เหล่าทหารลาดตระเวนยังจากไปไม่ไกลนัก
จ้งเยียนยังนั่งอยู่ หันไปก็เห็นว่าแส้หางม้าของตนกำลังขยับไปขยับมาราวกับกระรอกตัวหนึ่ง วิ่งไปวิ่งมาก่อนจะค่อยๆ หายไปด้านหลัง
ไม่นานนักก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากพุ่มดอกไม้
จ้งเยียนได้แต่ตีหน้าขรึม จะยิ้มก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก
ลูกหลานบ้านใครกันหนา ช่างแสนซนจริงๆ
ทว่าเฉินโย่วกลับไม่ได้ตั้งใจจะเล่นซน
นางเพียงแค่กระทุ้งหลังเขาเพื่อเตือนไม่ให้เขาเผยความลับเท่านั้น
ที่นางหยิบแส้หางม้าของเขามาก็เพราะพบว่ามันใช้ดีนัก หากว่าเกิดความแตกขึ้นมา เ้านี้ก็ดูถนัดมือดี สามารถใช้เป็อาวุธตีหน้าคนพวกนั้นได้
เฉินโย่วเคยผ่านาครั้งใหญ่บนทุ่งหญ้ามาก่อน
ประสาทััต่อความเป็ความตายจึงแกร่งกล้ายิ่ง
ทว่าจ้งเยียนกลับไม่มี แม้ยามที่จ้งเยียนยังอยู่ในตระกูลจ้งจะเคยได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจมาบ้าง แต่จะว่าไปแล้วก็ยังนับว่าชีวิตค่อนข้างราบรื่น
แม้ว่าหลังจากเข้ามาอยู่ในวังหลวงแล้วจะเจออุปสรรคอยู่บ้าง ทว่าก็ยังไม่เคยประสบกับคมหอกคมดาบที่พุ่งเข้ามาหมายจะเอาชีวิตซึ่งหน้าเลยสักครา
ทุกเื่ที่เกิดขึ้นล้วนแต่มีเวลาพอให้เขาได้ขบคิดสักพักหนึ่ง
เช่นนี้เขาจึงได้รู้สึกว่าเ้าเด็กตรงหน้าช่างแสนซน
รอจนเหล่าทหารยามเดินจากไปไกลแล้ว จ้งเยียนจึงเพิ่งจะหมุนกายกลับมา
เขาเพิ่งจะได้ตั้งใจมองเด็กชายตรงหน้าจริงๆ
เด็กชายยังมีแก้มยุ้ยแบบเด็กๆ ใบหน้าจึงค่อนข้างอวบอิ่ม ผิวขาวกระจ่างใส องคาพยพทั้งห้าสมมาตรกัน คิ้วสองข้างค่อนข้างหนา ดวงตางดงามเป็ประกาย ใบหน้างามดูไปแล้วก็คล้ายกับสตรี ทว่าก็งดงามเกินใครอยู่ดี
เพียงแค่มองท่าทางของเขาก็พอจะรู้ได้ว่าจะต้องเป็เด็กร่าเริงแจ่มใส ไม่อาจนั่งนิ่งได้นานอย่างแน่นอน
“เ้าเป็ลูกหลานตระกูลใดกัน” จ้งเยียนถามขึ้น
“ตระกูลหลัว” เฉินโย่วคิดถึงป้ายใหญ่หน้าจวน อีกทั้งในบ้านคนที่ใหญ่ที่สุดย่อมต้องเป็น้าหลัวของนางอยู่แล้ว กระทั่งท่านลุงสามก็ยังต้องฟังนาง
จ้งเยียนพยักหน้าเบาๆ หากเป็ลูกหลานตระกูลหลัวก็ไม่นับว่าแปลกอะไร คนตระกูลหลัวล้วนแล้วแต่หน้าตาดี
ทั้งตระกูลหลัวยังนับว่าเป็ตระกูลขุนนางที่สำคัญในราชสำนัก ทั้งยังเหมือนว่าพระสนมหรงก็เป็คนตระกูลหลัวเช่นกัน ทว่าก็ไม่รู้เช่นกันว่าเ้าเด็กนี่จะเป็ลูกหลานสายใดของตระกูลหลัว เขาเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“วังหลวงไม่ใช่สถานที่ให้วิ่งเล่น ต่อไปห้ามเ้าปีนกำแพงเช่นนี้อีก”
“ขอบคุณท่านมากที่เมื่อครู่ช่วยข้าปิดบัง” เฉินโย่วพยักหน้ายอมรับอย่างอายๆ มองดอกไม้ที่ปลูกอยู่รอบๆ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ท่านเป็คนดีคนหนึ่ง ทว่าดอกไม้นั่นห้ามท่านกินเด็ดขาด มันมีพิษ”
จ้งเยียนเพิ่งจะคิดออกว่าประโยคแรกที่เ้าเด็กคนนี้กล่าวก็คือ ดอกไม้นี่มีพิษ
จ้งเยียนขมวดคิ้วน้อยๆ เขาไม่เชื่อ
นี่เป็ดอกไม้ที่องค์หญิงใช้ทำเครื่องหอม อีกทั้งในสวนของพระสนมเอกเล่อก็มีดอกไม้ชนิดนี้
ตอนนั้นพระสนมเล่อยังหันมาถามเขาว่าดอกไม้ชนิดนี้เป็อย่างไร
เขายังตอบนางว่าดีมากอยู่เลย
เพราะเขาเองก็ชอบดอกไม้ชนิดนี้มากเช่นกัน
เฉินโย่วเห็นว่าอีกฝ่ายถึงกับไม่ยอมเชื่อนาง ทั้งที่วาจาของนางคนในบ้านล้วนแต่ไม่เคยสงสัยซักไซ้ต่อ
นางจึงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์อีกว่า “หากท่านไม่เชื่อก็ลองเด็ดใบของมันสักสี่ห้าใบแล้วลองให้หนูลองกินดู พวกมันกัดไปคำแรกก็คงจะตายแล้ว”
ดอกไม้ชนิดนี้บนทุ่งหญ้าก็มีเช่นกัน เพียงแต่ต้นของมันไม่สูงนัก งอกขึ้นเป็พุ่มเตี้ยๆ เท่านั้น เหล่าท่านลุงบนูเายังชอบใช้มันมาทำเป็กับดักล่าสัตว์อยู่บ่อยๆ
จ้งเยียนมองหน้าเด็กชายตรงหน้า ใบหน้ามีแววไม่ยอมแพ้ ความคิดทั้งหมดของเขาราวกับได้แสดงออกทางสีหน้าทั้งหมดแล้ว มองดูแล้วก็ช่างใสซื่อ
ทำให้เขารู้สึกเชื่อคำพูดของเ้าเด็กนี่ขึ้นมา
ทว่าหากที่เด็กชายพูดเป็ความจริง เขาก็พลันคิดถึงดอกไม้ในสวนของพระสนมเล่อขึ้นมา ใบหน้างามพลันซีดเผือด
เฉินโย่วเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าอึ้งค้างไปแล้ว เ้าเด็กอ้วนป่านนี้ก็คงจะเป็กังวลแล้วเช่นกัน นางเองก็ไม่คิดว่าจะมาเจอทหารเช่นนี้ ท่าทางคนพวกนั้นก็ดูอันตรายไม่เบา
ยามนี้นางจึงเตรียมจะหมุนกายจากไปเสียที
นางยกแส้ในมือขึ้น ก่อนจะะโแล้วตวัดแส้ขึ้น้า
เมื่อกระทบกับแสงแดด แส้เส้นนั้นก็ส่องแสงสีฟ้าอ่อนๆ
สีฟ้าของแส้พลันดึงสติของจ้งเยียนที่หลุดลอยไปให้กลับมา
“เชือกนี่เ้าได้มาจากที่ใดกัน”
“ท่านอาจารย์มอบให้ข้า” เฉินโย่วไม่ได้โอ้เอ้ รีบปีนตามแนวเชือกขึ้นไปบนกำแพงทันที
ท่านอาจารย์หรือ จ้งเยียนได้ยินเช่นนั้นก็ดวงตาเป็ประกาย
บอกไม่ถูกเช่นกันว่าเขารู้สึกดีใจหรือเสียใจ
นั่นเป็เชือกของท่านอาจารย์ ยามนี้ท่านอาจารย์มีศิษย์คนใหม่แล้ว ทั้งยังหมายความว่าท่านอาจารย์กลับมาแล้ว
“ท่านอาจารย์ของเ้าสบายดีไหม”
เฉินโย่วที่อยู่ดีๆ ก็ได้ยินว่าเด็กหนุ่มถามถึงท่านอาจารย์ของตนเช่นนี้ก็ซวนเซไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “สบายดีมากๆ ท่านอาจารย์ทุกวันต้องได้กินข้าวสามมื้อ ทุกมื้อยังต้องมาแย่งเนื้อกับข้า”
จ้งเยียนพลันงุนงง คนที่เ้าเด็กที่กำลังปีนขึ้นไปบนกำแพงคนนั้นพูดถึงคือท่านอาจารย์จริงๆ หรือ
ท่านอาจารย์ทานอาหารเจอยู่ตลอดนี่
จ้งเยียนพลันนึกสงสัย เด็กชายเล่าได้เห็นภาพชัดเจนถึงเพียงนี้ เขาคิดภาพออกกระทั่งยามที่ท่านอาจารย์แย่งกันกินเนื้อกับเ้าเด็กนี่
“ข้าขอทราบนามท่านอาจารย์ของเ้าได้หรือไม่” จ้งเยียนที่ยืนอยู่ที่มุมกำแพงเงยหน้าถาม
“ไม่ได้ ท่านอาจารย์บอกว่านามของเขาน่าขายหน้ายิ่งนัก จึงไม่ให้ข้าเอ่ยออกมา ข้าไปก่อนล่ะ ไว้เจอกันใหม่” เฉินโย่วปีนขึ้นมาจนถึงขอบกำแพง ก่อนจะโบกมือให้เด็กหนุ่มด้านล่างแล้วพลิกกายจากไป
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากข้างนอก จ้งเยียนก็พอจะคิดท่าทางยามจากไปของเด็กชายได้
จ้งเยียนยืนมองกำแพงวังสูงลิ่วอีกครู่หนึ่ง
เมื่อหันกลับมาก็เห็นพุ่มไม้ที่หักพังจนยุ่งเหยิง
เขาจึงเก็บใบ และดอกของมันมาแล้วจึงกลับไปยังตำหนักที่ตนอยู่
……
“พี่โย่ว ท่านเห็นอะไรบ้าง ท่านเข้าไปนานเหลือเกิน ทำเอาข้าใแทบแย่” แสงตะวันเริ่มคล้อยต่ำสาดลงบนเชิงกำแพง
ครึ่งหนึ่งเป็เงา ครึ่งหนึ่งเป็แสงตะวัน
เด็กชายร่างอวบอ้วนเงยหน้าถาม
เฉินโย่วสะบัดผมที่ร่วงลงมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างปวดใจ “ข้าพบคนโง่คนหนึ่ง ทั้งยังเกือบจะถูกจะจับได้อีก”
“ในวังมีทหารยามคอยลาดตระเวนอยู่มากมาย ท่านอยากจะเข้าไปหาอะไรหรือ”
เฉินโย่วส่ายหน้า
นางไม่ได้อยากหาอะไร เพียงแค่นึกสงสัยเท่านั้น
“ช่างมันเถิด พวกเรารีบกลับกัน รีบฉวยโอกาสตอนที่ท่านน้าของข้ายังไม่เห็นไปเปลี่ยนชุดก่อน ไม่เช่นนั้นหากนางมาเห็นว่าชุดของข้าขาดวิ่นเช่นนี้ ข้าต้องโดนเอ็ดอีกแน่” เฉินโย่วว่าแล้วก็รีบออกวิ่งทันที
เด็กชายร่างอวบอ้วนหายใจหอบแฮกวิ่งตามไป วิ่งไปก็ะโไป “พี่โย่วรอข้าด้วย รอข้าด้วย”
……
เมื่อจ้งเยียนกลับมาถึงตำหนักราชครูก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะรีบไปหาองค์หญิงที่ตำหนักของนางทันที
เขาวิ่งเร็วราวกับสายลม
ไม่สนกฎเกณฑ์อะไรทั้งนั้น
พวกเขานับว่าสนิทสนมกัน ปกติองค์หญิงยังเอาแต่ร่ำร้องว่าจะมาเล่นกับราชครูน้อย เมื่อเห็นราชครูน้อยวิ่งหน้าตั้งมาเช่นนี้ เหล่านางกำนัลก็นึกว่าองค์หญิงมีรับสั่งเรียกตัวเขามา จึงมิได้ห้ามปรามไว้
เื่ที่เ้าเด็กนั่นพูดเป็ความจริง ดอกไม้นั่นมีพิษจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ดอก ใบของมันก็มีพิษเช่นกัน
พิษของมันยังรุนแรงนัก
เมื่อเขารู้เช่นนั้นก็รีบวิ่งมาหาองค์หญิงด้วยความเป็ห่วงทันที
องค์หญิงใช้ดอกไม้ชนิดนี้ทำเครื่องหอม หากเกิดเื่อะไรขึ้นมาย่อมเป็อันตรายแน่
ดังนั้นเขาจึงไม่สนมารยาทอะไร รีบวิ่งมาที่นี่ทันที
ยามที่จ้งเยียนมาถึง องค์น้อยกำลังเขียนบางอย่างอยู่ ร่างน้อยสวมกระโปรงบาง นั่งอยู่บนเก้าอี้ มือเรียวถือพู่กันอยู่ ด้านข้างมีขันทีรูปงามคอยฝนหมึกให้
เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำของจ้งเยียนก็พลันใ
“พี่เยียน ท่านมาได้อย่างไร”
“องค์หญิง ดอกไม้นั่น...ดอกไม้นั่นมีพิษ ห้ามนำมาทำเครื่องหอมนะพ่ะย่ะค่ะ” จ้งเยียนกล่าวขึ้นอย่างร้อนรน
องค์หญิงอีพลันนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแสดงท่าทีอึดอัดขึ้นมา
จ้งเยียนที่ยังคงหอบเหนื่อย ก็นิ่งค้างเช่นกัน
เขาใส่ใจองค์หญิงอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะนางจะแสดงอารมณ์อย่างไรเขาล้วนไม่เคยพลาด
อยู่ดีๆ เขาก็คิดเื่วันนั้นขึ้นมา ครั้งแรกที่เขาพบนาง นางก็กำลังเงยหน้ามองดอกไม้นั่นอยู่
เขาคิดว่านางคงกำลังนึกสงสัยเช่นเดียวกับตน
ทว่าบัดนี้เมื่อคิดได้ ก็ชวนให้เขาในัก
ในักที่ในวังหลวงแห่งนี้มีดอกไม้ที่มีพิษเช่นนี้
“ข้ารู้อยู่แล้ว ปี้เหยาบอกข้าแล้ว ข้าให้นางไปจัดการแล้ว พี่เยียน ข้าเพิ่งเขียนกลอนบทใหม่ ท่านอยากอ่านหรือไม่” มุมปากงามยกขึ้นน้อยๆ
จ้งเยียนมองขันทีน้อยรูปงาม ผิวพรรณขาวกระจ่าง การแต่งกายคล้ายกับเขานัก แตกต่างกันเพียงแค่สีชุดที่ไม่ใช่สีทึมทึบเช่นเดียวกับเขา
ขันทีน้อยเมื่อเห็นเขาก็พลันยืดอกขึ้น
จ้งเยียนหันมององค์หญิงแล้วก็ทำสีหน้าลำบากใจพร้อมส่ายหน้าไปมา
ก่อนจะคลุกคลานจากมา
ขันทีน้อยที่กำลังฝนหมึกอยู่จึงฉวยโอกาสกล่าวขึ้น “องค์หญิง ท่านราชครูน้อยช่างใจนเกินเหตุ ทั้งยังกล้าบุกเข้ามาเช่นนี้”
องค์หญิงน้อยได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองขันทีน้อยคราหนึ่งก่อนจะโยนพู่กันในมือใส่ร่าง ใบหน้าขาวของขันทีน้อยเพียงพริบตาก็เปรอะเปื้อนไปด้วยหมึกจนเป็รอยดำทั้งหน้า
“ข้าไม่ชอบคนที่พูดจาลับหลังผู้อื่น”
