“ิญญาาาาเผิงขั้นคราม ทรงพลังมาก!”
ผู้คนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่างก็ตาเบิกกว้างด้วยความใ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยได้ยินมาแล้วว่าซือคงเสวียนเป็อัจฉริยะชั้นยอดผู้ปลุกิญญาาคู่ แต่ไม่คาดคิดว่าสิ่งที่ซือคงเสวียนปลุกจะเป็ิญญาาาาเผิงขั้นคราม
าาเผิงอยู่ในเผ่าพันธุ์ต้าเผิง เป็สัตว์อสูรสายเหาะเหิน แต่าาเผิงมีสายเืชั้นสูง พลังต่อสู้ก็ยังแกร่งกล้ากว่าต้าเผิงทั่วไป ดังนั้นสัตว์อสูรประเภทนี้จึงเป็ที่รู้จักกันดีในนามาาเผิง อีกอย่างาาเผิงยังเป็จ้าวแห่งท้องนภา ผู้ที่ปลุกิญญาาประเภทนี้ก็พบเห็นได้น้อยมาก ยิ่งกว่านั้นิญญาาาาเผิงที่ซือคงเสวียนปลุกยังอยู่ขั้นครามอีกด้วย
“ข้าจะทำให้เ้าเห็นว่าพลังิญญาาของข้าเป็เช่นไร!”
ซือคงเสวียนยืนอยู่ที่เดิม แต่มีแสงแห่งาาเผิงรายล้อมร่าง ภายใต้แสงนั้นทำให้ซือคงเสวียนเกรงขามขึ้นไปอีก ประหนึ่งเทพเ้าก็ไม่ปาน ในระหว่างที่เขากล่าวเช่นนั้น ิญญาาาาเผิงก็ส่งเสียงกู่ร้อง พร้อมกระพือปีก ก่อนจะบินโฉบเข้าโจมตีเว่ยเจิ้นเทียน ทำให้เว่ยเจิ้นเทียนชะงักไปชั่วขณะ เขาััได้ว่าครั้งนี้ซือคงเสวียนเอาจริง จากนั้นเขาควบคุมิญญาาสิงโตเกล็ดทองเข้าสู้กับิญญาาาาเผิงของซือคงเสวียนทันที
ศึกระหว่างิญญาาเป็ไปอย่างดุเดือด เสียงะเิดังสนั่นหวั่นไหวไม่หยุด
“ตาย!”
ดวงตาของซือคงเสวียนเผยประกายคมกริบ จู่ ๆ ดาบในมือส่งเสียงกู่ร้องไม่หยุด ทั้งยังมีอำนาจดาบขั้นผันแปร่ปลายรายล้อมตัวดาบ จากนั้นตวัดดาบโจมตีเว่ยเจิ้นเทียน ซึ่งเป้าหมายคือลำคอของเว่ยเจิ้นเทียน
“ซือคงเสวียนร้ายกาจมาก อำนาจดาบบรรลุขั้นผันแปร่ปลายแล้ว ในแดนชิงอวิ๋นผู้ที่มีพลังแห่งอำนาจชั้นผันแปร่ปลายมีไม่กี่คนเท่านั้น ซือคงเสวียนสมกับเป็อัจฉริยะชั้นยอดแห่งสำนักชิงอวิ๋น อายุเพียงเท่านี้ก็มีพลังแกร่งกล้าขนาดนี้แล้ว ภายภาคหน้าต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน!”
บนอัฒจันทร์แห่งหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธ์จากกองกำลังใหญ่คนหนึ่งเอ่ยชมซือคงเสวียน แม้เขามีอายุครึ่งร้อยปี แต่ในด้านพลังแห่งอำนาจกลับด้อยกว่าซือคงเสวียน
เมื่อการโจมตีของซือคงเสวียนพุ่งเข้ามา เว่ยเจิ้นเทียนกลับไม่เตรียมพร้อมที่จะรับมือ แต่เขากะพริบร่างหนีอย่างรวดเร็ว
“ชิ้ง!” ทว่ารังสีดาบทะลุร่างเว่ยเจิ้นเทียน ทำให้ผู้คนต่างต้องตกตะลึง นาทีต่อมาพวกเขาเห็นร่างที่ถูกรังสีดาบทะลุค่อย ๆ จางลงกระทั่งหายตัวไป
ที่แท้เว่ยเจิ้นเทียนเคลื่อนไหวเร็วเกินไปจนตาเปล่าของพวกเขามองตามไม่ทัน จึงปรากฏภาพฉากเช่นนี้
“ฝ่ามือ์คลั่ง!” เว่ยเจิ้นเทียนแผดเสียงะโ เขา้าใช้โอกาสนี้โจมตีอีกฝ่าย แต่เขายังไม่ทันปลดปล่อยพลังเคล็ดวิชาก็รู้สึกว่ามีแสงเยือกเย็นสว่างจ้าตรงหน้า มิหนำซ้ำยังรวดเร็วจนเว่ยเจิ้นเทียนตอบสนองไม่ทันว่ามันเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งมันหายไป
จู่ ๆ การเคลื่อนไหวของเว่ยเจิ้นเทียนหยุดชะงัก เขายกมือข้างหนึ่งลูบคลำที่คอของตนก่อนจะพบว่ามีเืไหลออกมา นี่ทำให้เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนเอ่ยถามซือคงเสวียนว่า “เ้าทำได้อย่างไร?”
“ข้าจำต้องยอมรับเลยว่าพลังโจมตีของเ้าแกร่งมาก แต่ว่าเ้าเอาแต่สนใจมือซ้ายของข้า มันจึงนำพาความพ่ายแพ้มาสู่เ้า”
ซือคงเสวียนยืนหลังตรง โดยที่มีดาบอีกเล่มหนึ่งปรากฏในมือขวาของเขา ซึ่งเป็ดาบอ่อน และก็เป็ดาบเล่มนี้ที่เกือบเฉือนลำคอของเว่ยเจิ้นเทียนขาด
สีหน้าของเว่ยเจิ้นเทียนดูไม่ได้ขึ้นมา ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เมื่อครู่นี้เขาเป็ฝ่ายได้เปรียบ ทว่าวินาทีนั้นเขากลับกลายเป็ฝ่ายพ่ายแพ้
“ข้าแพ้แล้ว มีโอกาสหวังว่าจะได้แลกเปลี่ยนวิชากับเ้าอีก!” เว่ยเจิ้นเทียนกล่าวด้วยความไม่เต็มใจ เมื่อพูดจบเขาก็เดินไปที่ริมเวทีประลอง
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น? คาดไม่ถึงว่าเว่ยเจิ้นเทียนจะแพ้ แต่เหตุใดข้าถึงไม่เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” ผู้คนต่างใ ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีนั้นได้
“พวกเ้าไม่สังเกตเห็นหรือว่ามีดาบอ่อนปรากฏในมือของซือคงเสวียน? ซือคงเสวียนใช้ดาบอ่อนเล่มนั้นเอาชนะเว่ยเจิ้นเทียน” คนผู้หนึ่งกล่าวขึ้น ทำให้คนอื่น ๆ ต่างใจเต้นระรัว
“ซือคงเสวียนซ่อนดาบอ่อนไว้ที่ตัว หากไม่ใช่ว่าเป็การประลอง เกรงว่าเว่ยเจิ้นเทียนคงตายในน้ำมือของซือคงเสวียนไปแล้ว!”
“เว่ยเจิ้นเทียนถือว่ามีฝีมือพอตัว แต่ก็ยังคงแพ้ซือคงเสวียน เพราะว่าซือคงเสวียนแข็งแกร่งเกินไป ดูท่าอันดับที่หนึ่งของงานนี้คงจะตกเป็ของเขาแล้ว”
ผู้คนพากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา ทั้งยังรู้สึกใกับพลังของซือคงเสวียน ขณะเดียวกันหลังจบศึกนี้ผู้คนก็ตัดสินใจแล้วว่า ไม่มีผู้ใดแย่งชิงตำแหน่งราชบุตรเขยไปจากซือคงเสวียนได้ เพราะเว่ยเจิ้นเทียนที่สามารถเอาชนะซือคงเสวียนกลับพ่ายแพ้ไปแล้ว เช่นนั้นใครเล่าจะเป็คู่ต่อสู้ของซือคงเสวียนได้อีก
“ซือคงเสวียนเป็อัจฉริยะจริง ๆ ไม่นึกว่าศักยภาพจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
บนอัฒจันทร์หลัก หลังจากองค์าาจ้าวเห็นศึกต่อสู้ก็อดถอนใจไม่ได้ เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าซือคงเสวียนเป็สัตว์ประหลาดที่เก่งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอมา
ซือคงเสวียนคืออัจฉริยะที่มากพร์และศักยภาพ แทบหาจุดด้อยไม่พบ กระทั่งเรียกได้ว่าไร้เทียมทานในบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ ใครหน้าไหนล้วนไม่อาจทัดเทียม
จ้าวซินอี๋เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็ใเช่นกัน นางใกับพลังของซือคงเสวียน นี่ทำให้นางเริ่มรู้สึกจมดิ่งลงเรื่อย ๆ
เย่เฟิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าของเขาไร้ความผันผวนใด ๆ โดยที่เขาไม่รู้สึกใกับพลังของซือคงเสวียนแต่อย่างใด อีกฝ่ายคือศิษย์สายตรงของรองเ้าสำนักชิงอวิ๋น เช่นนั้นก็ย่อมมีพลังแกร่งกล้า
“รอบต่อไปเป็ตาของเย่เฟิง” เสียงของขุนนางผู้ดำเนินการดังขึ้น ผู้คนได้ยินต่างก็กะพริบตาปริบ ๆ
“ในที่สุดก็ถึงตาเย่เฟิงแล้ว ก่อนหน้านี้เย่เฟิงชนะเหลียงปู้ผั่ว ไม่รู้ว่ารอบนี้เขาจะได้เจอกับใคร” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว หลังจากเย่เฟิงชนะเหลียงปู้ผั่วก็ไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกเย่เฟิง แต่บัดนี้ทั้งห้าคนไม่มีใครอ่อนแอเลยสักคนเดียว ตบะก็ล้วนอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 9 ขึ้นไป มีเพียงเย่เฟิงที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 จึงมีบางคนยังคงดูถูกเย่เฟิงอยู่ ถึงอย่างไรตบะของเขาก็ต่ำต้อยที่สุด
หลังจากถึงตาเย่เฟิง เย่เฟิงก็เดินไปยังใจกลางเวทีประลองด้วยย่างก้าวสง่าผ่าเผย
“มีใครยินดีที่จะประลองกับเขาหรือไม่?” ขุนนางผู้ดำเนินการเอ่ยถามขณะกวาดตามองคนอื่น ๆ
ซือคงเสวียนและเว่ยเจิ้นเทียนหลับตาฟื้นฟูพลังราวกับว่าทุกอย่างไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาสองคน บางทีอาจผลาญพลังงานไปมากจากศึกเมื่อครู่นี้ และในสายตาของพวกเขาสองคน เย่เฟิงอาจเป็เพียงมดแมลงที่สามารถกำจัดเมื่อใดก็ได้
“ข้าเอง!” ขณะนั้นมีเสียงเ็าดังขึ้นจากริมเวทีประลอง ผู้คนหันไปมองก่อนจะเห็นว่าผู้พูดก็คือหวงเหยียนิ
หวงเหยียนิเหลือบมองไปที่เย่เฟิงแวบหนึ่ง จากนั้นหันไปพูดกับขุนนางผู้ดำเนินการพร้อมโค้งคำนับ “ใต้เท้า ข้ายินดีสู้กับเย่เฟิงผู้นี้ เพียงแต่ข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ ไม่ทราบว่าท่านจะยินดีสงเคราะห์หรือไม่?”
“ว่ามา” ขุนนางผู้ดำเนินการกล่าว
“หากข้าพลั้งมือทำร้ายเขา ท่านอย่าได้ตำหนิข้าเลย” หวงเหยียนิกล่าวพร้อมดวงตาเผยประกายเย็นเยือก จุดประสงค์หลักที่เขาเดินทางมาที่อาณาจักรจ้าวคือจัดการเย่เฟิง หากมีโอกาสเขาย่อมชิงสามสมบัติล้ำค่าอย่างจูกั่วหมื่นปี เกราะทองคำกิเลน และหญ้าหนวดัที่เย่เฟิงขโมยไปจากหอการค้าเทียนจี๋กลับคืนมา
“บนเวทีประลองไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ไม่มีผู้ใดรับประกันได้ว่าในการประลองจะไม่ทำร้ายอีกฝ่าย หากฝ่ายใดรู้สึกว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายก็สามารถยอมแพ้ได้ เพราะฉะนั้นเ้าไม่จำเป็ต้องกังวล” ขุนนางผู้ดำเนินการกล่าวเช่นนั้นพร้อมดวงตาเผยประกายเฉียบคม เขาจะไม่เข้าใจความหมายของหวงเหยียนิได้อย่างไร แต่กฎการประลองยุทธ์เลือกคู่ก็เป็เช่นนี้มาตลอด หากเย่เฟิงถูกหวงเหยียนิทำร้าย นั่นก็ต้องโทษเย่เฟิงที่ไร้ความสามารถ
“ขอบคุณท่านใต้เท้า!” หวงเหยียนิคำนับขุนนางผู้ดำเนินการ ก่อนจะเดินไปยังใจกลางเวทีประลอง
“สวะ ครั้งนี้ข้าก็อยากดูว่าเ้าจะรอดจากเงื้อมมือข้าไปได้อย่างไร?” หวงเหยียนิกล่าวเสียงเย็นราวกับว่าเย่เฟิงคือเหยื่อของเขา เขาคิดจัดการอย่างไรก็จะจัดการเช่นนั้น
“หวงเหยียนิคิดจะใช้โอกาสนี้ลงมือกำจัดเย่เฟิง ไม่รู้ว่าเย่เฟิงผู้นี้จะรอดจากหายนะครั้งนี้ได้หรือไม่?” ผู้คนเห็นการกระทำของหวงเหยียนิก็เข้าใจขึ้นมาทันทีและอดเป็กังวลแทนเย่เฟิงไม่ได้ ถึงอย่างไรหวงเหยียนิก็แข็งแกร่งกว่าเหลียงปู้ผั่ว มีตบะสูงกว่าเย่เฟิงถึงหกขั้น อีกอย่างศึกนี้ก็ไร้ซึ่งความยุติธรรม ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่าผู้ชนะคือหวงเหยียนิ
“ข้าจะหนีไปทำไมกัน?” เย่เฟิงแสยะยิ้มอย่างเ็า เขา หวงเหยียนิกับเว่ยเจิ้นเทียนต้องเผชิญหน้ากันสักครั้งไม่ช้าก็เร็ว มิสู้ใช้โอกาสนี้จัดการปัญหาให้สิ้นซาก
“ฮ่า ๆ ๆ จะตายอยู่รอมร่อแล้วก็ยังปากดีได้อีกหรือ?” หวงเหยียนิแค่นเสียงหัวเราะพร้อมเผยสีหน้าดูแคลน “ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเ้า ส่งสมบัติสามชิ้นนั้นมา จากนั้นทำลายตบะของตัวเองซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเ้า!”
เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนั้นต่างก็หน้าเปลี่ยนสีพลางคิดในใจว่า “หวงเหยียนิโหดมาก ไม่นึกว่าจะให้เย่เฟิงทำลายตบะของตนต่อหน้าผู้คน เขาถึงจะไว้ชีวิต”
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ หากตบะถูกทำลาย เช่นนั้นจะทุกข์ทรมานยิ่งกว่าการถูกฆ่าเสียอีก เย่เฟิงจะทำตามที่หวงเหยียนิบอกอย่างนั้นหรือ?
“ให้ข้าทำลายตบะ เ้าสมควรแล้วหรือ! สำหรับสมบัติสามชิ้นนั้น เ้ามีปัญญาก็เข้ามาเอาเองสิ” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น
“แกว่งเท้าหาเสี้ยนจริง ๆ ข้าจะทำให้เ้าชดใช้กับสิ่งที่เ้าทำลงไป!” หวงเหยียนิกล่าวด้วยโทสะ จากนั้นเหวี่ยงหมัดโจมตีเย่เฟิงอย่างไม่ลังเล โดยที่เขาเชื่อมั่นว่าเขาจะเอาชนะเย่เฟิงได้อย่างง่ายดาย
จู่ ๆ รังสีหมัดของหวงเหยียนิกลายเป็เงาหมัดขนาดใหญ่ ราวกับ้าบดขยี้ร่างเย่เฟิงให้แหลกละเอียด
เย่เฟิงเหยียดยิ้มอย่างเ็า เขาใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อ พลังดารารายล้อมร่าง พร้อมปรากฏแผนที่ดาว จากนั้นหลบหลีกการโจมตีของหวงเหยียนิในพริบตา ทำหวงเหยียนินิ่งอึ้ง คล้ายไม่คิดว่าเย่เฟิงจะมีเคล็ดวิชาท่าร่างเช่นนี้
จากนั้นหวงเหยียนิรัวหมัดโจมตีสามครั้งติด ซึ่งทุกหมัดอัดแน่นไปด้วยพลังที่สามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดได้
“ด้วยความเร็วแค่นี้ของเ้า เ้าไม่มีทางทำอะไรข้าได้หรอก!” เย่เฟิงแสยะยิ้ม ตอนนี้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อของเขาบรรลุระดับสูงแล้ว ทั้งยังผสานด้วยอำนาจฟ้าดินขั้นกายา่ต้น ทุกย่างก้าวจึงเชื่อมโยงกับฟ้าดิน
ตอนที่การโจมตีของหวงเหยียนิเข้าใกล้ตัวเย่เฟิง เย่เฟิงก็มักจะใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อหลบหนีการโจมตีของอีกฝ่าย
“ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อ! เคล็ดวิชาท่าร่างของตระกูลหวัง มีเพียงลูกหลานสายตรงของตระกูลหวังเท่านั้นที่จะฝึกได้ ไม่รู้ว่าเย่เฟิงผู้นี้ไปเอาเคล็ดวิชานี้มาจากที่ไหน? อีกอย่างย่างก้าวดาวตกผีเสื้อที่เขาใช้ก็ถึงระดับสูงแล้วด้วย แม้แต่ตระกูลหวังเองก็ยังทำถึงจุดนี้ไม่ได้ เห็นชัดว่าพร์ของเย่เฟิงผู้นี้น่าหวาดกลัวเพียงใด!”
บนอัฒจันทร์หลัก ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดคนหนึ่งดูออกทันทีว่าเคล็ดวิชาท่าร่างที่เย่เฟิงใช้มาจากไหน
“ในงานชุมนุมหวงปั่งก่อนหน้านี้ เย่เฟิงก็เคยใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อนี้เช่นกัน แต่ตอนนั้นเขายังไม่ถึงขั้นนี้ ไม่คิดว่าเวลาสามเดือนสั้น ๆ เขาจะก้าวหน้าไปมาก เคล็ดวิชาท่าร่างนี้ก็บรรลุระดับสูง พร์เช่นนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวเสริม โดยที่ใกับพร์ของเย่เฟิงที่แสดงออกมาให้เห็น
“สวะ เ้าคิดจะหนีลูกเดียวงั้นหรือ?”
หวงเหยียนิเห็นการโจมตีของตนเองทำอะไรเย่เฟิงไม่ได้ก็เผยสีหน้าไม่สู้ดี ในความคิดเขา การโจมตีที่เขาสำแดงอย่างสุดความสามารถน่าจะกำจัดเย่เฟิงได้ในสิบกระบวนท่าจึงจะถูก ทว่าตอนนี้เกรงว่าเขาจะล้มเหลวเสียแล้ว
“แม้แต่ร่างข้าก็ยังแตะต้องไม่ได้ ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าระหว่างเ้ากับข้าใครกันแน่ที่เป็เศษสวะ!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น คล้ายหยอกล้อหวงเหยียนิ
แม้หวงเหยียนิจะโกรธเกรี้ยว แต่กลับทำอะไรเย่เฟิงไม่ได้ เพราะเขาตามความเร็วของเย่เฟิงไม่ทัน
