หูฉางกุ้ยถือเห็ดหลินจือเดินออกมาจากห้องของบุตรสาวอย่างสติล่องลอย
เจินจูเดินตามออกมาอยู่ด้านหลัง เห็นบิดาสกุลหูยังสับสนอยู่บ้าง อดยิ้มแล้วกล่าวขึ้นไม่ได้ “ท่านพ่อ ท่านไปกับท่านแม่นะเ้าคะ สิ่งของในบ้านที่จำเป็ต้องซื้อเพิ่มมีไม่น้อยพอดี พวกท่านไปด้วยกันเถอะ ท่านเอาเห็ดไปขายให้เ้าของร้านหลิวก่อน ส่วนเื่เมื่อครู่พวกเราค่อยว่ากันตอนเย็น”
“อ่า... เอ่อ ได้”
หูฉางกุ้ยตั้งสติขึ้นแล้วตอบรับ หลังจากนั้นจึงไปใส่เกวียนล่อ
เจินจูวิ่งไปหาหลี่ซื่อหลังบ้าน ดันนางขึ้นเกวียนล่อไปอย่างเกลี้ยกล่อมและดึงดัน
จนกระทั่งเกวียนล่อขึ้นบนถนนทางการ หลี่ซื่อถึงได้สงบสติลงได้ “เมื่อวานก็เพิ่งกลับมาจากในอำเภอ ทำไมวันนี้ถึงเข้าเมืองอีกล่ะ?”
“บุตรสาวของเ้าไม่บอกเ้าหรือ?” หูฉางกุ้ยกล่าวเสียงกลัดกลุ้ม
“ไม่เลย แค่ให้เข้าไปในเมืองเป็เพื่อนเ้าอย่างทั้งดึงทั้งลาก” หลี่ซื่อไม่พอใจ นางกำลังให้อาหารไก่อยู่ แล้วก็ถูกบุตรสาวลากออกมา
หูฉางกุ้ยไม่กล่าวอะไร หยิบตะกร้าไผ่สานข้างกายมาและยื่นให้นางดู
หลี่ซื่อมองเขาอย่างสงสัยแวบหนึ่ง แล้วหยิบฟางที่คลุมอยู่บนตะกร้าเปิดออก
“…”
เห็ดหลินจือหนึ่งต้นสีม่วงจนเป็มันวาววางแน่นิ่งนอนอยู่ก้นตะกร้า หลี่ซื่อปิดปากของตัวเองที่อยากร้องใไว้ทันที
เป็เห็ดหลินจือ นางจำได้ดีเมื่อก่อนตอนที่เป็สาวใช้ ในจวนเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติ ในห้องคุณหนูก็มีวัตถุดิบยาสมุนไพรล้ำค่าและหายากที่ผู้าุโมอบให้เป็รางวัลไม่น้อย นางยังเคยช่วยเมอเมอที่ดูแลห้องคุณหนู เก็บของคัดแยกวัตถุดิบสมุนไพรอยู่เลย ในห้องเก็บของของคุณหนูก็มีเห็ดหลินจือแต่เล็กกว่าต้นตรงหน้านี้มาก
“นี่เป็เห็ดหลินจือ นางวิ่งไปบนูเาอีกเมื่อไรกัน?” หลี่ซื่อกล่าวถามเสียงเบา
“บอกว่าขุดมาก่อนหน้านี้พักหนึ่งแล้ว” อาจเป็เพราะมีประสบการณ์ของการขายโสมคนในครั้งก่อน เห็ดหลินจือครั้งนี้ หูฉางกุ้ยจึงสงบสุขุมขึ้นมาก แต่พอนึกถึงคำพูดของบุตรสาวเมื่อเช้า เขาอดถอนหายใจไม่ได้ “หรงเหนียง เจินจูบอกว่า อยากสร้างบ้านขนาดสองสามห้องข้างบ้านเราขึ้นมาอีก”
“สร้างบ้าน?” หลี่ซื่องงงัน บ้านของที่บ้านไม่ใช่ว่าเพิ่งสร้างขึ้นหรือ “ทำไมต้องสร้าง? สร้างให้ผู้ใดอาศัย?”
“บอกว่าสร้างให้พวกอาจารย์ฟางอยู่ มีห้องโถงหนึ่งห้องและห้องด้านข้างโถงสองห้อง หลังจากนั้นล้อมเป็หนึ่งลานใหญ่ เพื่อให้พวกผิงอันกับผิงซุ่นใช้ฝึกซ้อม” เชิญอาจารย์ฝึกฝนการต่อสู้มายังต้องสร้างบ้านอีก ต้นทุนนี่อาจจะมากเกินไปหน่อยแล้วกระมัง
“ลานในบ้านไม่ใช่ว่าค่อนข้างใหญ่มากหรือ?” ลานบ้านของพวกเขาสามารถรับคนได้หลายร้อยคนเลยนะ
“เจินจูกล่าวว่า ที่บ้านมีคนนอกอยู่ด้วยระยะยาวไม่ค่อยสะดวก แล้วยังกล่าวว่าสร้างห้องเล็กๆ สามห้องค่าใช้จ่ายไม่มากด้วย แก้ไขปัญหาในครั้งเดียวต่อไปจะได้ไม่ยุ่งยาก” หูฉางกุ้ยนำคำพูดของบุตรสาวมากล่าวซ้ำหนึ่งรอบ
“…”
หลี่ซื่อกุมหน้าผาก บ้านสามห้องค่าใช้จ่ายไม่มาก? ต่อให้ไม่มากก็ต้องจ่ายสามสิบถึงสี่สิบเหลียงกระมัง ครอบครัวพวกเขาร่ำรวยเช่นนี้เมื่อไรกัน?
บุตรสาวของนางหาเงินได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เมื่อจ่ายเงินขึ้นมาจริงๆ ไม่มือไม้อ่อนเลยสักนิด
“อีกเดี๋ยวขายเห็ดหลินจือไปแล้ว เจินจูให้พวกเราไปบ้านช่างไม้หลู่สั่งทำเครื่องไม้สองชุด พอสร้างบ้านเสร็จจะได้ให้พวกเขาย้ายเข้าได้เลย” หูฉางกุ้ยกล่าวต่อด้วยเสียงกลัดกลุ้ม
“เ้าเด็กคนนี้นี่จริงๆ เลย ลูกสาวเ้าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเช่นนี้ ทำไมเ้าไม่ดูแล?” หลี่ซื่อมองเขาด้วยความขบขัน
“จัดการอย่างไร? เงินของครอบครัวเราล้วนเป็นางหามา อีกอย่าง ที่นางกล่าวมาก็ถูก ที่บ้านมีคนแปลกหน้าไม่ค่อยสะดวกสบายจริงๆ” หูฉางกุ้ยมองภรรยาของตนแวบหนึ่ง วันนี้นางสวมชุดข้างบนสีเทาอมชมพู กระโปรงยาวสีม่วง เส้นผมพันเป็มวยต่ำ ปักปิ่นไม้ต้นท้อ ผิวขาวสะอาดชุ่มชื้น หน้าตาใสสะอาดเรียบร้อย สีปากแดงสดใส ล้วนสวยและสง่างามดั่งวัยยี่สิบต้นๆ
หูฉางกุ้ยรู้สึกขึ้นได้ทันที ข้อเสนอของบุตรสาวถูกต้องนัก
หลี่ซื่อไม่ตอบอะไร ที่บ้านมีคนแปลกหน้าอยู่ไม่สะดวกเล็กน้อยจริงๆ สามวันห้าวันยังพอไหว แต่หนึ่งปีสองปีจะไม่ลำบากได้หรือ
เห็ดหลินจือขายได้อย่างราบรื่น พอหลิวผิงเห็นเห็ดขนาดใหญ่เช่นนี้ ดวงตาล้วนเป็ประกายไปทั้งดวง เห็ดบำรุงจงเจียวเสริมชี่ [1] ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เป็หนึ่งในยาบำรุงที่ผู้สูงศักดิ์และบรรดาขุนนางตำแหน่งใหญ่โตมีอำนาจชอบมากที่สุด
เห็ดชิ้นนี้รูปลักษณ์ภายนอกยอดเยี่ยม และเป็เห็ดหลินจือชั้นดีที่หาได้ยากยิ่ง
หลิวผิงใช้ตามราคาของโสมคนครั้งก่อน ให้ราคาสูงถึงสองร้อยเหลียง ซึ่งราคาการรับซื้อของเห็ดหลินจือจะต่ำกว่าโสมคนมาโดยตลอด รวมกับเทือกเขาไท่หางมีเห็ดหลินจือซุกซ่อนอย่างอุดมสมบูรณ์
ราคาสองร้อยเหลียง เป็ระดับราคาที่สูงของเห็ดหลินจือแล้ว
หูฉางกุ้ยกอดถุงเงินหนักอึ้งไว้ มีความรู้สึกว่าตนเองกำลังอยู่ในความฝัน เวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งเดือนได้อาศัยการขายโสมคนกับเห็ดหลินจือ ได้กำไรไปแล้วสี่ร้อยเหลียง เงินจำนวนค่อนข้างมากมายหนึ่งจำนวนเช่นนี้ ทำให้คนซื่อสัตย์ที่ยากจนมาครึ่งชีวิตราวกับอยู่ในความฝัน
หลิวผิงมาส่งสองคนที่ประตูใหญ่ด้วยตนเอง ยิ้มแล้วกล่าว “กลับไปบอกบุตรสาวของท่านด้วย เื่ของเหลียงหู่ตัดสินคดีเรียบร้อยแล้ว และจะไม่มีปัญหาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเขาให้ยุ่งยากอีก พวกท่านวางใจได้เต็มที่เลย”
หูฉางกุ้ยได้ยินดังนั้นจึงยินดีอย่างยิ่ง แม้่นี้คลื่นสงัดลมสงบ [2] แต่ไม่มีข่าวคราวชัดเจน ในใจพวกเขายังกังวลเล็กน้อย วันนี้เ้าของร้านหลิวกล่าวออกมาด้วยปากของตัวเองเช่นนั้นต้องไม่มีทางผิดพลาดแน่
เขาโค้งกายกล่าวขอบคุณติดๆ กัน
หลิวผิงจะยอมรับคำขอบคุณได้ที่ไหน สองคนต่างฝ่ายต่างรั้งกันไปมาหนึ่งรอบ
หลิวผิงฝืนประคองหูฉางกุ้ยไว้อย่างเสียมิได้ รีบเบนหัวข้อสนทนาออกไป สอบถามกระต่ายกับไก่ของสกุลหูตอนนี้ว่ามีกี่ตัวที่สามารถขายได้
คาดว่าตอนนี้คุณชายของเขาคงเกือบถึงเมืองหลวงแล้ว กระต่ายกับไก่บ้านที่ส่งไปคราวก่อนน่าจะยังมีเหลืออยู่ แต่ถนนที่นี่ห่างไกลเมืองหลวง อาจเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางขึ้นได้ ขนส่งไปล่วงหน้าเป็การป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันจะดีกว่า
หูฉางกุ้ยหันกลับไปมองหลี่ซื่อเล็กน้อย ไก่ของที่บ้านล้วนเป็หลี่ซื่อดูแล หลี่ซื่อรีบกล่าวเสียงเบาสองสามที
กระต่ายโตมีไม่น้อย แต่ไก่กลับมีเพียงสิบตัวเท่านั้น ลูกไก่ที่เหลือค่อนข้างใหญ่มียี่สิบตัว อย่างน้อยต้องผ่านไปสองเดือนถึงจะสามารถเติบโตเป็ไก่เนื้อได้
หลิวผิงใบหน้าถอดสี นี่ไม่ใช่หมายความว่าในหนึ่งถึงสองเดือนนี้คุณชายสามารถทานได้เพียงเนื้อกระต่ายเท่านั้นหรือ?
เขารีบฉีกยิ้มบนใบหน้าขึ้นทันที แอบขอให้สกุลหูเลี้ยงไก่เลี้ยงเป็ดเพิ่มเล็กน้อย
แต่หูฉางกุ้ยกลับแสดงสีหน้าลำบากใจ บุตรสาวของเขากล่าวว่าการเลี้ยงไก่มากเกินไปจะง่ายต่อการเป็โรคติดต่อ ดังนั้นเลยไม่ให้เลี้ยงสัตว์ปีกในบ้านมากมายในครั้งเดียว
หลิวผิงชะงักงัน เขาไม่ใช่ครอบครัวเกษตรกร แต่ก็เคยได้ยินมาเช่นกันว่าการเลี้ยงไก่เลี้ยงเป็ดจำนวนมากจะง่ายต่อการเป็โรคติดต่อ เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดฉับพลัน สัตว์ปีกของสกุลหูมีเพียงน้อยนิดเช่นนี้ หากระหว่างทางการขนส่งเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น ไม่ใช่ว่าต้องแลกด้วยชีวิตของเขาเลยหรือ
หูฉางกุ้ยเห็นใบหน้าอันขมขื่นของหลิวผิง จึงรีบแสดงความเห็นอย่างเสียมิได้ กล่าวว่าที่บ้านเตรียมเลี้ยงลูกหมูสองตัว ถึงเวลาจะเก็บไว้ให้ฝูอันถังโดยเฉพาะ
หลิวผิงใ หมูสองตัวหนักกว่าสี่ร้อยชั่ง หากแยกออกมาเชือดแล้วแช่แข็งไว้ สามารถทานติดต่อกันได้ตลอดทั้งฤดูหนาว... อันนี้ดี
หลิวผิงกล่าวอำลากับสามีภรรยาสกุลหูด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หมุนตัวกลับเข้าไปยังห้องโถงใหญ่
เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ [3] ของห้องโถงใหญ่ หลิวผิงประคองถ้วยชาจิบอย่างเชื่องช้า
จู่ๆ นึกถึงปัญหาขึ้นได้อย่างหนึ่ง หมูอ้วนหนักสองร้อยกว่าชั่ง ควรส่งไปเมืองหลวงอย่างไร?
“แค่กๆ”
เมื่อคิดถึงความร้ายแรงของปัญหา หลิวผิงอดสำลักน้ำชาไปชั่วขณะหนึ่งไม่ได้
...สองสามีภรรยาหูฉางกุ้ยกับหลี่ซื่อกำลังเดินมุ่งไปบ้านหลู่โหย่วมู่ทางตรอกหลังตลาดฝั่งตะวันออก
เื่ที่บุตรสาวบอกอันดับแรกจัดการเสร็จสิ้นแล้ว
ประตูบ้านหลู่โหย่วมู่เปิดกว้าง ด้านในมีเสียงโวยวายปนเปกันพักหนึ่ง
หูฉางกุ้ยมองหน้ากันกับหลี่ซื่อแวบหนึ่ง แล้วเดินไปที่หน้าประตูมองเข้าไปข้างใน หลู่โหย่วมู่กำลังถูกชายสองคนผลักอย่างแรง หญิงชราคนหนึ่งดึงชายหนึ่งคนในนั้นจากด้านข้างอย่างกะโผลกกะเผลก เด็กสาวตัวเล็กอายุประมาณสิบปีหลบอยู่ด้านหลังหลู่โหย่วมู่ด้วยน้ำตาไหลพราก
“โจวกว่างจิน โจวกว่างอิ๋น พวกเ้าอย่าให้มากเกินไปนัก กำหนดเวลาหนึ่งปียังไม่ถึง พวกเ้ามีสิทธิ์อะไรมาบีบบังคับครอบครัวข้าให้ขายบ้านเร่งรัดหนี้สิน บนหลักฐานการกู้เงินเขียนวันที่ไว้ชัดเจน หากพวกเ้าก่อกวนไม่หยุดเช่นนี้อีก พวกข้าจะไปแจ้งศาลาว่าการ” หลู่โหย่วมู่ขวางการผลักอย่างรุนแรงของสองคนไว้ ตวาดเสียงดังด้วยความเคียดแค้น
“อุ๊ย น้องเขย คำพูดนี้เป็เ้าที่ไม่ถูกนะ แม้วันที่บนหลักฐานการกู้เงินยังไม่ถึง แต่บ้านข้ารีบร้อนใช้เงิน เพราะเป็เช่นนี้เลยไม่มีวิธีอื่นแล้ว ถึงได้มาเร่งรัดให้พวกเ้าคืนเงินยังไงล่ะ” อาจเพราะกลัวว่าจะขู่เข็ญหลู่โหย่วมู่เกินไป แล้วเขาจะไปหาทางการจริงๆ บุรุษสองคนมองหน้ากันและกันแวบหนึ่ง บุรุษที่อายุมากหน่อยในนั้นจึงปล่อยมือของหลู่โหย่วมู่ที่ดึงกันไว้ออก
“เพ้ย พวกเ้าเหล่าคนสกุลโจวใจดำ เป็เช่นนี้แล้วยังจะเรียกโหย่วมู่ว่าน้องเขยอย่างไม่กระดากใจอีก แค่กๆ มีญาติที่ตกบ่อแล้วยังปาหินใส่ [4] เช่นพวกเ้าช่างโชคร้ายแปดชั่วโคตรจริงๆ ยืมยี่สิบเหลียงหนึ่งปีไปแล้วต้องคืนยี่สิบห้าเหลียง เงินกู้ดอกเบี้ยสูงล้วนยังไม่ใจดำเท่าพวกเ้าเลย วันที่กำหนดคืนเงินยังไม่ถึงก็วิ่งมาก่อความวุ่นวายทวงหนี้เกือบทุกวัน ทำลายการค้าขายครอบครัวข้าย่อยยับ พวกเ้าคิดจะ่ชิงบ้านของครอบครัวข้าไปกระมัง เพ้ย!” หญิงชราถ่มน้ำลายออกมาหนึ่งที และจ้องพวกเขาอย่างโเี้
“พวกเ้าคิดคำนวณได้ดีนี่ แต่น่าเสียดายตราบใดที่ยายแก่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเ้าอย่าได้คาดหวังเลย” หญิงชราฮึกเหิมจนสีหน้าแดงไปหมด
“ท่านแม่ อาการป่วยของท่านยังไม่หายดี อย่าโมโหเกินไป” หลู่โหย่วมู่รีบไปข้างหน้าประคองหญิงชราไว้ หลังจากนั้นหมุนกายมองไปยังพี่น้องสกุลโจว “พวกเ้าฟังให้ดี เงินน่ะพวกข้าย่อมคืนแน่นอน แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ข้าจะคืนให้ตามวันที่ระบุไว้บนหลักฐานการกู้เงิน หากพวกเ้ามาก่อเื่วุ่นวายขึ้นที่บ้านข้าอย่างนี้อีก พวกเราก็ไปเจอกันในศาลาว่าการเลยแล้วกัน หากเป็เช่นนั้นก็อย่าได้โทษว่าข้าไม่ไว้หน้าญาติล่ะ”
หลู่โหย่วมู่มองไปยังพวกเขาด้วยสายตาแน่วแน่ ในตากดความเดือดดาลอย่างรุนแรงเอาไว้ เพียงสองเดือนมานี้ พี่น้องของโจวซื่อมาก่อความวุ่นวายไปแล้วสี่ครั้ง ทุกครั้งที่เจรจาไม่สำเร็จก็จะทุบข้าวของก่อความไม่สงบอย่างกล่าวไปด่าไป และก่อนจะจากไปยังเอาสิ่งของของบ้านเขาไปด้วยตลอด
เดิมเขาคิดว่าเป็ญาติกัน หากทะเลาะใหญ่โต บนใบหน้าทุกคนล้วนจะมองกันไม่ติดจึงข่มกลั้นไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า
บางทีเขาคงคิดผิดั้แ่แรก ท่าทีที่เขาเก็บไว้ในใจกลับยิ่งเพิ่มความกำเริบเสิบสานของพวกเขาให้มีมากขึ้น
ครั้งนี้เขาไม่สามารถปล่อยให้พวกเขาทำตามอำเภอใจได้อีกแล้ว
โจวกว่างจินกับโจวกว่างอิ๋นมองหน้ากันทีหนึ่ง ล้วนมองเห็นความหมายให้ล่าถอยกลับ จากในดวงตาของกันและกัน หลู่โหย่วมู่เป็ผู้มีถิ่นที่อยู่อาศัยในเมือง พวกเขาเป็ชาวไร่ชาวนาของหมู่บ้านกว่างอี หากก่อเื่วุ่นวายจนต้องเข้าในศาลาว่าการ ผู้ที่เสียเปรียบทำไม่ดีก็คือพวกเขาเอง
“แค่ก ในเมื่อน้องเขยกล่าวเช่นนี้ก็เห็นแก่น้องสาวที่ตายไปแล้วของข้า เงินนี่ค่อยคืนเมื่อถึงวันก็แล้วกัน แต่เมื่อถึงเวลาแล้วพวกเ้าคืนไม่ได้ก็อย่าโทษว่าพวกข้าไม่เห็นอกเห็นใจเล่า” โจวกว่างจินกล่าวอย่างขู่ทิ้งท้ายไว้ แล้วถึงลากโจวกว่างอิ๋นจากไปอย่างท่าทางเคียดแค้น
รอบนี้พวกเขาไม่สามารถเอาของอะไรจากบ้านสกุลหลู่ไปได้
สีหน้าของหลู่โหย่วมู่เศร้าสลดเล็กน้อย วันที่ต้องคืนเงินห่างออกไปอีกสามเดือนกว่า เวลาน้อยนิดนี่หากจะรวบรวมให้ครบยี่สิบห้าเหลียง แม้ใช้ความสามารถของเขาในตอนนี้ก็ยากที่จะทำได้
นับั้แ่ที่หลู่โหย่วมู่รับคำสั่งสินค้าของสกุลหู ทักษะงานไม้ของเขาก็ค่อยๆ ย้อนคืนกลับมา และเขาก็เริ่มได้รับคำสั่งซื้อเครื่องเรือนเล็กน้อยทยอยติดต่อกัน แม้สาเหตุจะมาจากข้อศอก ทำให้ความเร็วในการทำช้าลงกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย แต่ค่อยๆ มีรายรับเข้ามาเช่นนี้เขาก็พึงพอใจมากแล้ว
ข้อต่อตรงข้อศอกเขายังเจ็บอยู่ ไม่สามารถยืดตรงออกไปได้สุดแล้วก็ไม่สามารถงอแขนกลับได้ทั้งหมด แต่พอผ่าน่เวลาที่ได้ใช้งานและเคลื่อนไหวมากๆ ทุกวัน ส่วนข้อศอกก็ไม่ได้แข็งทื่อเพียงนั้นแล้ว ขอบเขตของการขยับยืดหยุ่นดีกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก
หลู่โหย่วมู่รู้จักพอใจในสิ่งที่มีมากแล้ว ขอแค่สองมือทำงานและเลี้ยงดูมารดากับบุตรสาวต่อไปได้ แม้จะไม่สามารถยืดและงอแขนให้สุดได้ทั้งหมดเหมือนคนทั่วไป เขาก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยเลยแม้แต่นิดเดียว
เชิงอรรถ
[1] บำรุงจงเจียวเสริมชี่ หรือปู่จงอี้ชี่ หมายถึง การบำรุงม้าม กระเพาะอาหารเพื่อรักษาภาวะโรคชี่ม้าม หรือกระเพาะอาหารพร่อง
[2] คลื่นสงัดลมสงบ หมายถึง ปลอดภัยไร้กังวล
[3] ไท่ซือ คือ อาจารย์ใหญ่ แต่ในที่นี้หมายถึง เก้าอี้ เป็เก้าอี้ไม้แบบโบราณ
[4] ตกบ่อแล้วยังปาหินใส่ หมายถึง การซ้ำเติม ตรงกับสำนวนไทยว่า ได้ทีขี่แพะไล่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้