เช้าวันรุ่งขึ้นอวิ๋นจื่อตื่นสายกว่าปกติมาก ไม่รู้ว่าเป็เพราะเมื่อคืนนี้นางดื่มสุราหรือเปล่า นางเลยรู้สึกวิงเวียนศีรษะนิดหน่อย พอตื่นขึ้นก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย ไป๋จื่อที่เข้ามาช่วยนางล้างหน้าและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าสังเกตเห็นว่าสีหน้าของนางผิดปกติเล็กน้อย จึงเอ่ยถามด้วยความเป็ห่วง
อวิ๋นจื่อตอบว่านางปวดหัวนิดหน่อย
หงหลิงบิดผ้าเช็ดหน้าพลางถามว่า “คุณหนูรู้สึกเบื่อหรือไม่? ไปเดินเล่นที่สวนหลังเรือนก็ได้นะเ้าคะ”
ไป๋จื่อเห็นด้วยกับหงหลิง
อวิ๋นจื่อเหลือบมองสองสาวด้วยความประหลาดใจ แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ นางจึงตอบว่า
“ไม่เป็ไร หงหลิงเ้าไปขอน้ำแกงที่ครัวให้ข้าสักชาม”
หงหลิงรับคำและจากไปทันที
หลังจากที่หงหลิงจากไป อวิ๋นจื่อก็ถามว่า “หงจินไปไหน?”
ไป๋จื่อกล่าวว่า “โดยปกติแล้วเด็กคนนี้มักอยู่ข้างกายคุณหนูตลอดเวลา แต่ตอนนี้นางน่าจะอยู่ด้านนอกเ้าค่ะ”
อวิ๋นจื่อปล่อยให้ไป๋จื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้โดยไม่ถามอะไรอีก
ทันใดนั้นหงจินก็เข้ามาพร้อมกับอาหารเช้า
อวิ๋นจื่อขยิบตาให้ไป๋จื่อเล็กน้อย
ไป๋จื่อเป็คนฉลาด นางหัวไวและมักเดาใจผู้เป็นายได้อย่างถูกต้องแม่นยำ นางจึงรีบขออนุญาตอวิ๋นจื่อออกไปเก็บดอกไม้
ทันทีที่ไป๋จื่อจากไป อวิ๋นจื่อก็ถามหงจินว่า “หงจิน เ้าอยู่กับข้ามานานแค่ไหนแล้ว?”
หงจินที่กำลังตักโจ๊กให้อวิ๋นจื่อตอบว่า “ข้าอยู่กับคุณหนูมาจะเกือบปีแล้วเ้าค่ะ”
อวิ๋นจื่อยิ้ม “จริงสิ กว่าจะรู้ตัวก็ผ่านมาเกือบปีแล้วสินะ แล้วเ้ารู้จักหอจุ้ยฮวนได้อย่างไร?”
หงจินตอบว่า “ข้าเคยเล่าให้คุณหนูฟังแล้วนะเ้าคะ ข้าเข้าไปเป็สาวใช้ที่หอจุ้ยฮวนได้เพราะความช่วยเหลือจากนายหญิงแห่งศาลาฉีอวิ๋น เหตุใดคุณหนูถึงถามเื่นี้หรือเ้าคะ?”
อวิ๋นจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “จริงสินะ นี่คงเป็เหตุผลที่เ้ากับสาวใช้ของนายหญิงถึงดูสนิทสนมกันดี”
น้ำเสียงของนางเ็าอย่างไม่เคยเป็มาก่อน
เมื่อครั้งที่นางอยู่ในวัง สิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือบ่าวรับใช้ที่ทรยศนายของตน ตอนนี้นางกลับตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าวเสียแล้ว
ที่ผ่านมานางมักเกลี้ยกล่อมตนเองว่าหงจินเป็คนของนาง
แต่ถ้าหงจินไม่ได้ไปพบสาวใช้ของนายหญิงแห่งศาลาฉีอวิ๋น หวังฉีอวิ๋นคงไม่มาหาอวิ๋นจื่ออย่างกระทันหัน อวิ๋นจื่อไม่สงสัยไป๋จื่อและหงหลิงเพราะทั้งคู่มักป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวนางเสมอ เช่นนั้นความเป็ไปได้เดียวคือหงจิน
อันที่จริงหงจินคือคนสุดท้ายที่นางคิดว่าจะทรยศ
ตอนที่อวิ๋นจื่อมาถึงเมืองหยงโจวครั้งแรก สาวใช้ตัวน้อยผู้ซื่อสัตย์คนนี้ก็ติดตามนางตลอดเวลา แม้ว่าม่านอู่จะขอซื้อตัวแต่หงจินก็ยังยืนกรานจะอยู่เคียงข้างนาง
ั้แ่เด็กอวิ๋นจื่อไม่เคยมีเพื่อนเลย กำแพงวังนั้นให้ความรู้สึกเย็นะเื นางกำนัลในวังที่ติดตามนางล้วนไม่มีใครไว้ใจได้ ความอบอุ่นและความอ่อนโยนที่นางได้รับในวัยเด็กล้วนมาจากจินเหนียง
แต่ทั้งหมดนั้นกลับหายไปกับสายลมเสียแล้ว!
กำแพงวังที่ให้ความรู้สึกเย็นะเืไปถึงขั้วหัวใจ บัดนี้นางรู้สึกราวกับได้ััมันอีกครั้ง
หงจินก้มหน้าลงและกล่าวว่า “คุณหนู ล้วนเป็ความคิดของข้าทั้งหมด นายหญิงดีต่อข้ามากข้าจึงทนเห็นนางทุกข์ใจไม่ได้ คุณหนูกับนายหญิงนับว่าเป็คนใกล้ชิดกัน ข้าจึงทำเช่นนั้นเ้าค่ะ”
อวิ๋นจื่อลุกขึ้นตบหน้าหงจินอย่างแรงและพูดด้วยความขมขื่นว่า “เ้ารู้หรือไม่ว่าคนใกล้ชิดคือสิ่งใด? นอกจากบิดามารดาและครอบครัวของข้าแล้ว ข้าไม่มีคนใกล้ชิดเลย! แม้กระทั่งซูเจิน เย่เช่อ และคนอื่นๆ ที่ข้ารู้จักล้วนไม่ใช่คนใกล้ชิดของข้า”
การตบครั้งนี้ทำให้อวิ๋นจื่อค่อนข้างหนักใจ เพราะนางไม่เคยลงมือกับใครมาก่อน นางจึงไม่รู้ว่ามันรุนแรงเพียงใด ตลอดชีวิตที่ผ่านมานางไม่เคยโกรธใครจนต้องลงมือเอง ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่นางจะลงมือหนักแบบนี้ ใบหน้าของหงจินเป็รอยแดงอย่างเห็นได้ชัด
จู่ๆ อวิ๋นจื่อก็ร้องไห้ออกมา “หงจิน ข้าเกลี้ยกล่อมตนเองมาตลอดว่าเ้าจะไม่มีวันหักหลังข้า แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็เ้าจริงๆ เ้าทำให้ข้าผิดหวังมาก!”
หลังจากพูดจบ นางก็เดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย
เมื่อนางเดินผ่านศาลาริมน้ำ นางก็เหลือบไปเห็นคนผู้หนึ่งในชุดสีขาวบริสุทธิ์
ก่อนที่นางจะทันได้มองหน้าคนผู้นั้น นางก็ได้ยินเสียงเรียกเบาๆ ว่า “ปี้เหยียน”
เป็เย่เช่อนี่เอง
ทันทีที่นางเห็นเขา ความไม่พอใจก็หายวับไปทันที
ดวงตาของนางทอประกายอ่อนโยน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็เช่นนี้เย่เช่อก็มีความสุขเช่นกัน เขาถามว่า “เหตุใดเ้าถึงดูอารมณ์ไม่ดี? ยังไม่ได้ทานอาหารเช้าหรือ?”
อวิ๋นจื่อกล่าวเบาๆ “ไม่มีอะไรเ้าค่ะ”
เย่เช่อยิ้มและกล่าวว่า “ใบหน้าของเ้าเขียนไว้ว่าเ้าไม่มีความสุข เอาล่ะ เราไปทานอาหารที่เรือนซูเจินกันเถอะ”
การได้พบเย่เช่อทำให้อวิ๋นจื่อรู้สึกว่าความโศกเศร้าที่อยู่ในใจค่อยๆ จางหายไป
เย่เช่อโอบกอดนางเบาๆ และเดินไปที่เรือนของซูเจินพร้อมกัน
ซูเจินที่กำลังเบื่อๆ มองเห็นคนสองคนเดินเคียงคู่กันมา ด้านหลังพวกเขามีสาวใช้หลายคนถืออาหารเดินตามมา
เมื่อเห็นว่าเป็อวิ๋นจื่อ ซูเจินก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขากล่าวว่า “เหตุใดวันนี้เ้าถึงมาเร็ว?”
อวิ๋นจื่อกล่าวเบาๆ “เพราะข้ายังไม่ได้ทานอาหาร” หลังจากที่นางพูดจบ นางก็ก้มหน้าลงด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน
ซูเจินยิ้ม “เช่นนั้นก็มาทานอาหารกับพี่ชาย” ขณะที่เขาพูดก็โบกมือเบาๆ ไปด้วย เหล่าสาวใช้จึงเริ่มจัดวางอาหารที่ศาลาในสวน
ซูเจินกล่าวต่อว่า “เอาล่ะ เราไปทานกันเถอะ!”
ทันทีที่ซูเจินนั่งลง สาวใช้ก็รินสุราหมักให้เขาทันที
นับั้แ่ก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณเรือนของซูเจิน เย่เช่อยังไม่กล่าวอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ซูเจินถามว่า “เย่เช่อเ้าเป็อะไร? เหตุใดวันนี้เ้าดูเบื่อๆ?”
เย่เช่อไม่ตอบ เขาจิบสุราและกล่าวว่า “สุรานี้หมักจากอะไร? เหตุใดถึงมีรสชาติแปลกๆ?”
ซูเจินหยิบถ้วยสุราขึ้นมาจิบแล้วกล่าวว่า “นี่น่าจะเป็สุรารสอ่อนที่น้องสาวข้าชอบดื่ม พวกเ้ากินกันไปก่อนเถิด ข้าจะไปเอาสุราดีมาให้”
เย่เช่อดูร่าเริงขึ้นทันที เขากล่าวว่า “รีบไปรีบมา ข้าจะรอ”
เขายิ้มกว้างเหมือนเด็กๆ
อวิ๋นจื่ออดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้
เย่เช่อไม่รอให้ซูเจินกลับมา เขากล่าวกับอวิ๋นจื่อว่า “เช่นนั้นเ้าทานโจ๊กร้อนๆ รองท้องก่อน”
ขณะที่เย่เช่อพูด เขาก็ตักโจ๊กให้นางชามหนึ่ง นางไม่ได้ทานโจ๊กที่หงจินตักให้ ในเวลานี้จึงรู้สึกหิวนิดหน่อย
นางหยิบช้อนเล็กๆ ขึ้นมาแล้วตักโจ๊กเข้าปาก นางทานอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าโจ๊กชามนี้ดูเหมือนจะมีรสหวานและอร่อยเป็พิเศษ
เย่เช่อนั่งมองนางทานโจ๊กด้วยรอยยิ้ม หน้าตาของเขาดูตลกมาก
อวิ๋นจื่อทานไปสองสามคำ เมื่อเห็นว่าเขายังคงมองนางอยู่จึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “จ้องหน้าข้าเช่นนี้ก็อิ่มแล้วหรือ?”
ดวงตาของเย่เช่อฉายแววรักใคร่และอ่อนโยน เขากล่าวว่า “สิ่งที่เรียกว่าความงามช่างรสชาติดีเสียจริง แค่มองดูเ้าทานโจ๊กข้าก็รู้สึกมีความสุขและพึงพอใจมาก”
อวิ๋นจื่อหัวเราะและกล่าวว่า “มนุษย์ย่อมทานอาหารและดื่มเพื่อดำรงชีวิต ดูวาจาที่หวานหูของท่านสิ ไปเรียนมาจากที่ใดกัน? เป็ไปได้หรือไม่ว่าเรียนมาจากพี่ชายของข้า?”
เย่เช่อหัวเราะ “ดูเหมือนจะเป็เช่นนั้น พี่ชายของเ้าเปรียบได้กับคำกล่าวที่ว่า แม้จะอยู่ท่ามกลางบุปผานับพัน กลับไม่มีแม้แต่กลีบเดียวที่แตะต้องกาย”
อวิ๋นจื่อต้องกลั้นหัวเราะเพราะยังมีโจ๊กอยู่เต็มปาก หลังจากกลืนโจ๊กเรียบร้อยแล้วนางก็หัวเราะออกมาทันที
เมื่อเห็นท่าทางอันแสนน่ารักของนาง เย่เช่อก็รู้สึกราวกับหัวใจของเขากำลังจะละลาย
‘ข้าอยากให้เวลาในตอนนี้หยุดลงเสียจริง’
ดูเหมือนว่าเวลาที่ผ่านมากลายเป็เพียงกระดาษเปล่า มีเพียงหญิงสาวตรงหน้าเท่านั้นที่ควรค่ากับความสดใสของโลกใบนี้ ลมหนาวและหิมะที่ชายแดนกลายเป็เื่ธรรมดาไปเสียแล้ว
การได้เจอใครสักคนที่รู้สึกรักอย่างแท้จริงย่อมทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไป
อวิ๋นจื่อก็รู้สึกว่าจิตใจของนางสงบลงเช่นกัน
นางตักโจ๊กให้เขาและกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยว่า “ท่านก็ทานเสียบ้าง”
เย่เช่อพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เขาหยิบช้อนขึ้นมาและทานอย่างระมัดระวัง
ดังนั้นเมื่อซูเจินกลับมา เขาจึงเห็นคนสองคนกำลังทานโจ๊กด้วยกันเงียบๆ
ภาพตรงหน้าดูไม่น่าจะเข้ากันได้ แต่มันกลับกลมกลืนกันอย่างน่าประหลาด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้