มือของนางเพิ่งเปื้อนเื… เืของกากเดนในคราบมนุษย์ทั้งห้า ทว่าบนใบหน้า…กลับแต้มรอยยิ้มบางเบา ราวกับผู้เพิ่งได้รับของขวัญล้ำค่าหลานเยว่จดจำการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนใบหน้าอย่างละเอียดมุมปากควรยกเพียงใด แววตาควรนุ่มเพียงไหน จึงจะเรียกว่า รอยยิ้มที่อบอุ่น คนพวกนี้ แม้ไร้ค่าในฐานะมนุษย์…แต่สำหรับเธอ พวกมันกลับมีคุณประโยชน์มหาศาลเพราะเป็ กระจก ที่สะท้อนกลับมาให้เธอเห็นว่า…รอยยิ้มของเธอในยามนี้ ดูอ่อนโยนแล้วหรือยัง
การพรากลมหายใจของพวกมัน ไม่ได้สร้างแรงะเืใด ๆ ในใจของนาง ไม่มีความสำนึกผิด ไม่มีแม้แต่ความสงสารเพราะนี่…คือ ตัวตนที่แท้จริงของนาง
แสงแดดอุ่นยามสายสาดทาบบนพื้นใบไม้ ราวกับเป็ม่านแสงที่คอยกรองโลกให้ดูละมุนขึ้นร่างบางเคลื่อนไหวอย่างสงบเยือกเย็นจนกระทั่ง… เสียงล้อเกวียนและฝีเท้าม้ามาแต่ไกลรถม้าคันหนึ่งสวนทางมา เป็ชายชราและหลานสาวนั่งโดยสารอยู่ชายสูงวัยชะลอรถม้าเมื่อเห็นสตรีเดินลำพัง
“สาวน้อย… เดินคนเดียวแบบนี้ อันตรายนักนะ” เขาพูดด้วยความหวังดี น้ำเสียงแฝงความห่วงใยหลานเยว่หันมายิ้มให้เขา รอยยิ้มสดใส… เรียบง่าย… แต่ผ่านการฝึกฝน“ขอบคุณท่านลุงที่เป็ห่วง ข้าดูแลตัวเองได้” น้ำเสียงของนางอ่อนโยนราวสายน้ำไหลเอื่อย ชายชรายิ้มตอบ แต่ในแววตายังคงมีประกายเป็ห่วงหลงเหลือ เด็กสาวที่นั่งอยู่บนรถม้าหลานสาวของเขายิ้มแย้มแจ่มใสเธอฮัมเพลงเบา ๆ อย่างไร้เดียงสา โลกของเธอดูสงบเกินกว่าจะรู้ว่ามีมัจจุราชเดินสวนมา
หลานเยว่ยืนมองรถม้าที่เคลื่อนผ่านไปอย่างเงียบ ๆ จากนั้น… นางลองยกมุมปากรอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏบนใบหน้าที่มักจะเ็านางพยายามเลียนแบบรอยยิ้มของเด็กสาวเมื่อครู่
“แบบนี้… หลานจิ่วอวิ๋นจะชอบไหมนะ” เสียงพึมพำเบา ๆ หลุดจากริมฝีปากระหว่างเส้นทางที่ทอดผ่านหุบเขาและทุ่งหญ้าเสียงฝีเท้าของผู้คนที่สัญจรไปมา แต่สิ่งที่สะดุดตาทุกสายตา…กลับไม่ใช่ทิวทัศน์ หรือท้องฟ้าแจ่มใสหากเป็ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งผู้เปล่งประกายดั่งบุปผาที่ผลิบานอยู่กลางทางเปลี่ยว
เหล่านักเดินทางที่เดินสวนทาง ต่างพากันหันหลังกลับไปมองบางคนหยุดฝีเท้า บางคนกระซิบกันเบา ๆ“นางคือใคร?”“เหตุใดถึงงามถึงเพียงนี้…”
หลานเยว่… เดินอย่างสงบ ราวกับไม่รู้สึกรู้สาใด ๆ ริมฝีปากของนางมีรอยยิ้มอ่อน ๆ แต้มไว้เสียงฮัมเพลงเบา ๆ ของนาง แ่ผ่านอากาศดุจเสียงสายลมขับกล่อมราวกับว่าเธอคือหญิงสาวผู้ไร้เดียงสา ผู้ไม่รู้เลยว่าหนทางข้างหน้านั้น… แฝงไว้ด้วยอันตรายมากมายเพียงใด
แต่ใครจะรู้ว่ารอยยิ้มที่พวกเขาชื่นชมและเสียงเพลงที่พวกเขาหลงใหลต่างถูกกลั่นออกมาจากหัวใจของนักฆ่า…ผู้ไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียวที่จะปลิดชีพหากมีผู้ใดล่วงล้ำ
เวลาไม่นานนัก หลานเยว่ก็มาถึงเมืองหลวงกำแพงขนาดั์ทอดตัวยาวสุดสายตาทหารยามสวมชุดเกราะยืนเฝ้าแ่าผู้ใดจะผ่านประตูเมือง… ล้วนต้องผ่านการตรวจสอบโดยละเอียดแต่เมื่อเธอเข้าใกล้ร่างบางในชุดเรียบง่าย กลับดึงดูดสายตาแม้ไม่มีอาภรณ์หรูหรา แต่ความสง่างามของนางกลับเปล่งประกายเหนือสิ่งอื่นใดราวกับกลีบบุปผาแรกแย้มท่ามกลางพายุฝุ่น
ทหารยามผู้หนึ่งมองนางแล้วชะงักดวงตาเบิกขึ้นราวกับเห็นิญญาจากอดีต“เชิญ…”เขาพูดเพียงคำเดียว ก่อนจะเปิดทางให้นางผ่านโดยไม่แม้แต่เอ่ยถามชื่อ หรือแตะต้องสัมภาระ
“เฮ้! เ้าทำบ้าอะไร?! ทำไมไม่ตรวจค้น?”เสียงตำหนิดังจากเพื่อนทหารอีกคนที่ยืนข้างกัน“ต่อให้นางเป็แค่หญิงสาวตัวเล็ก ๆ ก็ต้องตรวจ นี่มันกฎ!”
ชายคนนั้นเงียบไปครู่ ก่อนจะกล่าวเสียงเบา… ทว่าหนักแน่น“นางคือคุณหนูหลานเยว่… บุตรสาวของท่านแม่ทัพหลานซือเหยียน” เสียงราวฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ
“ว่าอะไรนะ… เ้าพูดว่าเป็นาง จริงรึ?” ชื่อหลานเยว่ไม่ได้ทำให้ผู้คนคิดถึงความสามารถหากแต่เป็ คำครหา ที่เกาะติดมานานหญิงไร้ค่า ที่มีดีแค่เพียงความงาม
“ข้าคิดว่า… ท่านแม่ทัพสมควรได้รับรู้เื่นี้” เขาเฝ้ามองเงาหลังของหญิงสาวที่เพิ่งก้าวลับผ่านประตูเมืองไป… รอยยิ้มของนางยังแจ่มชัดอยู่ในห้วงตาไม่ใช่เพราะความงามของนาง...แต่เพราะ นางคือคนที่ไม่ควรจะมีตัวตนอีกแล้วนาง... คือคุณหนูหลานเยว่ ผู้ที่โลกภายนอกเชื่อว่า สาบสูญ ไปนานถึงห้าปีเต็ม
แม้นางจะเคยเป็เพียงบุตรสาวผู้ไร้ค่าในสายตาผู้คนแม้นามของนางจะถูกลบเลือนจากบทสนทนาในตระกูลอย่างตั้งใจแต่สำหรับเขา... นางยังคงเป็สายเืของตระกูลหลานสายเืของท่านแม่ทัพหลานซือเหยียน
ข่าวสารถูกส่งตรงถึง จวนแม่ทัพหลานซือเหยียน โดยมิปล่อยให้แม้เพียงแสงแดดคล้อยผ่านหัววันภายในห้องโถงกว้าง ชายผู้มีร่างกายสูงใหญ่ดั่งพยัคฆ์เหล็กนั่งนิ่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะไม้แดง ดวงตาของเขาลึก… หนักแน่น และไม่เปิดเผยสิ่งใดต่อภายนอกแม้จะล่วงเข้าสู่วัยกลางคน แต่รูปลักษณ์ของหลานซือเหยียนยังคงเปี่ยมไปด้วยอำนาจและบารมีแม้ร่องรอยแห่งกาลเวลาจะประดับอยู่ตามข้างขมับแต่เพียงแววตาของเขาก็เพียงพอจะทำให้เหล่าขุนนางต้องเบี่ยงหน้า
เมื่อข้ารับใช้รายงานว่า“นาง... กลับมาแล้ว บุตรสาวของท่าน ปรากฏตัวที่ประตูเมือง”
เสียงนั้นขาดหายเมื่อชายตรงหน้ายกมือขึ้นเล็กน้อยเป็เชิงห้าม… และจบไม่มีแม้กระทั่งคำถามต่อจากปากของเขาไม่มีความตื่นเต้น ไม่ใคร่รู้ มีเพียงคำสั่งเดียวที่หลุดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ ราวกับสั่งถอนหายใจจากสรรพสิ่งทั้งปวง
“เ้าออกไปได้...”
ข้ารับใช้ผงะเล็กน้อย ก่อนรีบค้อมศีรษะแล้วถอยจากห้องโถงไปอย่างเงียบงันเมื่อความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง บรรยากาศในห้องเหมือนหนักขึ้นจนแทบหายใจไม่ออกหลานซือเหยียนหลุบตามองแก้วน้ำชาที่วางอยู่ข้างมือสายน้ำสะท้อนใบหน้าของตนเอง... สงบนิ่ง แต่เ็า “ห้าปี…” เขาพึมพำ “…ห้าปีที่ข้าลืมนางไปแล้ว”
ดวงตาคมกริบของเขาปิดลงอย่างเชื่องช้า ก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้ง…ในแววตานั้นปรากฏเงารอยบางอย่างไม่อาจเรียกได้ว่า ความรู้สึกและก็ไม่อาจแน่ชัดว่าเป็ ความว่างเปล่า
“ลูกไม่รักดี… จะกลับมาทำให้ชื่อของตระกูลหลานแปดเปื้อนใช่หรือไม่…”
คำพูดแ่เบา หลุดออกมาจากริมฝีปากไม่ใช่ด้วยความโกรธเกรี้ยว หากแต่เป็เสียงสะท้อนที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันราวกับ้าขับไล่เงาอดีตที่ไม่เคยเลือนหายไปจริงชายผู้ครองยศแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ผู้ทำให้ศัตรูครั่นคร้ามด้วยเพียงหนึ่งกระบวนทัพกลับไม่สามารถ ยกโทษให้สายเืของตนเอง
ถึงแม้เขาจะไร้หัวใจแค่ไหนแต่เขาก็ยังไม่ อำมหิต ถึงเพียงนั้น…ที่คิดจะสังหารลูกของตัวเอง
“ต่อให้นางไร้ค่าสักเพียงใด…โลหิตของนาง… ก็คือโลหิตของข้า”
เสียงสุดท้ายหลุดออกมาแ่เบาแทบไม่ต่างจากเสียงถอนหายใจสายตาของเขาเหม่อลอยอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองโต๊ะเอกสารตรงหน้าอีกครั้งอย่างเรียบเฉยราวกับไม่เคยมีเื่ใดเกิดขึ้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้