาจึงหันไปมองเสนาบดีฉิน เสนาบดีฉินส่งสัญญาณให้เขาครั้งหนึ่ง ฉินเฟิงรีบกล่าว “กระหม่อมล้วนฟังฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ เ้าก็ประจำอยู่ที่กองทหารม้าห้าเมืองเช่นเดิมไปเถิด ส่งผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในสนามรบแม้แต่ครั้งเดียวไปรักษาชายแดนรึ? นี่มีสติปัญญาหรือไม่?” จ้าวหนิงฮ่องเต้โกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันใด
“ฝ่าาโปรดระงับโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ระงับโทสะ พวกเ้าคิดว่าชายแดนเป็อะไร? คิดว่าทหารเป็อะไร? คิดว่าไพร่ฟ้าประชาชนที่ชายแดนเป็อะไร? ฉินเฟิงอาศัยผลงานเมื่อหกปีก่อนจึงได้รั้งตำแหน่งผู้บังคับบัญชากองทหารม้าห้าเมือง ทว่านอกจากนี้แล้วเขามีประสบการณ์อันใด? พวกเ้าเสนอให้เขาไปเป็ทหารหรือไร?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ย้อนถาม
ฉินเฟิงคุกเข่าอยู่ที่นั่น สีหน้าย่ำแย่ยิ่ง การกระทำชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว[3]ของฝ่าานั้น เจตนาชำแหละเขาอย่างชัดเจน หกปีก่อนเขาเป็เพียงนายกองเล็กๆ ในกองทหารม้าห้าเมือง ต่อมาด้วยวรยุทธ์ที่โดดเด่นและความกล้าบ้าบิ่นกว่าผู้อื่นของเขา เมื่อเหล่าองค์ชายก่อฏ เขาได้เข้าออกแรงไม่น้อย จ้าวหนิงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ พระราชทานตำแหน่งผู้บังคับบัญชาขั้นสาม ควบคุมกองทหารม้าห้าเมืองหนึ่งหมื่นคน ปีนี้เขามีอายุเพียงยี่สิบห้าปี ผู้บังคับบัญชาขั้นสามอายุยี่สิบห้าปีผู้หนึ่งอนาคตไร้ขีดจำกัด แต่เวลานี้ ฝ่าาตรัสออกมาเช่นนี้
เขาและสนามรบ...คงไร้วาสนาต่อกันแล้ว
ขุนนางฝ่ายบู๊ ผู้ใดเล่าไม่ชมชอบออกรบ นำทัพสามกองพล นี่มันเป็วีรบุรุษผู้กล้าเพียงใด
“ลุกขึ้นมาให้หมดเถิด ครั้งหน้าหาก้าเสนอคนต้องใช้ความตั้งใจมากกว่านี้ ผู้บังคับบัญชากองทหารม้าห้าเมืองสำคัญเพียงใด ฉินเฟิงคุ้นเคยกับงานทั้งหมด พวกเ้ายังจะหาผู้ที่เหมาะสมไปกว่าเขามาแทนที่เขาได้หรือไม่? ต้องรู้ว่าหน้าที่ของกองทหารม้าห้าเมืองคือรักษาความปลอดภัยให้กับเมืองของฮ่องเต้ หรือในใจของพวกเ้านั้น เมืองหลวงตกอยู่ในอันตราย เจิ้นอยู่ในอันตรายล้วนไม่สำคัญเท่าซีเป่ย”
ตบหน้าครั้งหนึ่งแล้วให้ลูกกวาดหนึ่งเม็ด คำพูดเหล่านี้เมื่อฉินเฟิงฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก
ใช่แล้ว เขาดูแลความสงบของเมืองหลวง คุ้มครองโอรส์ แม้ตำแหน่งแม่ทัพจะเป็ความใฝ่ฝันของขุนนางฝ่ายบู๊ทุกคน แต่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าตำแหน่งขุนนางในเมืองหลวงอีกเล่า? ดังนั้นผู้คนจึงมักจะขัดแย้งในตนเอง
“กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางนับร้อยเพิ่งจะลุกขึ้น กลับไปคุกเข่าอีก
“ลุกขึ้นมาให้หมดเถิด” จ้าวหนิงฮ่องเต้หันไปอ่านฎีกาอีกเล่มหนึ่ง “อ๋าวเหลียว อ๋าวเหลียวคือผู้ใด?”
“ทูลฝ่าา กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ” อ๋าวเหลียวรั้งขุนนางฝ่ายบู๊ขั้นสี่ เป็ขุนนางฝ่ายบู๊ขั้นสูงสุด
จ้าวหนิงฮ่องเต้หรี่ตาลง “เ้าหน้าตาคุ้นตายิ่งนัก” แต่นึกไม่ออกว่าเคยพบที่ไหนมาก่อน
“ทูลฝ่าา กระหม่อมหน้าตาเหมือนบิดาพ่ะย่ะค่ะ” อ๋าวเหลียวกล่าว
“บิดาของเ้าคือ?”
“ผู้บังคับบัญชากองกำลังป้องกันรักษาเมืองหลวงเมื่อหกปีก่อน อ๋าวเซิ่ง พ่ะย่ะค่ะ” อ๋าวเหลียวตอบ
หัวใจของจ้าวหนิงฮ่องเต้พลันกระตุกขึ้น หกปีก่อน เหล่าองค์ชายก่อฏ อ๋าวเซิ่งนำกำลังทหารสองหมื่นนายปักหลักตั้งฐานป้องกันเมืองหลวงอยู่นอกเมือง เขาพลีชีพ...เป็ด่านแรกเพื่อปกป้องเมืองหลวงไว้ “เ้าคือ...บุตรชายคนเล็กของอ๋าวเซิ่งใช่หรือไม่?” เขาจำได้ว่าอ๋าวเซิ่งมีบุตรชายสามคน ในจำนวนนั้นสองคนก็...
“พ่ะย่ะค่ะ” อ๋าวเหลียวตอบ
ครั้งนั้นบิดาของจ้าวหนิงฮ่องเต้เพื่อรักษาความสงบของเมืองหลวง จึงได้ก่อตั้งกองกำลังป้องกันรักษาเมืองหลวงไว้ คิดไม่ถึงว่า... “ลุกขึ้น พูดถึงประสบการณ์การเข้าร่วมกองทัพของเ้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ” อ๋าวเหลียวลุกขึ้น “สกุลอ๋าวในทุกรุ่นล้วนเป็ขุนนางฝ่ายบู๊ ครั้งเมื่อเหรินเซี่ยวฮ่องเต้ทรงก่อกองกำลังป้องกันรักษาเมืองหลวงขึ้นมานั้น บิดาเป็ผู้บังคับบัญชากองกำลังป้องกันรักษาเมืองหลวงคนที่สาม พี่ใหญ่ อ๋าวเฉียน พี่รอง อ๋าวชง ล้วนเป็ทหารในกองกำลังป้องกันรักษาเมืองหลวงทั้งสิ้น ยามนั้นกระหม่อมยังเล็ก คิดถึงพี่ชายทั้งสองที่อยู่ในเมืองหลวงจึงไปเข้าร่วมกองทัพ เวลานั้นค่ายที่กระหม่อมไปเผอิญเป็ค่ายทหารซีเป่ย ต่อมาเมื่อหลี่โหวนำกำลังทหารมือดีห้าพันนายกลับเมืองหลวง เดิมทีกระหม่อมมิได้อยู่ในรายชื่อ ทว่าครอบครัวของกระหม่อมอยู่ในเมืองหลวง กระหม่อมจึงขอร้องหลี่โหวให้พากระหม่อมกลับมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ จากนั้น...” เื่ราวหลังจากนั้นทุกคนต่างแจ่มแจ้งดี
“เวลานี้เ้ารั้งตำแหน่งอันใด?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตรัสถาม
“ทหารรักษาพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” อ๋าวเหลียวตอบ
ต่อมาจ้าวหนิงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ กองทหารรักษาพระองค์แม่ทัพนายกองต่างๆ ล้วนเป็คนที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ทั้งสิ้น หลี่ซวี่เวทนาอ๋าวเหลียวที่บิดาและพี่ชายทั้งสองต้องเสียชีวิตลง เขาจึงกลายเป็สายเืของครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว หักใจไม่ได้ที่จะให้เขาไปอยู่ในสนามรบที่ซีเป่ย ดังนั้นจึงได้ฝากฝังไว้กับผู้บังคับบัญชากองทหารรักษาพระองค์ให้อ๋าวเหลียวรั้งตำแหน่งอยู่ที่นี่
“เ้าอยู่ซีเป่ยเป็เวลากี่ปี?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตรัสถามอีก
“อายุสิบสองปีไปซีเป่ย สิบหกปีกลับมา รวมแล้วสี่ปีพ่ะย่ะค่ะ” อ๋าวเหลียวตอบ และเวลานี้เขาอายุยี่สิบปี
“เจิ้นเข้าใจแล้ว เ้าถอยไปก่อนเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ต่อมา จ้าวหนิงฮ่องเต้ได้เรียกตัวคนอีกคนหนึ่ง “ิ่จื่อชงคือผู้ใด?”
“เป็หลานชายของแม่ทัพผู้เฒ่าิ่พ่ะย่ะค่ะ วันนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่” ขุนนางฝ่ายบู๊อีกท่านหนึ่งเป็คนตอบแทน “เมื่อคืนนี้ิ่เหล่าไท่จวินป่วยหนัก วันนี้ิ่จื่อชงจึงลากิจพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็เขาหรอกหรือ” จ้าวหนิงฮ่องเต้แจ่มแจ้งแล้ว
หลังจากเลิกประชุมเช้า จ้าวหนิงฮ่องเต้คิดถึงอ๋าวเหลียวตลอดเวลา ที่จริงขุนนางฝ่ายบู๊ของแคว้นไม่ได้มีมากมายนัก ผู้ที่มีความดีความชอบและผลงานต่างเข้าสู่วัยชรากันแล้วทั้งสิ้น เช่น แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ แม่ทัพผู้เฒ่าิ่ สองท่านนี้มีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง คือมีบุตรชายไม่เอาถ่าน แต่หลานชายพึ่งพาอาศัยได้ ิ่จื่อชงผู้นี้เป็ผู้สืบสายเืเพียงหนึ่งเดียวของสกุลิ่ในรุ่นนี้ แต่เมื่อถือกำเนิดมาในครอบครัวขุนนางฝ่ายบู๊ ย่อมไม่สามารถใช้เหตุผลนี้มาทำให้ไม่เข้าสู่สนามรบได้ ในใจของพวกเขาเ่าั้ตายคาสนามรบมีเกียรติกว่าการเป็ขุนนางฝ่ายบุ๋นมากมายนัก
ขุนนางฝ่ายบุ๋นไม่เห็นขุนนางฝ่ายบู๊อยู่ในสายตา ทว่าในใจของขุนนางฝ่ายบู๊มีความภาคภูมิใจและหยิ่งผยองในตนเอง
แม่ทัพที่มีความชอบของแคว้นนั้นมีหลี่ซวี่ที่ตายไปแล้ว เหรินเซียงโหวขณะนี้รักษาป้องกันชายแดน ยังมีอีกท่านหนึ่ง...ฉุนหยางอ๋อง ทว่าฉุนหยางอ๋องนั้น
ไม่สนใจเื่ราวภายในราชสำนัก หากจะกล่าวว่าต้องเลือกแม่ทัพคนหนึ่งเพื่อไปซีเป่ยแล้วละก็ ว่าด้วยเื่ประสบการณ์ในสนามรบ ฉุนหยางอ๋องเป็ผู้ที่เหมาะสมที่สุด แต่ว่า “ต้าไห่ เรียกตัวฉุนหยางอ๋องเข้าวัง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
[1] กูกู (姑姑) หมายถึง เดิมทีหมายถึงพี่สาวหรือน้องสาวของพ่อ และเป็คำเรียกขานนางกำนัลชั้นผู้ใหญ่ในวังอย่างให้เกียรติ
[2] เหนียงเหนียง (娘娘) แปลว่า “แม่เ้า” และเป็คำเรียกขานฮองเฮาจนถึงนางสนมขั้นผิน เมื่อมีตำหนักประทับเป็ของตนเองแล้ว ผู้คนจะเรียกขานว่า “เหนียงเหนียง”
[3] ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว อุปมาว่าทำเป็ด่าคนนี้ แต่ความจริงด่าคนนั้น ความหมายเดียวกับสำนวนสุภาษิตไทยที่ว่า ตีวัวกระทบคราด