โต๊ะกลมใหม่เอี่ยม
ผิวโต๊ะไร้รอยเคลือบใหม่
ทว่าความจริงกลับทำขึ้นจากไม้เก่า
้ายังมีรอยไม้เป็วงๆ ซ้อนกันแน่นขนัด
สองด้านของมันน่าจะมาจากไม้ต้นเดียวกันที่ถูกนำมาทำเป็โต๊ะไม้ ด้วยวงรอบบอกอายุบนต้นไม้น่าจะอายุพอกัน ความหนาน่าจะราวๆ หนึ่งชุ่น
หากว่ามันได้อยู่ในบ้านของชาวบ้านธรรมดา ก็นับว่าเป็โต๊ะที่ดีที่สุด สามารถส่งต่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้
ทว่ายามมันอยู่ในเรือนของข้าหลวงจ้งกลับดูน่าเกลียดยิ่งนัก
ของใช้ในชีวิตประจำวันของชนชั้นสูงที่ส่งต่อกันรุ่นต่อรุ่นนั้นก็ยังเก่าถึงเพียงนี้
พวกเขาล้วนแต่พิถีพิถันในการส่งต่อ
บนโต๊ะยังมีอาหารวางอยู่ กับข้าวก็ล้วนเป็อาหารง่ายๆ
โจ๊กธัญพืชสีแดงถูกยกมาให้นายท่านผู้เฒ่าจ้งฮวา นายท่านผู้เฒ่านั้นรักสุขภาพยิ่งนัก อาหารเช้าจึงดื่มโจ๊กธัญพืช
ทุกคนได้โจ๊กคนละหนึ่งถ้วย
้าน้ำแกงยังมีเนื้อแผ่นบางๆ ทั้งยังมีผักซอยละเอียด ดูน่าทานไม่เบา
ทว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะนั้นกลับดูเหนื่อยอ่อนนัก
เขาคิดถึงอาหารนานาชนิดในเมืองหลวง เขาคิดถึงเป็ดแปดเซียน คิดถึงเป็ดย่างหนังกรอบแบบราชสำนัก คิดถึงปลากระรอก คิดถึงเนื้ออบน้ำผึ้ง……
ได้แต่คิดถึงอาหารพวกนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นายท่านผู้เฒ่าเริ่มลงมือดื่มโจ๊ก ทุกคนจึงเริ่มกินอาหารเช่นกัน
เพราะเพิ่งจะเริ่มย้ายมายังศาลาว่าการ จึงยังไม่อาจพิถีพิถันมากนัก ได้แต่นั่งกินข้าวพร้อมหน้าบนโต๊ะเดียวกัน
แม้จะกินไม่ได้นอนไม่หลับเพียงใด ในสถานการณ์เช่นนี้ภรรยาของจ้งจื๋อ ฉวีชื่อก็ยังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก
“ไม่รู้ว่าป่านนี้หรูเอ๋อร์จะเป็อย่างไรบ้าง”
บุตรของจ้งจื๋อนั้นแม้จะไม่ได้รับเลือกเข้าวัง แต่ก็นับว่าเป็คนมีความสามารถที่หาได้ยากยิ่งของตระกูลจ้ง จึงสามารถสอบเข้าสำนักเชินได้
แม้ว่าตระกูลจ้งจะโยกย้ายกันมา แต่จ้งหรูก็ยังรั้งอยู่ในสำนักเชินเพื่อศึกษาต่อ
ทว่าในยามที่ต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงบุตรชายขึ้นมา บัดนี้ครอบครัวต้องข้ามผ่านวันเวลาอันยากลำบาก บุตรชายต้องอยู่คนเดียวเช่นนั้นก็มิรู้ว่าจะเป็อย่างไรบ้าง
“ซู้ด” เสียงนายท่านผู้เฒ่าดื่มโจ๊กดังขึ้นเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคน
จากนั้นจึงวางถ้วยลงแล้วกล่าวขึ้น “จื๋อเอ๋อร์ตามข้ามา”
จ้งจื๋อเมื่อได้ยินท่านพ่อเรียกตนเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว
ทว่าก็รีบพุ้ยข้าวในถ้วยตนให้หมด แล้วลุกขึ้นตามบิดาออกไป
ท่านพ่อของเขานั้นแม้บางคราจะเชื่อถือไม่ได้ ทว่าอายุอานามก็ไม่น้อย ความรู้จึงไม่น้อยเช่นกัน
ยามมาถึงอำเภอิเหอ ในจินตนาการที่แห่งนี้จะต้องย่ำแย่ถึงขีดสุด ชาวบ้านจะต้องขายบุตรชายบุตรสาว จับบุตรมาทำอาหาร เส้นทางทุกหย่อมหญ้ามีแต่โจร……ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนแต่ ‘สิ้นไร้’
ทว่าความเจริญทุกหนแห่ง ความรุ่งเรืองที่ปรากฏแก่สายตา
หากมิใช่ว่ามุมกำแพงเมืองมีกระดูกกองอยู่เป็กองๆ ทั้งกระดูกเ่าั้ยังดูสดใหม่ เขาคงคิดว่าเื่กองทัพจิงบุกเข้ามาเป็เื่ล้อเล่น
แม้จะมาถึงที่นี่ระยะหนึ่งแล้ว ทว่าข้าหลวงจ้งก็ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรใหม่ๆ ทุกเื่ล้วนแต่ทำตามวิถีเก่า
ทุกวันเพียงพาท่านพ่อไปเที่ยวเล่นตามวิถีกวีผู้รักสายน้ำรักูเา
ความจริงแล้วเขาก็ถือโอกาสสืบข่าวไปด้วยเช่นกัน
สองพ่อลูกตระกูลจ้ง แม้จะไม่เคยมารับราชการต่างถิ่นเช่นนี้ ทว่าพวกเขาก็ไม่ใช่คนโง่งม
หลังจากที่รวบรวมข้อมูลมาได้แล้ว จึงได้พบว่าเื้ัที่ทำให้เมืองแห่งนี้เปลี่ยนไปคือหมู่บ้านไป๋กู่
“หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ธรรมดา เกรงว่าคงมีคนอยู่เื้ั กลัวเพียงแต่คนผู้นี้จะเอาใจออกหาก วันหน้าพวกเราสองพ่อลูกก็ลองไปบุกถ้ำเสือดูกัน” นายท่านผู้เฒ่ากล่าวขึ้นอย่างแน่วแน่
จ้งจื๋อได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่กัดฟัน
“ท่านพ่อ ต่อให้ท่านรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ปกติเพียงใด ทว่าพวกเราทำแบบนี้เหมาะสมแล้วหรือ จะให้ใช้กำลังคนไปสืบพวกเราก็ยังไม่ได้เตรียม…”
ยังไม่ทันกล่าวจบ รองเท้าข้างหนึ่งก็ลอยมาทางเขา เคราะห์ดีที่เขาะโหลบได้ ทั้งยังรับรองเท้าข้างนั้นไว้ทัน แล้วจึงนำกลับไปคืนบิดาตนอย่างนอบน้อม
“ข้าบอกเ้าไว้เลยนะว่ายามอยู่ด้านนอกไม่ต้องมาเรียกข้าว่าพ่ออีก ให้เรียกข้าว่าพี่ฮวาก็พอ ข้ายังไม่ทันพูดเื่กำลังคนอันใดเลยนะ รอบๆ นี้ล้วนแต่เป็พวกของชาวบ้านหมู่บ้านไป๋กู่ กระทั่งเสมียนก็ยังเป็เช่นนี้ หากคิดจะใช้พวกบ่าวรับใช้ใจเสาะในเรือนไปสืบ เกิดมีเื่อันใดขึ้นมา ก็ยังไม่วายให้พวกเราต้องไปช่วย ใต้เท้าเฉินไม่ใช่ไหว้วานให้เ้าไปส่งหนังสือเข้าเรียนที่สำนักเชินนั่นหรือ เ้าก็ไปเสียเลยสิ”
จ้งจื๋อได้ยินบิดาตนกล่าวเช่นนี้ก็จนใจ กระทั่งเื่ส่งจดหมายก็ยังเอามาเป็ข้ออ้างได้
ตระกูลของพวกเขายังไม่ล่มสลาย ทว่าเหล่าบ่าวรับใช้ที่ร่างกายแข็งแรงกลับค่อยๆ จากไปทีละคน ได้ยินว่าชายแดนแห่งนี้พลังหยางแรงนัก คนที่สุขภาพยิ่งแข็งแรงยิ่งไม่เหมาะสมกับที่นี่ ทุกคนที่นี่จึงได้มีแต่คนหัวแข็งมือไม้ไร้เรี่ยวแรง หน้าแดงหูแดง ท่าทางดูเหลาะแหละใช้ไม่ได้
เขากับท่านพ่อเดิมทีไม่ได้คิดถึงเื่นี้ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เื่ใหญ่โต
“ท่านพ่อ…”
“อย่ามาเรียกข้าว่าพ่อ ข้าคือพี่ฮวา ข้าคือคุณชายที่ปลอมตัวมา” นายท่านผู้เฒ่าเลิกคิ้ว แล้วกล่าวขึ้น
“พี่ฮวา”
“เอ้อ”
“ท่านใส่รองเท้าสลับกันแล้ว”
“ข้าจะตีเ้าให้ตายเลยเ้าเด็กสารเลวนี่ เ้ากล้าหัวเราะเยาะบิดาเ้ารึ!!”
รองเท้าอีกข้างพลันลอยมาอีกครั้ง
จ้งจื๋อรู้สึกเหนื่อยเหลือเกินที่ต้องพาท่านพ่อผู้แสนจะเอะอะโวยวายของตนออกมาเช่นนี้ จึงได้โบกรถม้าขอติดตามไปหมู่บ้านไป๋กู่
พวกเขาเขาคิดว่าทำเช่นนี้จะอำพรางตัวได้ดีกว่า คนที่เดินทางไปหมู่บ้านไป๋กู่มีมากมาย ดูแล้วคึกคักทีเดียว
ยามที่พวกเขาอยู่ท่ามกลางฝูงชนเช่นนี้ย่อมไม่มีใครจำพวกตนได้
ทว่าความจริงแล้วชาวบ้านหมู่บ้านไป๋กู่ทุกคน ไหนเลยจะดูลักษณะของคนนอกไม่ออก
พวกเขาต้องผ่านตลาดไป๋กู่เป็ที่แรก ที่นี่คึกคักเสียจนพวกเขาพ่อลูกต่างก็ตื่นตะลึง แม้ว่าคราวที่แล้วจะใไปแล้วก็ตาม
ร้านรวงก็สร้างใหญ่โต ผู้คนที่มาจับจ่ายก็ล้วนมีระเบียบ ดูอย่างไรก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็อำเภอเล็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล เขายังคิดว่าตนคงมาผิดทางจนบัดนี้มาถึงเมืองใหญ่เสียแล้ว
ข้างทางนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ที่แห่งนี้มูลของลา ม้า วัว อูฐล้วนแต่มีคนคอยเก็บกวาดโดยเฉพาะ ว่ากันว่าเฉพาะบรรทุกมูลของเ้าพวกนี้ยังต้องใช้เกวียนหลายเล่มมาขนไป
เห็นแล้วก็น่าในัก
สองพ่อลูกตระกูลจ้งได้แต่ระงับความตื่นเต้นไว้จนไปถึงยอดเขา
สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาพวกเขาคือูเากระดูกที่มีผ้าหลากสีและกระดูกสีขาว
ทำเอาพวกเขาสองพ่อลูกนั้นหัวใจแทบจะหยุดเต้น
ประเดี๋ยวเดียวเขาก็ได้ยินเสียงะโลั่นฟ้าดังขึ้น
“ย่าห์…ย่าห์…ย่าห์…”
เสียงประสานกันดังสนั่นราวกับมีทหารแคว้นจิงนับพันนายกำลังร้องเรียกอยู่ก็ไม่ปาน
จ้งจื๋อพลันใจหล่นวูบ เกือบจะคิดว่าทหารแคว้นจิงบุกมาจึงได้รีบจับมือท่านพ่อเพื่อเตรียมจะวิ่ง
ทว่าท่านพ่อนั้นกลับร่างกายแข็งค้าง ลากอย่างไรก็ไม่เคลื่อนที่
ครู่ต่อมาจึงเห็นว่าท่านพ่อของคนนั้นดึงชายปากแหว่งคนหนึ่งมาสนทนาด้วย
“ท่านผู้เฒ่า นี่คือเสียงอันใดหรือ”
“นี่คือหน่วยปราบปรามบนูเาของพวกเรา ทุกคนจะต้องเข้าร่วม คราวที่แล้วทหารแคว้นจิงบุกมา คนในหมู่บ้านไป๋กู่ของเราไม่ว่าเป็ชายหรือหญิงหรือคนชราก็ล้วนแต่ร่วมทัพไปรบ าครานี้ยังไม่จบหรอก พวกเราจึงจำเป็ต้องฝึกอย่างสม่ำเสมอ หากว่ากองทัพจิงบุกเข้ามา พวกเราจะได้ต่อสู้ให้พวกมันพ่ายกลับไป กระทั่งชายชราเช่นข้าก็จะไปร่วมรบเช่นกัน”
“เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงไม่ไปฝึกเล่า” จ้งจื๋อถามขึ้นอย่างสงสัย
“ข้ารึ วันนี้ข้าอยู่เวร คอยตรวจดูคนผ่านไปผ่านมาว่าคนใดดูไม่น่าไว้ใจ เอ้อ แล้วพวกท่านมาทำอะไรกันที่นี่ ท่าทางลับๆ ล่อๆ มองทางนั้นทีทางนี้ที”
จ้งจื๋อไม่คิดว่าข้าหลวงผู้มีเกียรติเช่นตนจะถูกขวางทางเพื่อถามคำถามเช่นนี้
ทว่าเมื่อเห็นกระดูกที่กองสูงอยู่ด้านหลังตนจึงได้กล่าวด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี “ข้ามาเพื่อส่งจดหมาย บนูเานี้ มีครอบครัวใดแซ่ลู่บ้างหรือ มีคนไหว้วานให้ข้านำจดหมายมาส่งให้พวกเขา”
ขายปากแหว่งถามขึ้นทันใด “แล้วจดหมายเล่า”
“ท่านผู้ไหว้วานกล่าวว่า จำเป็ต้องมอบให้ต่อหน้าเท่านั้น” จงจื๋อยังคงยืนยันเช่นเดิม
“ข้าขอดูหน่อย มิเช่นนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเ้าไม่ได้โกหก”
ชายปากแหว่งกล่าวไป พร้อมกับเรียกเด็กคนหนึ่งที่ยื่นอยู่ด้านข้างให้มาทางนี้
เด็กน้อยยังมีน้ำมูกไหลยืด เมื่อเห็นว่าจะต้องพบคนก็รีบสูดน้ำมูกเป็พัลวัน น้ำมูกที่ไหลยืดจึงหายวับไป
ยามนี้จ้งจื๋อและจ้งฮวาสองพ่อลูกล้วนแต่ทำหน้านิ่ว
“อาต้า ท่านเรียกข้ามีอะไรหรือ”
“เ้าอ่านสิว่าจดหมายนี้เขียนว่าอะไร”
เด็กน้อยยื่นหน้ามาดู “้าเขียนว่าแจ้งลู่เฉินโย่วเป็การส่วนตัว”
เด็กน้อยเมื่ออ่านจบก็ถูกชายชราตะเพิดไป “เอาล่ะ เอาล่ะ”
ทั้งจ้งฮวาและจ้งจื๋อต่างก็นิ่งอึ้ง ไม่คาดคิดว่าเ้าเด็กน้ำมูกย้อยนี่จะรู้หนังสือ
แม้แคว้นเชินจะให้ความสำคัญกับการศึกษา และไม่สนใจวรยุทธ์ก็ตาม ทว่าคนที่รู้หนังสือจริงๆ นั้นกลับมีไม่มากนัก
การเรียนเดิมทีก็เป็เื่ที่น่าประหลาดใจนัก
“ท่านผู้เฒ่า เ้าเด็กนี่ถึงขั้นรู้หนังสือ นี่มันเด็กอัจฉริยะแท้ๆ ไฉนพวกท่านจึงมีเด็กที่รู้หนังสือเช่นนี้ได้เล่า” จ้งจื๋อในฐานะขุนนางของแผ่นดิน ความรู้สึกเสียดายคนมีความสามารถจึงผุดขึ้นมา แม้ว่าเ้าเด็กนั่นจะดูมอมแมมเหลือเกินก็ตามที ทว่ากระทั่งเ้าเด็กมอมแมมในชนบทเช่นนี้ยังรู้หนังสือ นั่นหมายความว่าอย่างไรเล่า
“อัจฉริยะอันใดกัน เด็กๆ บนูเาทุกคนก็รู้หนังสือกันทั้งนั้น หากไม่รู้หนังสือจะโดนตี แต่ก็เอาเถอะ ข้าจะพาท่านไปพบคนเอง” ชายชราปากแหว่งกล่าวขึ้น
ในขณะเดียวกันก็ยกเท้าขึ้นสะกิดเด็กชายคนเมื่อครู่ “โก่วจือ ดูให้ดีๆ เล่า อย่าให้คนร้ายเข้ามาได้”
ข้าหลวงจ้งนั้นมีบางสิ่งอยากจะกล่าวแต่จำต้องเงียบไว้ นั่นมันต้นกล้าแห่งบัณฑิตเชียวนะ ท่านยังตั้งชื่อว่าโก่วจือ มันไม่มักง่ายไปหน่อยหรือ!!!
