Chapter thirty-four : Simon's punishment
อีกเพียงหนึ่งวันก็จะเป็วันคริสมาสต์อีฟแล้ว เพื่อนบ้านในละแวกคอตตอนเทลต่าง
พากันทยอยตกแต่งบ้านต้อนรับเทศกาลอย่างขยันขันแข็ง ทั้งไฟประดับหลายสีที่ถูกแขวนประดับตามต้นไม้ บ้างก็ถูกพันไว้จนกลายเป็รูปกวาง บ้างก็ถูกประดับด้วยโบว์สีแดงและกระดิ่งสีทองซึ่งเป็สัญลักษณ์ของคริสมาสต์ โดยปกติแล้วก็จะเป็เขากับคุณพ่อนั่นแหละที่คอยตกแต่งรอบบ้านและจัดตั้งต้นคริสมาสต์กลางบ้านด้วยกัน แต่เพราะเขานั่นแหละที่ไม่ได้บอกคุณพ่อและคุณแม่เื่ที่จะกลับมาบ้านในวันคริสมาสต์ ปีนี้จึงเป็ปีแรกที่เขาไม่ได้ฉลองคริสมาสต์กับคนในครอบครัวซะอย่างนั้น แต่ถึงยังไงก็ยังมีคนที่กำลังนั่งซ้อนอยู่ข้างหลังเป็เพื่อน
คริสมาสต์ปีนี้ก็คงไม่เหงาเท่าไหร่ละมั้ง
อากาศหนาวเย็นจากภายนอกบ้านแทรกผ่านเข้ามาตามช่องระหว่างประตูจนคนที่นั่งตระกองกอดกันอยู่ต้องกระชับอ้อมกอดอุ่นนั้นให้แแ่ยิ่งขึ้น ผ้าห่มผืนนิ่มที่ห่อคลุมตัวเขาทั้งคู่ยังคงทำหน้าที่ของมันได้ดีจนคนตัวเล็กต้องซุกหน้าหาความอบอุ่นจากมันอยู่เป็ระยะ วงแขนแข็งแรงโอบกอดเขาอยู่อย่างนี้ั้แ่หลังมื้อเที่ยง แพทริเซียไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะได้มานั่งกอดกับไซม่อนแบบที่คนธรรมดาทั่วไปเขาทำกันแบบนี้ ถึงในใจเขาจะกังวลเื่ที่อีกฝ่ายหนีออกมาแบบนี้อยู่ตลอดก็เถอะ แต่เพราะเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของไซม่อนนั่นแหละที่ทำให้เขาไม่อยากคิดอะไรถึงเื่ที่ยังไม่เกิดอีกต่อไปแล้วละ
หากจะให้พูดจริง ๆ แพทริเซียก็ยังไม่ได้คุ้นชินกับการที่เห็นไซม่อนแต่งตัวธรรมดาและทำอะไรที่เขาไม่เคยได้เห็นหรอกนะ แต่การทำงานบ้านที่ดูงก ๆ เงิ่น ๆ ของอีกฝ่ายมันก็ทำให้เขาเอ็นดูได้เหมือนกัน การได้เห็นไซม่อนตั้งใจนั่งหยิบเสื้อผ้าตัวเองลงไปในเครื่องซักผ้าและเฝ้ารอมันอยู่อย่างนั้นทั้งที่ไม่จำเป็ก็ทำให้เขาอดยิ้มตามไม่ได้เลย เพราะทุกอย่างั้แ่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ก็แทบจะเป็ครั้งแรกของไซม่อนทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ และเขาก็ไม่แปลกใจเลย ก็อีกฝ่ายเป็ถึงทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเก่าแก่ของควินท์เรล การที่จะมีคนคอยทำทุกอย่างให้มันก็ไม่ใช่เื่แปลกเท่าไหร่นัก แต่เพราะทุกอย่างมันต่างจากเขาโดยสิ้นเชิงนั่นแหละ หากจะบอกว่ามันคือความแตกต่างก็ย่อมได้ แต่สำหรับไซม่อนนั้น สิ่งเหล่านี้มันดูเหมือนจิ๊กซอว์ส่วนที่หายไปของตัวเองซะอย่างนั้น แล้วแพทริเซียจะเถียงอะไรได้ล่ะ
ในเมื่อลึก ๆ เขาก็อยากรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน
“เราจะตั้งต้นคริสมาสต์กันไหม?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมเลื่อนมือไปกอบกุมฝ่ามือขาวไว้อย่างนุ่มนวล
“แต่พรุ่งนี้ต้องกลับแล้วนะ”
“อย่างน้อยเราก็มีเวลาตั้งหนึ่งคืนไม่ใช่เหรอ?”
เขาไม่ว่าเปล่า ไซม่อนจับมือขาวขึ้นไปถูไถแก้มออดอ้อนจนคนที่นั่งอยู่ระหว่างขาต้องเอี้ยวตัวไปมอง
“เป็อะไรไป”
“เราอยากทำทุกอย่างเหมือนจะไม่ได้ทำอีก”
“อย่าพูดเศร้าอย่างนั้น”
“ขนาดคุณยังดูกังวลใจอยู่ตลอดเลย”
“ดูออกเหรอ?”
“คุณเป็อะไรเราก็ดูออกทั้งนั้นแหละแพท”
“..”
“ถึงเราจะไม่รู้เื่อื่นแต่ถ้าเป็เื่คุณ เรามั่นใจว่าเรารู้”
ริมฝีปากอุ่นกดจูบที่หลังมือของแพทริเซียค้างไว้เรียกรอยยิ้มจากเ้าของใบหน้าหวานได้อย่างง่ายดาย จะให้บอกยังไงดีล่ะ แพทริเซียก็ไม่ใช่พวกชอบความโรแมนติกหรือรักหวานแหววในนิยายชวนฝันอะไรทำนองนั้นนักหรอก แต่พวกฉากรักในหนังที่เคยดูมาทั้งหมด ยังไม่มีการกระทำไหนที่ทำให้เขาเขินวูบวาบในท้องเท่าสิ่งที่ไซม่อนทำเลยสักนิด แพทริเซียเม้มริมฝีปากเข้าหากันก่อนจะพยักหน้ารับประโยคที่ซื่อตรงพวกนั้นก่อนจะจับกระชับเข้ากับฝ่ามืออุ่น
“งั้นเราตั้งต้นคริสมาสต์กันนะ”
“แพท”
“หือ?”
“ถึงจะบอกว่าอยากทำให้เหมือนครั้งสุดท้ายยังไงก็เถอะ”
อัลฟ่าหนุ่มกอดกระชับคนในอ้อมกอดของตัวเองพร้อมเกยคางกับไหล่เล็กจนโอเมก้าตัวขาวััได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดอยู่ที่ต้นคอจนต้องถดคอขาวหนี
“แต่เราจะไม่ยอมให้มันเป็ครั้งสุดท้ายหรอกนะ” ไซม่อนเอ่ยกระซิบเสียงแ่ที่ข้างหู ก่อนจะเป็แพทริเซียนั่นแหละที่ทนไม่ไหวจนต้องลุกหนีออกจากระหว่างขาของอีกคน แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตั้งตัวลุกขึ้นได้ก็โดนฝ่ามือใหญ่รั้งเอวลงมานั่งที่เดิมซะแล้ว
“ปล่อย”
“เขินเหรอ?”
“เราไม่ได้เขิน”
“แล้วทำไมหน้าแดงแบบนี้?” นิ้วยาวเกลี่ยแก้มใสที่กำลังแดงระเรื่อขึ้นทีละนิด
ก็จะไม่ให้หน้าแดงได้ยังไงกันล่ะ
นี่ไม่เหมือนกับไซม่อนที่เขาเคยได้รู้จักเลยสักนิด
แพทริเซียก็พอจะรู้แหละว่าไซม่อนก็เป็อัลฟ่าคนนึง แต่เพราะไซม่อนนั่นแหละที่แทบจะไม่เคยแสดงด้านนี้ให้เขาเห็น พอได้มาเจอกับตัวก็เลยทำให้เขานั่งตัวแข็งทื่อแบบที่ว่าไม่เคยเป็มาก่อนซะอย่างนั้น แล้วเขาจะไปโทษใครได้นอกจากตัวเองล่ะ ก็เล่นหลงกลหน้าลูกหมาซื่อ ๆ ของอีกฝ่ายจนลืมไปเลยว่าไซม่อนนั้นก็ต้องมีด้านนี้อยู่ด้วย
“เราร้อนเพราะคุณกอดเยอะไปนั่นแหละ”
“แล้วไม่ชอบเหรอ?”
“ปล่อยก่อน” คนตัวเล็กว่าพร้อมขยับตัวหนีเ้าของอ้อมกอดอุ่น แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่มีความหมายเพราะวงแขนแข็งแรงนั้นขืนแรงเขาเอาไว้จนแทบจะขยับตัวไม่ได้เลยสักนิด แพทริเซียจึงทำได้เพียงแค่พลิกตัวกลับไปมองหน้าอีกฝ่ายทั้งที่อยู่ในอ้อมกอดพร้อมกับใบหน้าไม่พอใจใส่
“ขอกอดก่อนไม่ได้เหรอ?”
“ไหนบอกอยากตั้งต้นคริสมาสต์ เราจะไปเตรียมของให้คุณนี่ไง”
“ขอกอดก่อน”
“เป็อะไรของคุณเนี่ยไซม่อน”
แพทริเซียบ่นอุบอิบในลำคอแต่ก็ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายโดยที่ไม่ได้ทักท้วงอะไรอีก เ้าของเส้นผมสีอ่อนเอนหัวพิงอกกว้างอย่างหมดแรง ไซม่อนเองก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา อัลฟ่าหนุ่มทำเพียงกระชับอ้อมแขนแกร่งของเขาพร้อมกับใบหน้าที่คลอเคลียอยู่ที่ลาดไหล่เล็กไม่ห่าง
เสียงลมที่พัดมากระทบหน้าต่างอยู่เป็ระยะดังคลอไปพร้อมกับเสียงจากโทรทัศน์เครื่องเล็กที่เขาทั้งคู่แทบจะไม่ได้สนใจมันเลยด้วยซ้ำ แพทริเซียปล่อยให้ไซม่อนกอดตัวเองอยู่อย่างนั้นอยู่ร่วมชั่วโมง กลิ่นไม้สนที่เขาชอบกำลังโอบกอดจนทำให้เกือบลืมเื่ที่รู้สึกกังวลไปแทบจะทั้งหมด ดวงหน้าหวานขยับซุกกายกับร่างหนาที่กำลังเป็ฐานโอบรัดทั้งตัวของเขาอยู่ด้วยความสบายใจ ถึงมันจะดูติดขัดอยู่บ้างเพราะนี่ก็เป็ครั้งแรกของเขาทั้งคู่ที่ทำอะไรแบบนี้ด้วยกัน และเขาก็รู้สึกถึงความเกร็งของเราทั้งคู่ได้เพราะมันไม่มีทางที่จะปกปิดได้มิดเลยสักนิด แต่มันก็ใช้เวลาเพียงไม่นานที่จะทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายกับกลิ่นของกันและกันราวกับว่านี่เป็สิ่งที่เขาตามหามานานและสุดท้ายมันก็ถูกเติมเต็มด้วยอีกฝ่าย
เหมือนได้เจอชิ้นส่วนที่หายไปยังไงอย่างนั้นเลย
แพทริเซียไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่พวกเขาเอาแต่กอดรั้งกันอยู่แบบนั้น จนมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วนั่นแหละ แสงแดดอ่อนที่เคยสาดเข้ามาตามหน้าต่างกลับกลายเป็ไฟสลัวจากข้างนอกแทน เสียงลมหายใจหนักที่ผ่อนเข้าออกอยู่ข้างหูทำให้แพทริเซียรู้สึกตัวว่าตัวเองยังคงนอนเอนทับร่างหนานั้นมาตลอด คนตัวเล็กยกมือขึ้นขยี้ตาไล่ความง่วงก่อนจะต้องชะงักเมื่อเผลอเงยหน้าขึ้นไปสบเข้ากับั์ตาคมที่กำลังจดจ้องมาท่ามกลางความมืด
“ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงทุ้มติดแหบเอ่ยถามขึ้น
“อื้อ คุณได้นอนหรือเปล่า? เราหลับแบบไม่รู้ตัวเลย”
“หลับหลังจากคุณหลับไปนิดหน่อยนั่นแหละ แล้วก็ตื่นเมื่อสักพักใหญ่”
“ตื่นแล้วทำไมไม่ปลุกเรา เรานอนทับคุณตั้งนานเนี่ย”
“เราแค่อยากตื่นมามองตอนคุณหลับบนตัวเรา”
“..”
“มันเหมือนกับว่า.. คุณเป็ของเราเลย”
แพทริเซียกลั้นหายใจทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ เ้าของเสียงทุ้มพูดประโยคแบบนั้นออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยผิดกับคนฟังอย่างเขาที่ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาทั้งที่แค่ฟังประโยคเ่าั้เพียงแค่นั้น
“พูดอะไรของคุณ”
“ก็เรารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ”
“ไม่ฟังแล้ว เราจะไปเตรียมมื้อเย็น” คนตัวเล็กขืนตัวเองออกจากอ้อมกอดอุ่นก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งตัว แพทริเซียรีบหนีจากห้องรับแขกด้วยความเร่งรีบแต่ก็อดอมยิ้มกับเสียงโอดครวญที่ตามมาหลังจากนั้นไม่ได้ ทันทีที่เขาหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์ตัวยาว ฝ่ามือเล็กเลื่อนขึ้นทาบทับที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมา เสียงของหัวใจที่กำลังทำงานหนักดังก้องอยู่ในหูของโอเมก้าตัวขาว และประโยคแสนซื่อเ่าั้ของไซม่อนก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวจนหูเล็กแดงก่ำ จู่ ๆ ััที่ริมฝีปากในคืนก่อนหน้าก็ชัดขึ้นมาจนเขาต้องยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากของตัวเองไว้ แพทริเซียสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองออกไปก่อนที่ไฟทั้งบ้านจะถูกเปิดขึ้นด้วยฝีมือของอัลฟ่าตายิ้มที่กำลังก้าวเดินเข้ามาหาเขา และนั่นก็เป็ครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่แพทริเซียไม่สามารถสบตากับไซม่อนแม้เขาจะต้องช่วยกันทำอาหารก็ตาม
มื้อเย็นในคืนก่อนคริสมาสต์อีฟของพวกเขาจบลงด้วยพาสต้าง่าย ๆ ที่ไซม่อนเป็คนเอ่ยปากขอว่าจะลงมือทำเมนูนี้เอง ในตอนแรกแพทริเซียก็ไม่ได้เชื่อใจอีกฝ่ายเท่าไหร่นักหรอกแต่พอได้เห็นแววตามุ่งมั่นนั้นก็ไม่ได้คัดค้านอะไรอีกฝ่ายไปและก็กลายเป็เขานั่นแหละที่คอยอ่านสูตรพร้อมกับส่งนั่นนี่ให้เชฟฝึกหัดที่ยังไม่ถนัดอะไรเท่าไหร่นักแต่สุดท้ายมันก็ออกมาดูดดีกว่าที่พวกเขาคิด และสุดท้ายมื้อเย็นก็ผ่านไปได้ด้วยดีอีกมื้อนั่นแหละนะ
เขาและไซม่อนใช้เวลาแค่ไม่นานในการอาบน้ำ จากในตอนแรกที่แพทริเซียเอาแต่แกล้งทำเป็ลืมสิ่งที่พูดกับอีกคนไว้จนอัลฟ่าหน้าซามอยด์ไปนั่งคอตกอยู่ที่ปลายเตียงอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็เป็เขาอีกนั่นแหละที่ต้องไปตามง้อจนอีกฝ่ายยอมคุยด้วย เราทั้งคู่ก็มานั่งกันอยู่ที่พื้นห้องรับแขกใน่เวลาเกือบห้าทุ่มเข้าแล้ว ต้นคริสมาสต์ต้นใหญ่ที่ถูกเก็บไว้ในลังอย่างดีกำลังถูกรื้อชิ้นส่วนออกมาทีละนิดด้วยฝีมือของเ้าของบ้านที่เป็คนเก็บมันเมื่อปีที่แล้ว ถึงแพทจะไม่ค่อยชินกับการที่ได้ประกอบต้นคริสมาสต์กับคนอื่นนอกจากคุณพ่อเท่าไหร่นัก แต่พอได้เห็นแววตาที่ดูออกจะตื่นเต้นเป็พิเศษของไซม่อนก็ทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้เลยสักนิด
เสียงเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงดังคลออยู่เป็ระยะ บทสนทนาเจื้อยแจ้วของเขาและไซม่อนที่ผลัดกันเล่าเื่คริสมาสต์ใน่ชีวิตที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้หยุดลงแม้ต้นคริสมาสต์และไฟประดับจะถูกติดตั้งเสร็จแล้วก็เถอะ ดวงตากลมโตมองสำรวจต้นคริสมาสต์ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม คริสมาสต์เป็เทศกาลที่เขาชอบมากที่สุดมาตลอด แม้เขาจะไม่ชอบสุงสิงกับผู้คนและชอบพวกเทศกาลเท่าไหร่นัก แต่คริสมาสต์ก็มักจะเป็ข้อยกเว้นของเขาอยู่เสมอนั่นแหละ
สองขาเรียวชันขึ้นและถูกกอดรัดไว้ด้วยแขนของตัวเอง เ้าของใบหน้าหวานใช้คางเกยไว้ที่เข่าพร้อมมองไฟประดับที่กะพริบเป็จังหวะชวนให้หลงใหล ในตอนนี้บทสนทนาของเขาและไซม่อนหยุดลงแล้ว มีเพียงแค่เสียงเพลงและเสียงหายใจของเขาทั้งคู่เท่านั้น อัลฟ่าหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกันก็ทำเพียงแค่ขยับมาใกล้และไม่ได้ััอะไรเขาเลยสักนิด เราทั้งคู่ต่างตกอยู่ในภวังค์และบรรยากาศของคริสมาสต์ที่กำลังแทรกซึมความอบอุ่นเข้ามาในฤดูกาลที่กำลังหนาวจัดอยู่ข้างนอกในตอนนี้
กุ๊ก กู.. กุ๊ก กู..
เสียงเตือนของนาฬิกาบ่งบอกว่าเป็เวลาเที่ยงคืนเข้าแล้ว แต่ยังไม่ทันที่แพทริเซียจะได้เอ่ยอะไรขึ้นมา เสียงทุ้มที่ดังอยู่ข้างหูก็ต้องทำให้เขาชะงักนิ่งไปครู่นึง
“It’s Christmas eve, and I’m so happy to be here with you”
“..”
“ขอบคุณนะ”
เ้าของใบหน้าหล่อเหลาผละห่างออกจากเขาทันทีที่พูดจบ แพทริเซียทำได้แค่เพียงพยักหน้าหงึกหงักรับคำขอบคุณจากอีกคนทั้งที่ยังไม่ได้หันหน้าไปมองอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ โอเมก้าตัวขาวนึกอยากจะหงุดหงิดตัวเองบ้างเหลือเกินที่เอาแต่เขินอายคนข้างกายอยู่ทั้งวันแบบนี้แต่เมื่อนึกได้ว่าคืนนี้อาจจะเป็คืนสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่กับอีกฝ่ายในฐานะคนธรรมดาแบบนี้ก็ทำให้เขาตัดสินใจเอ่ยอะไรบางอย่างขึ้นมาแทนที่จะเงียบไว้อยู่อย่างนี้
“เรายินดี”
“หืม?” ไซม่อนเงยหน้าขึ้นมามองท่ามกลางแสงไฟสลัวทันที
“เรายินดีที่มีคุณอยู่ตรงนี้แล้วเราก็มีความสุขมาก ๆ เหมือนกัน”
“..”
“ขอบคุณนะไซม่อน”
ทันทีที่แพทริเซียเอ่ยจบ โอเมก้าตัวเล็กก็ยื่นหน้าไปกดปลายจมูกสวยย้ำที่ข้างแก้มของคนที่กำลังนั่งยิ้มอยู่โดยไม่ให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว และกว่าที่ไซม่อนจะตั้งสติได้ แพทริเซียก็วิ่งหนีไปทิ้งให้เขาเอาแต่นั่งยิ้มอยู่แบบนั้น เ้าของั์ตาคมเงยหน้าไปมองที่ยอดต้นคริสมาสต์ด้วยความคิดบางอย่าง เขาใช้เวลาอยู่ครู่นึงก่อนจะถอดแหวนประจำตระกูลของตัวเองร้อยเข้ากับด้ายสีทองที่ถูกวางไว้ในกล่องตรงหน้า เขาไม่รู้หรอกว่าคำอธิษฐานในคืนคริสมาสต์จะมีจริงเหมือนที่ในนิยายบอกบ้างไหม แต่สุดท้ายด้ายที่ร้อยแหวนสีเงินประดับมรกตก็ถูกคล้องเข้ากับดาวที่อยู่บนยอดต้นคริสมาสต์พร้อมคำอธิษฐานของเขาที่ถูกฝากไว้
- Simon’s theory -
ค่ำคืนคริสมาสต์อีฟผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย เสียงรถยนต์คันหรูของบ้านแมคคอยด์ที่มาจอดที่หน้าบ้านในตอนเช้ามืดทำคนที่ยิ้มกว้างมาตลอดทั้งสองวันหน้าบูดลงอย่างไม่สบอารมณ์ทันที ยังไม่ทันที่เ้าตัวจะได้เอ่ยต่อรองอะไรกับเพื่อนสนิทเหมือนที่เตรียมไว้ก่อนจะเข้านอน ไซม่อนก็ถูกเจซผลักเข้าไปในรถพร้อมกับคนตัวเล็กที่โดนผลักเข้าไปเหมือนกัน แพทริเซียไม่เข้าใจเท่าไหร่นักว่าทำไมเจซถึงดูรีบนักหนาแต่พอเขายื่นหน้ามากระซิบเหตุผลก็ทำให้เขาปิดปากเงียบทันที
ความแตกต่างของการเดินทางในขามากับขากลับนั้นมันช่างแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเหลือเกิน ไม่ใช่แค่ไซม่อนหรอกที่เอาแต่ทำหน้าซังกะตายแบบนั้น แต่เขาที่เคยรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่จะได้เดินทางกลับไปคฤหาสน์ควินท์เรลก็กลับใจเฉาลงจนรู้สึกได้ แม้เขาและไซม่อนจะใช้เวลาเพียงแค่สองวันในการอยู่ที่คอตตอนเทล และเราทั้งคู่แทบจะไม่ได้ออกจากบ้านเลยด้วยซ้ำแต่ความสุขที่มีมันกลับท่วมท้นเสียจนเขาไม่รู้เลยสักนิดว่าไซม่อนจะรู้สึกอย่างไรหากต้องกลับไปโดนขังในคฤหาสน์แบบนั้นอีก ถึงจะรู้สึกสงสารอีกฝ่ายมากเท่าไหร่แต่ในตอนนี้การกลับคฤหาสน์ควินท์เรลให้เร็วเท่าที่จะทำได้นั้นก็เป็ผลดีกับไซม่อนที่สุด สิ่งที่เจซกระซิบทำแพทริเซียที่นั่งอยู่บนรถต้องคอยมองตามกระจกมองหลังอย่างกระวนกระวาย
เพราะในตอนที่เขาสองคนกำลังมีความสุขอยู่ในบ้านหลังเล็กนั้น
มีกลุ่มคนเฝ้ามองไซม่อนและแพทริเซียอยู่ข้างนอกตลอดทั้งสองวัน
และคนเ่าั้ก็คงไม่พ้นคนของบ้านอีแวนส์อยู่ดี
เวลาผ่านพ้นไปร่วมสองชั่วโมงในการเดินทางขึ้นมาถึงคฤหาสน์ควินท์เรล ไซม่อนที่ก้มหลบอยู่เบาะหลังถูกปกคลุมด้วยผ้าห่มผืนเล็กของแพทริเซียเหมือนในตอนที่พวกเขาออกไป และก็เป็อีกครั้งที่พวกเขาทั้งสามคนผ่านเข้าประตูรั้วบ้านควินท์เรลไปได้อย่างง่ายดาย
รถยนต์คันหรูถูกดับเครื่องลงที่หน้าคฤหาสน์ในตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้า อัลฟ่าเ้าของดวงตาสองสียกมือขึ้นปรามพวกเขาให้รอบนรถก่อนอีกฝ่ายจะก้าวลงจากรถไปและพูดคุยกับสาวใช้ที่รออยู่ข้างนอกเพื่อดึงความสนใจให้ไซม่อนแอบหลบหนีกลับเข้าไปโดยที่จะไม่มีใครได้พบเห็น โอเมก้าตัวเล็กแสร้งทำเป็ลงจากรถก่อนจะส่งสัญญาณให้คนที่หลบอยู่ใต้ผ้าห่มรู้ตัวก่อนจะค่อย ๆ ย่องหลบหนีจากประตูอีกฝั่งที่มีคนขับรถของเจซรู้เห็นเป็ใจอยู่ ในจังหวะที่เจซและแพทริเซียกำลังจะโล่งใจที่ได้เห็นไซม่อนแอบย่องไปถึงพุ่มไม้หน้าคฤหาสน์ แต่แล้วจู่ ๆ พวกเขาทั้งสามคนรวมถึงคนขับรถของแมคคอยด์ก็ต้องชะงัก
“ไซม่อน!” เสียงทุ้มแหบของคุณมาร์คัสที่เรียกระบุชื่อทายาทควินท์เรลทำเขาใจนตัวแข็งทื่อ ใบหน้ารู้สึกถึงความชาขึ้นมาทันที และเจซที่ยืนอยู่ข้างกันก็ไม่ได้ต่างจากเขาเท่าไหร่นัก อีกฝ่ายหลับตาลงข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมาจนเขาได้ยิน สิ่งที่พวกเขาไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุด สุดท้ายก็เกิดขึ้นจนได้
“สวัสดีครับคุณอามาร์คัส” เจซเดินมาขวางหน้าผู้าุโตรงหน้าก่อนจะพยักพเยิดหน้าให้โอเมก้าตัวขาวที่กำลังยืนตัวแข็งอยู่ไปดูไซม่อนที่ยืนหันหลังเม้มปากเงียบอยู่ข้างพุ่มไม้ด้วยความใ ขาเรียวก้าวยาวเข้าไปหาอัลฟ่าตัวโตทันที แพทริเซียทำเพียงแค่แตะมือไปที่แขนแกร่งนั้นก่อนจะใช้นิ้วโป้งไล้ลูบแ่เบาเหมือนที่อีกฝ่ายเคยทำในตอนที่อยากปลอบกัน
“ไม่เป็ไร ไม่ต้องกลัวนะ” แพทริเซียเอ่ยเสียงสั่นจนไซม่อนหันกลับมามอง
“อย่า อย่ารับผิดแทนเรา”
“ไซม่อน”
“เราเป็คนต้นคิด เราจะเป็คนรับผิดทั้งหมด”
“เราจะรับผิดชอบด้วยกัน เราจะไม่ยอมให้คุณรับผิดไว้คนเดียวแบบนั้น”
ยังไม่ทันที่แพทริเซียจะได้พูดอะไรต่อ เสียงตวาดของคุณอามาร์คัสก็ดังขึ้นอีกครั้ง และเมื่อเขาหันกลับไปก็พบว่าคุณอาไม่สนใจเจซที่พยายามจะอธิบายอะไรและกำลังเดินตรงมาที่พวกเขา
“ไซม่อน”
“ครับ” เสียงทุ้มขานรับทันทีพร้อมกับก้มหน้าลง
“คิดว่าอาโง่หรือไง? ถึงแอบหนีออกจากคฤหาสน์ไปแบบนั้น”
“..”
“ตอบ!” เสียงตะคอกจากคุณอาดังขึ้นอีกครั้งทำไซม่อนและแพทริเซียสะดุ้งไปตาม ๆ กัน
“เปล่าครับ ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย”
ดวงตากลมโตเหลือบไปมองฝ่ามือหนาที่กำลังกอบกุมเข้ากันอย่างคนรู้สึกผิดแล้วก็สงสารจับใจ แต่ถ้าหากเขาจะพูดอธิบายอะไรไปตอนนี้ก็คงไม่ใช่ผลดีกับไซม่อนอย่างแน่นอน โอเมก้าตัวขาวยืนก้มหน้าอยู่ข้างอีกฝ่ายเงียบ ๆ ทั้งที่ในใจอยากจะเอื้อมมือไปจับมือที่กำลังสั่นเทาคู่นั้นใจจะขาด แต่สุดท้ายเขาก็ทำไม่ได้
“คิดอะไรอยู่ถึงออกไปแบบนั้น?”
“ผมแค่.. อยากไปเที่ยวข้างนอกดูสักครั้ง”
“แล้วไม่คิดบ้างหรือไงว่าข้างนอกมันอันตรายแค่ไหน หรือคิดถึงแต่ความสุขของตัวเองจนลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็ทายาทควินท์เรล?”
“..”
“อาไม่คิดเลยนะว่าหลานจะเป็คนที่เห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้”
ขนาดแพทริเซียที่ไม่ใช่คนที่ถูกต่อว่าโดยตรง เขาก็ยังแอบสะอึกกับประโยคทิ่มแทงที่ออกมาจากคนในครอบครัวของไซม่อน ฝ่ามือใหญ่ที่เคยกอบกุมเข้าหากันกลับกลายเป็ฝ่ามือที่กำลังบีบเข้าหากันแน่นจนแพทริเซียทนไม่ไหวต้องเอื้อมมือไปแตะเบา ๆ ให้อีกฝ่ายคลายแรงบีบลง
“หรือเป็เพราะเธอล่ะคุณมอร์แกน?”
“ครับ?” ใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้าุโตรงหน้า สรรพนามที่เปลี่ยนไปพร้อมกับแววตาที่กำลังเต็มไปด้วยความโกรธของคุณมาร์คัสทำแพทริเซียต้องเม้มปากเข้าหากันแน่นด้วยความสั่นกลัว ตอนนี้เขาแทบจะลืมภาพคุณอาที่ใจดีกับเขาั้แ่วันแรกที่ก้าวเข้ามาในคฤหาสน์ควินท์เรลไปแล้วด้วยซ้ำ
“อาครับ มันไม่เกี่ยวกับแพ-”
“เงียบ” เสียงทุ้มแหบกดเสียงต่ำทันทีที่ไซม่อนพยายามจะเอ่ยแทรก
“เธอพาไซม่อนออกไปใช่ไหม?”
“คือ..”
“ทั้งหมดมันเป็ความคิดของเธอใช่ไหม?”
“ครับ ทั้งหมดเป็ความคิดของผมเอง”
หากนี่เป็สิ่งที่เขาพอจะทำให้คนอย่างไซม่อนได้
เขาก็พร้อมจะทำ
อย่างน้อยแค่ไซม่อนจะไม่ต้องเจออะไรที่มันหนักหนาไปมากกว่านี้ก็พอแล้วละ ถึงแม้ไซม่อนอยากจะเอ่ยปากปฏิเสธมากแค่ไหนแต่สายตาดุของคนตรงหน้าก็ทำให้เขาต้องเงียบเหมือนอย่างที่เคยเป็มาตลอด เขารู้ดีว่าในตอนนี้พวกเขากลายเป็คนที่ทำผิดและเขาก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธหรือหนีความจริงอะไรเลยสักนิด แต่เพราะความหวาดกลัวที่ไซม่อนกำลังมีอยู่ทำให้เขาไม่ได้รู้สึกอย่างนิ่งเฉยกับเื่นี้เท่าไหร่นัก อีกฝ่ายไม่เคยเล่าในมุมนี้ของที่บ้านควินท์เรลให้เขาได้ฟังเลยสักนิดจนตอนนี้แพทริเซียเริ่มมีความสงสัยในใจขึ้นมานิดหน่อยแล้วละ ว่าก่อนหน้านี้คนข้างกายจะเคยพบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้มาบ้างหรือเปล่า
“เก็บข้าวของออกซะ”
“ครับ?”
“ในฐานะผู้ปกครองของไซม่อน ฉันขอให้เธอออกจากคฤหาสน์ควินท์เรลภายในวันพรุ่งนี้ ส่วนเื่อื่น ๆ ฉันจะให้คุณเจมส์จัดการให้ทั้งหมด”
“อาครับ อย่าไล่แพทออกเลยนะครับ” ไซม่อนเอ่ยขึ้นทั้งที่เสียงยังสั่นอยู่
“ทำไมอาจะไล่ออกไม่ได้ ในเมื่อเขาพาหลานไปเสี่ยงกับอะไรไม่รู้ข้างนอก”
“แต่อาครับ”
“เงียบซะไซม่อน เพราะหลานก็ต้องถูกลงโทษเหมือนกัน”
และยังไม่ทันที่คุณมาร์คัสจะได้พูดอะไรต่อ เสียงแหบของผู้หญิงที่ทุกคนต่างต้องรีบก้มหัวทันทีที่ได้ยินก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏกายของคุณหญิงแห่งควินท์เรลที่ทำให้ไซม่อนคว้าจับมือของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัวและดึงมือของเขาให้วิ่งไปหาท่านพร้อมกัน
“จะไม่มีใครไล่ใครได้ทั้งนั้น หากจะมีใครถูกไล่ก็จะต้องเป็ฉันเท่านั้นที่ไล่ได้”
“..”
“คนอื่นไม่มีสิทธิ์”
- Simon’s theory -